จำปีผู้เป็นคู่ชีวิตของนายโวนั่งอยู่หลังบ้าน ขณะนั้นนางกำลังนึ่งข้าวเหนียวอยู่พอดี เสียงฟืนแตกปะทุและควันโขมงสีเทาขุ่นๆ ส่งกลิ่นฉุนแสบจมูกซึมซ่านเข้าไปถึงปอด แต่นางก็หลงไหลสูดกลิ่นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วคล้ายกับมันเป็นยาชนิดพิเศษ เพราะมันมีความมาดหมายสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ณ ถึงวันนี้ทุกคนในครอบครัวยังมีลมหายใจซึ่งมันจะตามมาด้วยกลิ่นหอมข้าวสุกโชยคลุ้งตลบออกมาจากภาชนะจักสานที่เรียกว่า “หวด” อานุภาพของเจ้าแม่โภสพยังอยู่เคียงข้างคนในบ้านน้อยหลังนี้
นางใช้ผ้าขาวม้ารัดอกไว้แน่นหนาแลดูเรียบร้อยสวยงาม ชายผ้าที่ห้อยลงมาจากซอกแขนทั้งสองข้างปลิวสะบัดเวลานางเอี้ยวร่างบางหยิบมีดขึ้นมาจักตอกสำหรับสานกระติบข้าวซึ่งเป็นอาชีพรองแต่เป็นรายได้หลักสำหรับเลี้ยงครอบครัว ความคล่องแคล่ว ทะมัดทะแมงยังเต็มแน่นขนัดในหนั่นเนื้อของนาง แม้จะผ่านการให้ชีวิตคนมาแล้วถึงสองคนก็ตาม
“จะว่ายังไง จะว่ายังไง!”
พอนางได้ยินผัวเดินเข้ามาพูดระรัวเรื่องลูกแพะที่เขาได้มาจากวงพนันนางรู้สึกใจหายทันทีถึงกับห่อตัวลงแทบจะไม่หายใจ จ้องมองเปลวไฟไม่กะพริบ นางยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง เก็บออมพลังงานพลางคิดหาหนทางรักษาชีวิตคนในครอบครัวให้รอดพ้นจากความหิวโซ มันคือความคิดอย่างเดียวที่มันครอบงำทุกเวลานาทีที่ตื่นลืมตาขึ้นมา นางไม่อยากตกเป็นทาสของความอ่อนเพลีย เพราะมันหมายถึงความตายสถานเดียวที่กำลังเพรียกหา
“จะเอายังไงเรื่องแพะ” เขาย้ำถามกับเมียอีกครั้ง
“แล้วแกจะเอายังไงล่ะ”
“แล้วแต่”
“ฉันยินดี….” นางพูดคำนี้อย่างฝืนใจคงไม่ต่างจากผู้เป็นผัวเท่าใดนัก “ถ้าโรงเรียนต้องการลูกแพะไปเลี้ยงให้เด็กๆเรียนรู้ความรักที่มีต่อสัตว์ แต่ฉันขอเสนอข้อเดียวเป็นข้อแลกเปลี่ยนจะได้ไหม”
“รีบบอกมาเถอะ ครูนั่งรอนานแล้ว เกรงใจครู”
“จะดีมั๊ยล่ะ!”
“จะไปรู้รึ!อะไร ว่ามา!”
“ถ้าเอาลูกแพะไปไว้โรงเรียนแล้ว ปล่อยบักหำออกจากโรงเรียนได้ไหม จะได้ออกมาช่วยทำกินให้เหลือไว้แต่อีนางน้อยคนเดียว”
นางเป็นคนมีความรู้น้อย ไม่ได้เดินทางไปไหนไกลเกินกว่าเข้าป่าเก็บเห็ด หักฟืนและไปวัดไปป่าช้าบ้างในบางโอกาส นางใจหายทุกครั้งเมื่อนึกถึงข้าวเปลือกในยุ้งเหลืออยู่เพียงหยิบมือเดียว ฉากสีดำมันพร้อมจะคลี่คลุมลงมาทุกเสี้ยวนาที แต่เพื่อไม่ให้เสียมารยาทนางจึงเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับผู้เป็นผัว โดยลืมไปว่าในมือของนางบังเอิญมีพร้าอีโต้และติ้วไม้ไผ่ติดมือออกมาด้วยตามความเคยชิน ไม่เคยปล่อยมือให้อยู่ว่างเข่นเดียวกับจมูกไม่เคยลืมหายใจ