ตอนที่ 5 กรรมเก่า (1)
กระแสลมวสันต์ผ่านพัดเกลียวเมฆบางเบา ไอหมอกหนาลอยต่ำจากมวลอากาศเย็นโอบล้อมธารน้ำร้อนเหนือยอดเขาสูงเทียมฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแดนสวรรค์ ทุ่งดอกสุ่ยเซียนสีขาวแผ่ไพศาล ใบหลิวเสียดสีตามแรงลม ฝนบุปผชาติพัดพลิ้วรายล้อมราวกับผีเสื้อเริงระบำ
กลางธารน้ำร้อน ม่านหมอกคลุมเครือ ชายหนุ่มสองคนต่างก็ผลัดกันตักน้ำราดศีรษะของกันและกันราวกับต้องการให้อีกฝ่ายได้รับความชุ่มชื้นอย่างเต็มที่
หนุ่มน้อยที่ดูอ่อนวัยกว่าสำลักน้ำ “แค่กๆ งูเฒ่า เจ้าจงใจหลอกข้ามาเปียกน้ำจนป่วยหนักใช่หรือไม่” เสียงของเขาใสกังวานคล้ายสตรี หากแต่มีความทุ้มต่ำเล็กน้อย แยกแยะไม่ออกว่าเป็นเสียงของสตรีหรือบุรุษกันแน่
ชายหนุ่มชักสีหน้า ตักน้ำราดศีรษะอีกฝ่ายอย่างไม่อนาทร “ธารน้ำร้อนบนยอดเขาหลิงหลงเป็นสุดยอดแห่งการฟื้นฟูบาดแผลจากเวทอาคม ต้องราดตั้งแต่หัวจดเท้าเช่นนี้จึงจะช่วยบรรเทาอาการแปลกประหลาดที่เกิดกับเจ้าได้”
“อะแฮ่ม!” อีกฝ่ายหน้าตึง กลีบปากแดงเม้มแน่น เพียงแค่กระแอมครั้งหนึ่งก็สะเทือนใจจนแทบกระอักโลหิตสดๆ ออกมาแล้ว หนุ่มน้อยที่ว่าคือหงหลิง คิ้วโครงยังคงโค้งได้รูป ดวงตาหงส์ยังคงเป็นประกายงดงาม จมูกเอย ปากเอย ยังคงไร้ที่ติ หากแต่ไรหนวดอ่อนๆ ที่เริ่มงอกออกมา พร้อมทั้งเสียงที่เริ่มต่ำลงทำให้นางอยากจะร่ำไห้
นอกจากหน้าอกที่หายไป บัดนี้ที่เพิ่มมาก็คือลักษณะภายนอกที่ชักจะคล้ายบุรุษไปอีกส่วนหนึ่ง แม้แต่เหลียวเยว่ก็จนปัญญาจะช่วยเหลือ
ดูผิวเผินผู้คนอาจมองว่านางคือเทพหนุ่มรูปงามองค์หนึ่ง หาใช่เทียนเฟิ่งอย่างที่เคยเป็นไม่ หากเรื่องนี้แพร่งพรายไปถึงแดนปักษาและสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มีแต่อับอายขายขี้หน้าไปทั่วอย่างแน่นอน
“เจ้าว่าเป็นเพราะร่างกายข้าเสียสมดุลจนเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ” นางถามเสียงค่อย สลดลงอีกส่วนหนึ่ง ใบหน้าขาวดุจจันทร์เพ็ญก็หมองลงอีกส่วนหนึ่ง ไรหนวดบางๆ ที่เพิ่มเข้ามา ทำให้ดูไปก็คล้ายกับซาลาเปาบูดขึ้นราลูกหนึ่งไม่มีผิด เหลียวเยว่กลั้นหัวเราะใจแทบขาด ต้องแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบมั่นคง
“ร่างทองที่เพิ่งได้มายังไม่อาจรักษาสมดุลให้ได้ พลังหยางในตัวเจ้ามีมากจนเกินไป หากไม่เพราะโดนผนึกพลังไปเจ็ดส่วน เกรงว่าตอนนี้เจ้าอาจกลายเป็นขันทีก็ไม่ใช่ คุณชายน้อยก็ไม่เชิงแล้ว เคราะห์ดีที่อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีเนื้องอกเพิ่มมาจากตัวเจ้า มิเช่นนั้นเฉียนเวยคงได้ตกใจตายเพราะมีคู่บุพเพเป็นขันทีอย่างแน่นอน”
