ตอนที่ 3 หวนคืน (1)

3449 Words
ตอนที่ 3 หวนคืน (1) เสียงกัมปนาทสงบลง เหล่าเซียนน้อยใหญ่ต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เทพปักษาที่แหวกว่ายอยู่ในสระปทุมทองถูกอสนีบาตฟาดลงมาเต็มๆ ร่างของนางแตกสลายกลายเป็นละอองสีทองกระจายไปทั่วท้องน้ำ ใจกลางสระปทุมทองเกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่ไหลเข้าสู่สวนท้อของเทียนโฮ่ว เซียนน้อยใหญ่แตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง เหล่าเซียนหญิงขวัญอ่อนร้องระงม เดือดร้อนเซียนผู้กล้าทั้งหลายที่ข่มความหวาดกลัวลงท้อง เข้าไปปลอบประโลมพวกนางอย่างหาญกล้า ได้หน้าไปเต็มๆ เซียนตาขาวกลุ่มหนึ่งหลบอยู่หลังศิลาสวรรค์ กล่าวถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อครู่อย่างออกรส “นึกไม่ถึงว่าเป็นถึงเทพปักษา เพียงถูกอสนีบาตฟาดไปครั้งเดียวร่างก็แหลกสลายเสียแล้ว เห็นทีที่ว่านางรับอสนีสวรรค์แทนหลานสาวจนได้รับบาดเจ็บสาหัสคงจะเป็นเรื่องจริง” “นางเป็นถึงเทียนเฟิ่งจะไร้น้ำยาถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เซียนคนหนึ่งสะบัดพัดลายไผ่เขียวอย่างร้อนใจ “ว่าก็ว่าเถิด เมื่อหกหมื่นปีก่อนอสนีสวรรค์เจ็ดสายยังสร้างริ้วรอยให้นางไม่ได้เลย ครานี้โดนไปครั้งเดียวถึงกับร่างสลายจิตแตกดับไม่เกินไปหน่อยหรือ” “เจ้าจะไปรู้อะไร นางมียาวิเศษที่นามว่ายาบัวหยกว่ากันว่าเพียงแค่ทาตัวยานี้ลงบนผิวกาย บาดแผลฉกรรจ์แค่ไหนก็หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เผ่าปักษารักสวยรักงาม มีหรือจะไม่ใช้ยาตัวนั้น” เซียนอีกตนขัดขึ้น “เอ๊ะ เซียนน้อย เหตุใดเจ้าถึงรู้เล่าว่านางไม่มีบาดแผล หรือเจ้ามาจากเผ่าปักษา” เซียนหนุ่มรีบยกพัดขึ้นบังหน้า ดวงตาเรียวงามกลอกกลิ้งไม่หยุด แสร้งกระแอมถอยกรูดไปอีกฝั่งหนึ่งของศิลาสวรรค์พลางกล่าวว่า “ข้าเพียงเดาเอาเท่านั้น อายุบำเพ็ญผู้น้อยเพียงหนึ่งหมื่นปี ไหนเลยจะสามารถมองท่านเทพปักษาตรงๆ ได้เล่า ท่านประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว” อีกฝ่ายหรี่ตาลงราวกับต้องการจับผิด หันไปพูดกับเซียนอีกตน “เจ้าไปพาเซียนผู้นี้มาจากไหนกัน” “ข้าพบเขาตรงทางเข้าประตูสวรรค์ ผ่านทหารหน้าประตูมาได้ ก็แสดงว่าเขาประจำอยู่ที่นี่ เทพเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีตั้งมากมาย ท่านจะคิดมากไปไยท่านซือซือ” ซือซิง หรือที่เหล่าเซียนผู้น้อยเรียกด้วยความเคารพว่าซือซือคือเทพลิขิตชะตา เขาเป็นหนึ่งในผู้เฝ้าศิลาสวรรค์แห่งนี้ เนื่องด้วยหน้าที่รองของบรรดาเทพลิขิตชะตาคือเฝ้าศิลาสวรรค์ นอกจากผู้ที่ได้รับอนุญาตล้วนไม่สามารถมายืนบริเวณนี้ในระยะสามจั้ง[1]ได้ เซียนที่มีตบะเพียงหมื่นปี แม้แต่จะเฉียดกรายรอบศิลาสวรรค์ก็ยังทำไม่ได้ ความคิดอันเฉียบไวของซือซิงทำงานทันที “จับตัวเซียนผู้นั้น!” ซือซิงออกคำสั่ง แส้ทัณฑ์สวรรค์พลันปรากฏในมือ “ขอรับ” เซียนติดตามกระโดดหมายตะครุบตัวอีกฝ่ายตามคำสั่ง ทว่าพริบตาเดียวกลับคว้าได้เพียงอากาศ “ท่านซือซือ เขาหายไปแล้ว” ซือซิงคิ้วขมวด เมื่อครู่เพราะเหตุการณ์น่าตื่นตระหนกจนทุกคนขวัญกระเจิง ตัวเขาเพิ่งเข้ามาทำงานเฝ้าศิลาสวรรค์ได้ไม่นานไหวพริบจึงไม่ค่อยดีนัก เผลอพูดคุยกับผู้อื่นเสียนานจนเลินเล่อว่าต้องทำอะไรบ้าง “ช่างเถิด เข้าใกล้ศิลาสวรรค์ได้คงมิใช่ปีศาจหรือมารที่ไหน คนหายไปแล้วก็แล้วไป ต่อไปเราต้องเคร่งครัดให้มากกว่านี้ เทียนจวินกับเทียนโฮ่วคงทราบข่าวแล้ว ข้าจะไปเขียนรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านเซียนซิงจื่อ” รอบสระปทุมทองกลับคืนสู่ความเงียบสงบอย่างรวดเร็ว เทียนจวินมีรับสั่งให้ทุกคนกลับไปที่พำนัก เลื่อนงานชุมนุมบุปผชาติไปโดยไม่มีกำหนด เหตุการณ์ที่เทพปักษาถูกทัณฑ์สวรรค์จนร่างสลายมิใช่เรื่องเล็กน้อย ขบวนที่เคลื่อนไปยังสวนท้อจึงเลี้ยวกลับไปยังท้องพระโรง “ทูลเทียนจวิน กระหม่อมลองใช้ตาที่สามตรวจสอบแล้ว ไม่พบไอเทพของเทียนเฟิ่งเลยพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพสวรรค์เอ่ยด้วยสีหน้ากังวล เทียนจวินคลึงขมับ รู้แก่ใจว่าเรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก กว่าเทียนเฟิ่งจะยอมออกจากเผ่าปักษาเพื่อมาเยือนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เทียนโฮ่วส่งเทียบเชิญไปไม่รู้กี่หมื่นครั้ง ครั้นนางตอบรับเทียบเชิญ กลับกลายเป็นเคราะห์กรรมไปเสียได้ “ฝ่าบาท เป็นหม่อมฉันเองที่ผิด เทียนเฟิ่งปฏิเสธร่วมงานชุมนุมหลายครา คงมีญาณพิเศษรับรู้ถึงภัยอันจะเกิดล่วงหน้า หากหม่อมฉันไม่ทู่ซี้เช่นนั้น นางคงยัง…” เทียนโฮ่วกลืนก้อนสะอื้นในอก ใบหน้าซีดเซียว ไม่รู้จะกล่าวเช่นไรต่อ ท่าทางคล้ายจะหมดสติอยู่รอมร่อ “มิใช่ความผิดของเจ้าหรอก หม่านหง…พาเทียนโฮ่วกลับตำหนักไปก่อน” “เพคะ” องค์หญิงหม่านหงก้าวขึ้นหน้า ย่อกายรับคำสั่งด้วยท่าทางอ่อนช้อยงดงาม ใบหน้าของนางครึ่งหนึ่งแม้ซ่อนไว้ภายใต้แพรสีขาวบาง หากแต่โครงคิ้วและดวงตากลับสามารถตรึงวิญญาณเทพเซียนทั้งหลายในท้องพระโรงมิให้ละสายตาไปจากนางได้ ท้องพระโรงกลับสู่ความเงียบสงบ เหล่าเทพเซียนชั้นสูงยืนนิ่ง แววตามีแต่ความกลัดกลุ้ม ด้วยต่างรู้ดีว่าที่เทียนเฟิ่งยอมมาที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าเพราะความผิดปกติของเสาค้ำยันสวรรค์ หากจะหาคนรับผิดชอบ ย่อมต้องเป็นบรรดาผู้คนที่อยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้ “ทูลเสด็จพ่อ ลูกรู้จักเทียนเฟิ่งมานาน ด้วยนิสัยของนางแล้วหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องมีทางออกทางอื่นเผื่อไว้เสมอ อีกทั้งตบะของนางมิใช่น้อยๆ ถูกอสนีสวรรค์ไปเจ็ดสายยังไม่ระคายผิว ที่สำคัญนางเป็นถึงเทพบรรพกาล ทุกครั้งที่เกิดเหตุร้ายย่อมต้องมีเหตุการณ์พิเศษขึ้นอย่างแน่นอน อีกอย่าง...