หงหลิงถลึงตาจนปูดโปน พาลพาโลไปทั่ว “สมน้ำหน้าเขาแล้ว หากรู้ว่าข้าเป็นแบบนี้ คงได้อับอายไปทั่วทั้งหกภพภูมิเป็นแน่ เผลอๆ เจ้ามังกรชั่วนั่นอาจแกล้งตายหลับไปอีกแสนปี เพื่อหนีความอับอาย”
เหลียวเยว่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ขบขันกับตรรกะพิกลของสหายรักจนนึกคำพูดไม่ถูก ได้แต่เอ่ยเตือนว่า “หากคนทั่วหกภพภูมิรู้ว่าเจ้ากลายเป็นแบบนี้ เจ้าไม่อับอายหรอกหรือ”
หงหลิงหัวเราะในลำคอ หรี่ตาลงอย่างมาดร้าย ฟาดมือลงบนผืนน้ำจนกระจายเต็มหน้าเหลียวเยว่ “ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ แต่ผู้อื่นไม่รู้ หากเจ้าไม่ปากเปราะบอกผู้อื่นไปทั่ว มีหรือใครจะรู้ว่าข้าคือเทียนเฟิ่ง”
เหลียวเยว่กลอกตา ถอนหายใจเฮือก สาดน้ำใส่หน้าหงหลิงทีหนึ่ง “นกโง่ เจ้าจะตบตาใครก็ได้ แต่ไม่ใช่เฉียนเวย คิดว่าทำเขาอับอายแล้วเจ้าจะรอดหรอกหรือ” เขายกมือกุมขมับ “สวรรค์ตาบอดหรือไรถึงจับพวกเจ้ามาคู่กัน”
“สวรรค์ย่อมตาบอด”
“ข้าอยากปลุกอาจารย์ขึ้นมาถามสักคำสองคำจริง”
หงหลิงยกมือประสานเหนือศีรษะ กล่าวเสียงต่ำ “ศิษย์ชั่วคิดเอาร่างอาจารย์มาเฆี่ยนเพื่อซักถามหรืออย่างไร”
ที่จริงเขาไม่ต้องช่วยนางก็ได้ เหตุใดจึงต้องมาทนให้หงหลิงจิกกัดเช่นนี้ด้วย ครั้นคิดได้ก็ตั้งท่าจะขึ้นจากธารน้ำร้อน แต่พอเห็นสภาพน่าสมเพชของนางก็ต้องข่มกลั้นในใจ ย้ำเตือนว่าหากนางยังขายไม่ออก เขาก็ไม่มีสิทธิ์หาคู่ครอง
พลันคิดถึงคนผู้หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “เขาคุนหลุนทางทิศตะวันออกของแดนมนุษย์เป็นสำนักใหญ่ที่คอยอบรมสั่งสอนให้เหล่ามนุษย์มารปีศาจฝึกฝนเป็นเซียน ที่นั่นมีเซียนนามว่าไป๋หยางสุ่ยเป็นเจ้าสำนัก หากเจ้าอยากลงไปผ่อนคลายที่โลกมนุษย์ ไปเป็นอาจารย์ของสำนักคุนหลุนก็ไม่เลวเลย”
หงหลิงนิ่วหน้า จริงอยู่ว่านางอยากไปผ่อนคลาย แต่มิได้หมายความว่านางต้องไปเป็นอาจารย์ให้กับมนุษย์โลกเหล่านั้นสักหน่อยนี่
“ข้าว่า…”
เหลียวเยว่หลับตาลง ลัดนิ้วมือคำนวณอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เคราะห์กรรมนี้ของเจ้าอาจต้องรับศิษย์ หากเจ้าสั่งสอนให้เขาเป็นผู้เป็นคนได้ ภายในสี่สิบกว่าปีบนโลกมนุษย์ ก่อนที่ขนของเจ้าจะงอกกลับเป็นปกติ คงจะทำให้เจ้าเข้าใจถึงความรักของมารดาบ้าง”
“ความรักของมารดา? ให้ข้ารับศิษย์เป็นลูกหรืออย่างไร”