เฟิ่งหวงเป็นเทพที่สามารถรวบรวมดวงจิตกลับคืนมาได้รวดเร็วที่สุดในหกภพภูมิ หากนางหายไปโดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า ลูกคิดว่าเป็นความต้องการของนางเองพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อแห่งแดนสวรรค์ออกหน้า ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ นัยน์ตานิ่งสงบดุจน้ำในทะเลสาบหยก ภายใต้สถานการณ์เพียงชั่วครู่กลับสามารถวิเคราะห์เรื่องราวออกมาได้อย่างชัดแจ้ง แม้แต่เทียนจวินเองก็ยังมองโอรสด้วยสายตาชื่นชม “เจ้าคิดเช่นนั้นรึ” ไท่จื่ออี่ฉินประสานมือคารวะ ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ศิษย์น้องของลูก ลูกย่อมรู้จักนางดี” เทียนจวินและบรรดาเทพเซียนอาวุโสต่างก็ถอนใจด้วยความโล่งอก แม่ทัพสวรรค์หลี่จิ้งคล้ายถูกดูหมิ่นตาที่สาม อดสอดปากถามขึ้นกลางที่ประชุมไม่ได้ “ไท่จื่อ ตาที่สามของกระหม่อมสามารถตรวจสอบดวงจิตของเทพเซียนได้ทั้งหกภพภูมิ เหตุใดจึงไม่สามารถรับรู้ถึงดวงจิตของเทียนเฟิ่งได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” อี่ฉินกระตุกยิ้ม ประสานมือตอบแม่ทัพสวรรค์ด้วยความสุขุม “ดวงตาที่สามของแม่ทัพหลี่เลื่องชื่อลือนามไปทั่วทั้งหกภพภูมิ อี่ฉินมิกล้าดูหมิ่น ทว่าตบะของเทียนเฟิ่งเหนือกว่าเทพบำเพ็ญเพียรไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จึงส่งผลให้ดวงตาของท่านมิอาจทำงานได้เต็มที่” พลังเทพบรรพกาลต่างจากเทพที่บำเพ็ญมาจากเซียนอยู่มาก เนื่องจากเมื่อถือกำเนิดมาก็เป็นเทพแล้ว บำเพ็ญตบะไม่กี่หมื่นปีก็ก้าวนำเทพบำเพ็ญเพียรไปไกลลิ่ว แม่ทัพสวรรค์หลี่จิ้งได้ยินเช่นนั้นจึงเข้าใจในทันที “หลี่จิ้งขออภัย ข้าลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปจริงๆ” ที่จริงมิใช่ว่าดวงตาที่สามของแม่ทัพสวรรค์มิเคยผิดพลาด เมื่อหลายหมื่นปีก่อนองค์ชายสามของเผ่าสวรรค์ก็หายตัวไปเช่นนี้ หลี่จิ้งใช้ดวงตาที่สามตรวจสอบเช่นไรก็ไม่พบ ทว่าศิลามังกรกลับมิได้มอดแสงลงแม้แต่น้อย นั่นหมายความว่าเจ้าของยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในหกภพภูมิ เทียนจวินจึงปักใจเชื่อว่าองค์ชายสามเพียงแค่เร้นกายหายไป “เอาล่ะ หากเป็นประสงค์ของเทียนเฟิ่ง เราเองก็ยากจะตามหา ทว่ายามนี้เทพบรรพกาลที่สามารถควบคุมประตูมารมีไม่มาก