เหลียวเยว่แทบอยากมุดน้ำหนี กล่าวอย่างอดกลั้นว่า “ความรักของมารดา ไม่เกี่ยงว่าเป็นความรักของมารดาต่อบุตรหรือภรรยาต่อสามี ขอเพียงเจ้าสัมผัสได้ถึงความรักของสตรีนางหนึ่ง นั่นอาจทำให้เจ้ากลับมาเป็นหงหลิงคนเดิมได้ นี่…ฟังข้าอยู่หรือเปล่า เฮ้อ…ใครใช้ให้มารดาของเจ้าหายตัวไป แม้แต่ความเป็นกุลสตรียังไม่มีเลย ข้าสงสัยนักว่าเจ้าเติบโตมาได้อย่างไรในฐานะเทพหญิงแห่งแดนสวรรค์” เขาลูบอกอย่างสะท้อนใจ “ต้องโทษที่ข้าไร้น้ำยา มิอาจเป็นเพื่อนสาวให้เจ้า ย่ำแย่ยิ่งนักที่ตัวข้ามีความเป็นบุรุษอยู่เต็มทุกอณูวิญญาณ จึงทำให้ตัวเจ้าไม่อาจรู้สึกว่าตนเองเป็นสตรีได้”
แก้มของนางกระตุก กล่าวเสียงต่ำว่า “เหลียวเยว่ ข้าว่าเจ้าเหมือนสตรียิ่งกว่าข้าเสียอีก แน่ใจหรือว่าตอนเกิดเจ้ามีติ่งงอกอยู่ตรงหว่างขาจริงๆ” นางทอดถอนใจ “เฮ้อ…นี่แหละหนอ มีสหายนุ่มนิ่มข้าจึงต้อง... อื้อๆ ๆ”
เหลียวเยว่เสกพัดขึ้นมาปิดปากนางไว้ ถลึงตาใส่ด้วยความโมโห “ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ข้าไม่แปลกใจที่สวรรค์ลงทัณฑ์เจ้าเช่นนี้ ใครก็ได้ช่วยเปลี่ยนให้นางเป็นบุรุษไปจริงๆ เสียทีเถิด อ๊าก!”
เหลียวเยว่กุมแขนตัวเองเมื่อหงหลิงสลัดออกจากพัดของชายหนุ่มแล้วกัดแขนเขาแรงๆ ทีหนึ่ง นางมองเขาตาเขียว ตวาดเสียงดังว่า “ตัวบัดซบน้อย ข้ามีความเป็นกุลสตรีเต็มเปี่ยม เป็นผู้อื่นดวงตามืดบอดถึงมองไม่เห็นความอ่อนโยนนี้ ตัวเจ้าจะรู้อะไร ฮึ! คิดไล่ข้าไปที่อื่นบอกกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องพูดจาทำร้ายจิตใจข้าเช่นนี้เลย” นางยกมือปาดดวงตา
เหลียวเยว่เบ้ปาก แค่นเสียงขึ้นจมูก “เลิกแสดงละครแล้วรีบไปเก็บข้าวของ เฉียนเวยจะจุติลงไปเกิดที่เมืองใหญ่ตรงเชิงเขาคุนหลุน หากเจ้าอยากกลั่นแกล้งเขา แน่นอนว่าต้องเร่งเดินทางหน่อย”
เขาหลบสายตาจับผิดของนาง ถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางกล่าวว่า “ข้าบอกเจ้าหมดเปลือกแล้ว หมดสุราหลิงหลงไปสิบไหกว่าจะหลอกถามเทพลิขิตชะตาได้”
หงหลิงขึ้นจากน้ำ สะบัดชายเสื้อทีหนึ่งหยาดน้ำบนตัวก็พลันแห้งเหือด กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “คิดหลอกให้ข้าหัวหมุนยังเร็วไปหลายหมื่นปี เมื่อคืนเจ้าไม่อยู่ที่เรือนพัก แน่นอนว่าต้องแอบไปสืบข่าว” นางลอยตัวขึ้นบก อาภรณ์สีขาวปัดผ่านดอกสุ่ยเซียนไหวโยกเบาๆ “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
เหลียวเยว่เป็นต่อนางอยู่หลายก้าว หลังจากแกล้งนางไปพักใหญ่จึงแย้มพรายขึ้นมาเล็กน้อย “เทียนจวินปิดข่าว แอบส่งคนไปแดนปักษา ครั้นเห็นแดนปักษาพากันสวมอาภรณ์ขาวกันหมดก็คิดไปแล้วว่าเจ้าประสบเคราะห์ร้ายมากกว่าดี แต่เมื่อราชันปักษาไม่เอ่ยอะไร เขาก็เบาใจว่าทางแดนปักษาไม่ทราบเรื่องของเจ้า จึงส่งหม่านหงจุติลงไปได้อย่างสบายใจ”
มุมปากของนางกดลึก ครั้นนึกถึงใบหน้าของเทียนจวินเฒ่าก็หัวเราะเสียงเย็น “เจ้ายังเจ้าเล่ห์ไม่ได้ครึ่งเขาเลย น่าเสียดายจริงๆ”
เหลียวเยว่ไหวไหล่ เคลื่อนตัวขึ้นจากน้ำด้วยท่าทีงามสง่า หยดน้ำบนกายแห้งเหือด ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มละมุน “ในหกภพภูมินี้ หาเทพเซียนที่มีจิตใจใสสะอาดดุจกระจกเงาเช่นข้านั้นมิได้อีกแล้ว”
หงหลิงแสร้งโก่งคออาเจียน โบกไม้โบกมือราวกับไล่แมลงตัวใหญ่ที่ออกจากคำพูดเขา
“เกรงว่าหากตอนนั้นข้าไม่เฉลียวใจจับเจ้าสาบานตน ไม่ทราบว่าชีวิตข้าจะปั่นป่วนถึงเพียงไหน”
เหลียวเยว่ถูกตอกย้ำถึงรอยด่างพร้อยในชีวิตพลันหน้าตึง อยากสะอื้นไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น นั่นนับเป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตข้า
เขาทอดถอนใจ พูดกับนางอย่างจริงจัง “เสี่ยวหง สรุปแล้วเจ้าจะลงไปพิสูจน์ด่านเคราะห์หรือไม่”
หงหลิงชะงัก ใช้สายตาเคร่งเครียดมองเขา “ที่พูดเมื่อครู่ เป็นเรื่องจริงหรือ” นางต้องไปแสวงหาความรักของมารดาจริงหรือ?
“ข้าเคยโกหกเจ้าหรือ”
แน่นอนว่าไม่…แต่เขาอาจจะพูดไม่หมด นางมองเขาอย่างจับผิด
“หากขนปีกของข้างอกแล้วร่างกายของข้ายังไม่กลับมาเหมือนเดิมเล่า?”
“แสดงว่าเคราะห์ของเจ้ายังไม่หมด เรื่องนี้ข้าก็จนปัญญา เฮ้อ…น่าเสียดายที่ร่ำเรียนวิชาไม่ทันไรอาจารย์ก็ด่วนจากไป เดิมทีเจ้าควรเป็นคนที่รู้เคราะห์กรรมของตนดีที่สุด จำได้หรือไม่ว่าเคยทำอะไรใครไว้ให้เจ็บช้ำน้ำใจ”
เทพสาวนิ่งอึ้ง หลายหมื่นปีมานี้นางแทบไม่ได้ออกไปทำภารกิจที่ใด หากเป็นเคราะห์กรรมใหญ่ๆ ย่อมไม่มี อย่างมากก็แค่ไปกำจัดมารร้ายที่ออกอาละวาด จัดการจนมัน…
เทพสาวหน้าซีด พึมพำเสียงเบา “ด่านเคราะห์ของเทพ เป็นผลมาจากอะไรเจ้ารู้หรือไม่”
เหลียวเยว่คลี่พัดโบกไปมาพลางครุ่นคิด “อืม…หากสร้างกรรมกับเทพด้วยกัน ด่านเคราะห์คือต้องสนองกรรมนั้นคืน หรือหากว่าสร้างกรรมกับเผ่าพันธุ์อื่นที่มีอำนาจใกล้เคียงกับตัวเจ้าเอง นั่นย่อมไม่ได้ใช้เพียงเศษกรรม แต่ต้องตอบแทนให้สาสม เอ๊ะ…หรือเจ้าไปทำอะไรใครไว้”
หงหลิงเบือนหน้าหนี พวงแก้มแดงเล็กน้อย ตอบเสียงเบาหวิว “เก้าหมื่นปีก่อน ข้าหนีไปแดนมาร…”
เหลียวเยว่เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“...เดิมทีข้าคิดปลอมตัวไปตรวจสอบประตูมารและแอบเที่ยวเล่นในนั้น แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบปลอมเป็นชาย วันนั้นท้องฟ้าสีม่วงสดใสมาก ข้าตื่นเต้นจนเข้าไปในหุบเขามังกรม่วง แต่ระหว่างทางได้พบเจอนางมารตนหนึ่ง หน้าตานางคล้ายคลึงกับเฉียนเวยถึงเจ็ดส่วน ด้วยความคิดชั่ววูบข้าจึงแกล้งเกี้ยวพานางอยู่สิบปี คิดไม่ถึงว่านางมารตนนั้นจะรักข้าจริงๆ จนออกตามหาข้าไปทั่ว ข้ากลัวว่านางจะตามหาข้าเจอจนรู้ว่าเป็นเทพปลอมตัวมาจึงรีบหนีกลับแดนสวรรค์ จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็นครั้งแรก…นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องแผดเผาตัวเองเกิดใหม่”