เทพปักษาหายตัวไปย่อมต้องหาคนมาแทน ทว่าระหว่างนี้พวกท่านทั้งหลายโปรดอย่าเพิ่งตื่นตูมไปไกล โดยเฉพาะหากเทพมังกรกลับมา จงเก็บเรื่องเทพปักษาให้เงียบที่สุดเข้าใจหรือไม่” “เทพมังกรจะกลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เทียนจวินพยักหน้า “เหตุใดต้องปกปิดเรื่องนี้กับเทพมังกรด้วยเล่าฝ่าบาท” เซียนดอกท้อเอ่ยขึ้น คิ้วเคราขาวโพลนบนใบหน้าทำให้ดูคล้ายกับเฒ่าจันทราถึงสามส่วน หากแต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คิ้วเคราเหล่านั้นกลับทำให้ผู้อื่นรู้สึกขัดนัยน์ตายิ่ง เทียนจวินมีสีหน้าลำบากใจ “หากเทพมังกรทราบว่าคู่บุพเพหายตัวไป ย่อมต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเพื่อตามหานางอย่างแน่นอน” “เช่นนั้นไม่ดีหรือ ให้เทพมังกรช่วยค้นหานาง” ไท่จื่ออี่ฉินเอ่ยแทรกเสียงเรียบ “ท่านเซียนโปรดตรึกตรองให้ดี ยามนี้เทพปักษาหายตัวไป ความปลอดภัยของประตูมารก็ว่าย่ำแย่แล้ว หากเทพมังกรที่กำลังจะกลับมาหายไปอีกองค์ มิคาดว่าประตูมารจะสุ่มเสี่ยงถูกทำลายได้โดยง่ายหรือ” “แต่พวกเราต่างทราบดีว่าเทพมังกรหนีบุพเพของตนจนยอมหลับใหล นั่นมิเท่ากับว่าตัวเขาเองมิได้มีเยื่อใยใดๆ ต่อนางแม้แต่น้อย” เซียนอีกคนวิเคราะห์ อี่ฉินที่หลุบตาซ่อนประกายลึกล้ำ เทพเซียนเหล่านี้รู้เรื่องราวเพียงผิวเผิน ไหนเลยจะเข้าใจความคิดของเฉียนเวย ไท่จื่อแห่งแดนสวรรค์จึงเก็บปากเงียบ เซียนดอกท้อพลันเอ่ยสอดขึ้นมา “ไม่มีจิตผูกพัน ก็ยากจะสร้างบุพเพ เรื่องราวเหล่านี้ เทพเซียนที่ไม่เคยพานพบดอกท้อของตนจะใช้ประสบการณ์อันตื้นเขินมาวิจารณ์มิได้” ถ้อยคำเรียบง่าย น้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับทำให้เซียนผู้นั้นหน้าเขียวคล้ำในทันที “พวกเจ้าเลิกถกเถียงกัน บุพเพเป็นเพียงสื่อนำ วาสนาต่างหากที่สำคัญ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง หากเขาต้องการพบเทียนเฟิ่ง เราจะพาเทียนเฟิ่งมาให้เขาพบเอง” เซียนท่านหนึ่งมีท่าทีลุกลี้ลุกลนวิ่งเข้ามาในท้องพระโรง ใบหน้าซีดเผือด สีหน้าแตกตื่น “ทูลเทียนจวิน มีมังกรทองตัวหนึ่งกำลังกอดรัดศิลาสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ” เซียนผู้นั้นคือซือซิง เดิมทีเขากลับมารักษาความสุขุมได้แล้ว มิคาดว่าพอกลับไปเขียนรายงานส่งเซียนซิงจื่อ กลับมาอีกทีก็เห็นมังกรทองตัวหนึ่งกำลังกอดรักฟัดเหวี่ยงกับศิลาสวรรค์ราวกับโกรธแค้นกันมา คิดจะเข้าไปยุ่งก็เข้าไปไม่ได้เนื่องด้วยม่านพลังของมันแข็งแกร่งเกินไป ก่อนที่เขาจะวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานมารายงานได้ บรรดาเซียนที่เฝ้าศิลาสวรรค์ทั้งหมดก็แทบจะล่อนจ้อน