เหลียวเยว่อ้าปากค้าง พูดไม่ออกไปพักใหญ่ ก่อนจะหุบพัดฉับกล่าวเสียงห้วนว่า "เจ้า! เจ้าถึงขั้นล่อลวงมารตนหนึ่ง นี่เจ้าวิปลาสไปแล้วหรือ หรือว่าเจ้าว่างมากเกินไปจนไม่มีอะไรทำ เป็นเทียนเฟิ่งอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ชอบไปหาเรื่องให้เดือดร้อนอย่างนี้ หรือว่าชีวิตของเจ้าสุขสบายจนเกินไปกันแน่?"
หงหลิงหลุบตามองพื้น เรื่องนี้แน่นอนว่านางยอมรับผิดแต่โดยดี เป็นเทพสวรรค์แต่กลับหาเรื่องกลั่นแกล้งผู้คนจากภพภูมิอื่น นับว่าผิดกฎสวรรค์ส่วนหนึ่ง ที่นางไม่โดนทัณฑ์สวรรค์ฟาดฟันนับได้ว่าเคราะห์ดีเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นแล้วนางเองก็ยังเด็กนัก ยามนั้นเทพบรรพกาลต่างจากเทพเซียนท่านอื่นอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจ ได้แต่คิดว่าเป็นผู้อื่นคาดหวังและกะเกณฑ์นางเกินไป ครั้นเหลียวเยว่พูดขึ้นมาเช่นนี้จึงอดรู้สึกแย่ไม่ได้
เทพหนุ่มกล่าวสำทับ "มาถึงตอนนี้ คิดหนีด่านเคราะห์ก็ลำบากเจ้าแล้ว ไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของนางมาตนนั้นส่งผลต่อแดนมารเพียงไหน แต่หากว่ามันทำให้เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ได้ ย่อมไม่ธรรมดาแล้ว หากเรื่องนี้ส่งผลใหญ่หลวงต่อหกภพภูมิ เจ้าคงไม่คิดจะหนีไปกระมัง"
"หนีหรือ...ช่างเถิด เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว จะแก้ไขอะไรได้"
"แล้วหลังจากนี้เจ้าจะเร้นกายจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าตลอดไปเลยหรืออย่างไร" เหลียวเยว่คิดถึงเรื่องที่นางวางแผนทิ้งภาระไว้ข้างหลัง ก็ทำใจไว้บ้างแล้วว่าหงหลิงอาจไม่คิดกลับไปรับตำแหน่งเทียนเฟิ่งดังเดิม
หงหลิงทอดถอนใจพลางกล่าวว่า "ทุกคนต่างเรียกหาความรับผิดชอบและการปกป้องจากข้า แล้วข้าสามารถร้องขอการปกป้องจากผู้ใดได้บ้าง หน้าที่ก็ดี ความรับผิดชอบก็ดี ใช่ว่าเทพสวรรค์จะมีแต่ข้าเสียเมื่อไร ยามนี้ข้าอยากปลดภาระลงจากบ่า แต่กลับกลายเป็นคนไร้เหตุผลไปเสียได้ มิใช่ว่าพอถึงคราวฝ่าด่านเคราะห์ ก็เป็นตัวข้าที่ต้องผ่านไปให้ได้ด้วยตัวเองหรอกหรือ บางทีแล้ว...ข้าอาจสมควรสลายจิตดับวิญญาณไปเสีย เผื่อว่าจะได้พักจริงๆ เสียที"