ถูกสายฟ้าลามเลียจนอาภรณ์ไหม้เกรียม เป็นที่อุจาดตานัก เทียนจวินสบตากับโอรส สีหน้าพลันสงบราบเรียบไร้กังวล “เซียนน้อย เจ้าหายใจก่อน นอกจากนี้มีอะไรอีกหรือไม่” ซือซิงส่ายหน้า แววตาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ก่อนจะระบายความกังวลออกมา “กระหม่อมเกรงว่าเหล่าเซียนบนสวรรค์จะได้รับอันตรายพ่ะย่ะค่ะ” เซียนในท้องพระโรงสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ถึงเก้าส่วน จึงมิได้แตกตื่นกันแล้ว เทียนจวินจังมีรับสั่ง “บอกให้เซียนทั้งหมดถอนกำลังออกมา ไม่ต้องไปเฝ้าศิลาสวรรค์ ระหว่างนี้ตระเตรียมงานชุมนุมบุปผชาติในอีกสามวัน” “ฝะ…ฝ่าบาท!” ซือซิงแทบจะร่ำไห้ ศิลาสวรรค์เป็นความรับผิดชอบของเขา หากมันพังไป นั่นมิเท่ากับว่าเขาต้องรับผิดชอบรับทัณฑ์สวรรค์หรอกหรือ “เซียนซือซิง เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป เทพมังกรเพิ่งตื่นจากการหลับใหล ศิลาสวรรค์คือสิ่งที่เทพบิดรสร้างขึ้น เขาอาจต้องการลับกรงเล็บให้แหลมคมก็เป็นได้” หากเฉียนเวยได้ยินคงหน้าตึง ทว่าซือซิงกลับถอยกรูด เอามือปิดปากด้วยความตกตะลึง ทะ…เทพมังกรหรือ? ลัดเลาะผ่านแมกไม้ แหวกว่ายผ่านกระแสธารา กว่าจะถึงยอดเขาหลิงหลงด้วยย่างก้าวหมื่นลี้ หงหลิงใช้เวลาถึงสามวันสามคืน เชิงเขาหลิงหลงเป็นประตูเซียน สำหรับต้อนรับผู้บำเพ็ญจากทั้งหกภพภูมิ แม้แต่มารหรือปีศาจ หากสามารถผ่านด่านกระจกส่องใจไปได้ ก็สามารถบำเพ็ญเป็นเทพเซียนได้เช่นกัน ร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีขาวสะท้อนแสงจันทรา มือที่ไพล่หลังหมุนขลุ่ยหยกสีเข้มไปมาราวกับกำลังคิดไม่ตก เส้นสายบนใบหน้าปรากฏเหลี่ยมเงางดงาม ผิวกายที่ต้องแสงจันทราคล้ายทอประกายเรื่อเรืองแลดูน่าค้นหา หากลอบมองจากที่ไกลๆ ก็คล้ายกับหนุ่มน้อยเจ้าสำราญคนหนึ่ง ทว่านางเป็นสตรี สตรีที่ใดจะชอบให้ผู้อื่นเรียกคุณชาย ดวงตาหงส์อ่อนแสงลง ก้มมองหน้าอกอย่างเศร้าสลด ต่อให้นางบอกผู้อื่นว่าเป็นหญิง แล้วใครจะเชื่อเล่า คนพวกนั้นต้องคิดว่านางวิปริตผิดเพศอย่างแน่นอน หงหลิงทอดถอนใจ แกว่งขลุ่ยในมือขณะเดินไปข้างหน้า นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเทพอย่างนางต้องเดินผ่านกระจกส่องใจตรงเชิงเขาหลิงหลงเช่นนี้ ลมพัดหวีดหวิว เสียงสวบสาบของใบไม้ดังขึ้นคล้ายข่มขวัญ หงหลิงแค่นเสียงขึ้นจมูก นึกดูถูกเหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่คิดจะแกล้งผู้อื่น ประเดี๋ยวเดียวหัวใจของเทพสาวก็พลันห่อเหี่ยว ปกตินางมักจะจงใจแกล้งสาดรัศมีเทพใส่พวกเซียนที่อยากรู้อยากเห็นว่าใบหน้าของนางเป็นเช่นไรเพื่อจะเอาไปคุยข่มผู้อื่นต่อ ส่วนใหญ่จึงไม่มีใครรู้ชัดว่าใบหน้านางจะงดงามหรืออัปลักษณ์ หากแต่ตอนนี้อย่าว่าแต่รังสีเทพเลย แม้แต่จะใช้ย่างก้าวหมื่นลี้ยังสิ้นเปลืองพลังจนแทบจะยืนไม่ไหว คล้ายกับสวรรค์จงใจกลั่นแกล้งนางด้วยความเอ็นดูโดยเฉพาะ นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แกว่งขลุ่ยหยางเยี่ยนไปเบื้องหน้าไม่หยุด ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำลอยตามลม ขนคอของนางพลันลุกชัน มือขวากระชับอาวุธวิเศษแน่นขึ้น กระแสลมร้อนปัดป่ายผิวคอขาวผ่อง กลิ่นอายคล้ายฟางข้าวลอยกระทบนาสิก เทพสาวในสภาพหนุ่มน้อยหันขวับ แววตาที่มักเกียจคร้านในการมองถลึงกว้างไปยังใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ต้นหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงขุ่น “เหลียวเยว่! คิดว่าได้เป็นอาจารย์ผู้อื่นแล้วจะกลั่นแกล้งข้าได้หรือ!” พริบตาร่างนั้นพลันปรากฏตรงหน้า อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์พลิ้วไหว เส้นผมดำขลับปัดผ่านใบหน้าหงหลิงพอให้นางจั๊กจี้ คิ้วกระบี่พาดเฉียงเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมโค้งขึ้น รอยยิ้มขบขันพลันปรากฏ เขามองหน้าอกที่เปลี่ยนไปของนาง กล่าวหยอกเย้า “นกน้อยของข้า เหตุใดยิ่งนานหน้าอกของเจ้ายิ่งย่อยสลายไปราวกับสังขารของมนุษย์เล่า” “งูดินน้อย อยากให้ข้าจับเจ้าลงไปว่ายน้ำแข่งกับปลาไหลหรือไม่” ดวงตาหงส์ปรากฏแววอำมหิต กลีบปากบางกระตุกเป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา เหลียวเยว่หน้าตึง ยืดกายขึ้นสูงคิดข่มนางด้วยสัดส่วนที่แตกต่าง ทว่าหงหลิงหาได้ใส่ใจไม่ นางหันหลังกลับไปสนใจกับทางขึ้นเขาต่อ หนึ่งในเทพผู้เลื่องชื่อไปทั่วทั้งหกภพภูมิอย่างเหลียวเยว่ถูกศิษย์ร่วมอาจารย์หมางเมินเช่นนี้ย่อมมิได้ถือสา ทว่าสภาพผิดปกติของคนตรงหน้ากลับทำให้แววตาของเขาขรึมลง เอ่ยเสียงเครียด “เสี่ยวหง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” เขาจับนางให้หมุนกลับ ล้วงเอาพัดประจำตัวมาตบไปตามร่างกายของนาง หงหลิงคิดว่าเขาตีเล่นๆ จึงมิได้คิดอะไร ทว่าเมื่อด้ามพัดสัมผัสกับแขนของนาง ร่างของหงหลิงก็พลันทรุดลงในทันที “เจ้าบาดเจ็บหรือ เมื่อครู่ข้าลองใช้อาคมตรวจสอบ เกิดอะไรขึ้นกับปีกไก่ของเจ้า” หงหลิงถลึงตาใส่ “ปีกไก่บ้านเจ้าสิ ข้าจะผ่านขึ้นไปได้อย่างไร” นางถาม หันไปยังทางขึ้นเขาหลิงหลง ตอนนี้อยากนอนจนลืมตาไม่ขึ้นแล้ว “เจ้าอย่าเพิ่งเฉไฉ ไปทำอะไรมาจึงเป็นเช่นนี้ได้” หากบอกความจริงไปคนรักหน้ายิ่งชีพอย่างนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เหลียวเยว่สังเกตเห็นพิรุธจากนางก็พอจะคาดเดาอะไรออก นางเรียกอาวุธวิเศษออกมาใช้ คิดว่าคงจนตรอกแล้วจริงๆ เห็นแก่ที่เป็นสหายกันมานานจึงทำเป็นมองข้ามไปชั่วคราว “ไม่พูดก็เรื่องของเจ้า นึกไม่ถึงเทพปักษาต้องเดินดินขึ้นเขาหลิงหลง หากผู้อื่นรู้เข้าคงล้อเจ้าไปจนตาย” “พูดมากจริงๆ อ๊ะ…เจ้าทำอะไร” เหลียวเยว่หันหลังย่อให้นาง มือทั้งสองข้างหงายขึ้นแล้วยื่นมาข้างหลัง “ขี่หลังข้าขึ้นไปเร็วกว่า” “แต่ข้า…” “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากทดสอบกระจกส่องใจ แต่นี่ใช่เวลาหรือ บาดเจ็บขนาดนี้ยังทำเป็นเล่นอีก” เขาพูดเสียงดุ หงหลิงแลบลิ้นใส่แผ่นหลังชายตรงหน้า อยากกวนเขาอีกหน่อย “อุ้มข้าไปไม่ดีกว่าหรือ” เหลียวเยว่แค่นเสียงขึ้นจมูก “ไม่ได้” “เล่นตัว” นางว่า แต่ก็ขี่หลังเขาแต่โดยดี “หึ…ข้าเก็บอ้อมแขนไว้อุ้มเจ้าสาว อุ้มหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงอย่างเจ้าในตอนนี้ เกรงว่าจะถูกบรรดาศิษย์หลิงหลงเข้าใจผิดไปไกล” เหลียวเยว่ลุกขึ้น ผิวปากเสียงเบา เมฆมงคลเคลื่อนมาใต้ฝ่าเท้า “จับข้าแน่นๆ” “อืม…ลืมไปเลยว่ายังมีเมฆมงคลอยู่” นางพึมพำ ลมเย็นปะทะผิวหน้า ราวกับว่ากำลังสยายปีกบินอยู่เหนือท้องฟ้า “หงส์จอมหยิ่งทะนงอย่างเจ้า เกียจคร้านไม่อยากฝึกขี่เมฆเอง จะมาบ่นอะไรตอนนี้” “พอบินไม่ได้ ก็เริ่มเห็นประโยชน์บ้างแล้วล่ะ” “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” หงหลิงไม่เถียง เคยคางบนบ่าของเทพหนุ่ม นึกถึงตอนเด็กที่เคยเล่นเคยเรียนด้วยกัน เหลียวเยว่คือเพื่อนที่นางไว้ใจและสนิทสนมมากที่สุด “อาเหลียว ข้าง่วงแล้ว” ใบหน้าของเขาอ่อนลง ขานรับคำหนึ่ง “เหนื่อยแล้ว พักเถอะ” "นี่" "หืม..." "ข้าเปลี่ยนนามแล้วนะ" เหลียวเยว่เลิกคิ้ว ยังไม่ถึงเวลามิใช่หรือ แต่นางล้าเต็มทีแล้ว คงไม่อยากอธิบายอะไร "อืม" "หงหลิง" เมฆมงคลลอยต่ำ หยุดอยู่ตรงเรือนพักริมหน้าผาสูง แสงจันทร์สีเงินยวงสะท้อนป้ายชื่อด้านหน้าเป็นประกาย หงหลิง คล้ายกับตอบรับการกลับมาของนาง "พอจับติ้วได้ชื่อนี้ ข้าก็คิดว่าควรกลับมา อย่างน้อยชื่อนี้อาจารย์ก็ตั้งให้" "นับว่ากตัญญู" เขาวางนางไว้ที่เตียง คอยห่มผ้าให้ "จอมเกียจคร้านอย่างเจ้า ยามนี้ใช้ชื่อที่อาจารย์ตั้งให้ นับว่าไม่เลวแล้ว" ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาคิดว่านางหลับแล้วจึงหันหลังกลับ หงหลิงพลันเอ่ยพึมพำ “อาเหลียว…เขากลับมาแล้วล่ะ” “อืม…” เหลียวเยว่ถอนใจ พึมพำเสียงแผ่ว “วางใจเถอะ หากเจ้าไม่สมหวัง ข้าเองก็ต้องโดดเดี่ยว ใครใช้ให้หน้ามืดสาบานตนว่าจะช่วยเจ้าจนเป็นฝั่งเป็นฝากันเล่า” ‘เหลียวเยว่ขอสาบานตน หากช่วยให้เสี่ยวหงเป็นฝั่งเป็นฝาไม่ได้ ชาตินี้ไม่ขอมีบุพเพกับผู้ใด’ [1] หน่วยวัดระยะ 1 จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD