6
“มีแต่อาหารหมา เอาไปให้ลูกเธอกินกันตายก่อนไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พิมลวัลย์โกรธจนตัวสั่น ใครทำอะไรกับเธอ เธอทนได้ ใครจะว่าเธอยังไงเธอทนไหว แต่ใครหน้าไหนแตะต้องและเหยียดหยามลูกสาวที่เธอเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกไม่ได้ พิมลวัลย์ก้มหยิบกล่องอาหารสุนัขขึ้นมา ฉีกกล่องอาหารออกและเทอาหารเต็มพื้นกระเบื้องของห้องครัว ก่อนจะก้าวเดินไปหาสาวใช้ที่ยืนเท้าสะเอวมองดูเธออยู่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“มานี่...” เพลินจิตตกใจเมื่อร่างของเธอถูกกระชากอย่างแรงด้วยมือของพิมลวัลย์ ส่วนมืออีกข้างจับมั่นที่ท้ายทอยของสาวใช้ พิมลวัลย์ใช้เท้าเตะไปที่ข้อพับหัวเข่าของเพลินจิต ทำให้หัวเข่าทั้งสองข้างคุกเข่าอยู่ที่พื้น หญิงสาวออกแรงกดที่ท้ายทอยของเพลินจิตให้ก้มต่ำลงไปที่พื้น
“อาหารหมามีไว้สำหรับหมา เหมือนกับเธอไงที่ปากเหมือนหมาก็เลยต้องกินอาหารหมากันตาย” มือบางอีกข้างละจากข้อมือของสาวใช้ หยิบอาหารสุนัขที่กระจายเกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้นขึ้นมา และจับยัดใส่ปากของสาวใช้ปากสุนัขที่ร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ หากแต่อาหารสุนัขที่มีอยู่เต็มปากทำให้เสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่สามารถเล็ดลอดออกมาได้
“เอ้า...กินเข้าไปปากจะได้หายหมา” พิมลวัลย์หยิบอาหารสุนัขที่อยู่ที่พื้น จับใส่เข้าไปในปากของหญิงคนนั้นไม่ยอมหยุด แถมเอามือปิดปากไว้ไม่ให้คายอาหารสุนัขออกมา เพลินจิตจึงต้องกลืนอาหารเหล่านั้นเข้าไปในลำคอก่อนที่จะจุกคอตาย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย” เสียงของเพลินจิตร้องดังลั่นเมื่อกลืนอาหารสุนัขที่พิมลวัลย์จับใส่ปากไปจนหมดสิ้น ทำให้คนรับใช้ที่อยู่ด้านนอกวิ่งกรูเข้ามาในครัว
“นี่มันอะไรกัน?” เสียงตวาดดังลั่นของปกรณ์ดังขึ้นเมื่อเดินตามต้นเสียงเข้ามาภายในครัว ดวงตาคมเข้มกวาดสายตาไปทั่วห้องครัว ที่พื้นเต็มไปด้วยอาหารสุนัขกระจายเกลื่อนตามพื้น และที่ทำให้เขาตื่นตกใจก็คือร่างของสาวใช้ส่วนตัวของนีรนารถ ที่ติดสอยห้อยตามเจ้านายสาวมาทำงานที่นี่ นั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นกระเบื้อง รอบริมฝีปากเต็มไปด้วยเศษอาหารสุนัข
“ฉันถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” เขาตะโกนถามอีกครั้งหลังจากไม่ได้รับคำตอบจากใคร
“ให้อาหารหมาไง...ไม่เห็นเหรอ?” พิมลวัลย์จ้องมองปกรณ์อย่างไม่เกรงกลัว
“ไหนล่ะหมาของเธอน่ะ?” ชายหนุ่มย้อนถาม
“นี่ไง” พิมลวัลย์ชี้ไปที่ร่างของเพลินจิตที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่พื้น
“จะบ้าหรือไง จิตเป็นสาวใช้ของที่นี่ ไม่ใช่เป็นหมา เธอจะดูหมิ่นคนของฉันมากเกินไปแล้วนะ” เขาพูดอย่างเดือดดาล มองใบหน้าของพิมลวัลย์นิ่ง ซึ่งเธอเองก็หาได้หลบสายตาคู่นั้นไม่
“แล้วคุณถามฉันบ้างมั้ย? ว่าทำไมฉันถึงต้องทำแบบนี้” พิมลวัลย์ตะโกนสวนกลับ
“ทำไมต้องถาม เพราะเธอไม่มีสิทธิ์อะไรในบ้านนี้อยู่แล้ว เป็นแค่คนอาศัยจะมาทำหยิ่งผยองที่นี่ไม่ได้”
“อย่างกับฉันอยากอยู่ที่นี่...ถ้าไม่ติดที่จินนี่ฉันไม่มีวันมาเหยียบบ้านของคนใจทรามอย่างคุณแน่นอน” เธอตอกกลับอย่างเผ็ดร้อน
“งั้นก็ไปซะสิ ไปเลยไสหัวไปทั้งแม่ทั้งลูกเลย อย่างกับฉันอยากให้เธอกับลูกอยู่ที่นี่ ลูกใครก็ไม่รู้แล้วมาตู่เป็นลูกฉัน” เขามองเธอด้วยสายตาหยามเหยียด มีหรือว่าคนอย่างพิมลวัลย์จะยอม
“ฉันจะบอกคุณตรงนี้เลยว่า จินนี่เป็นลูกของหมาขี้เรื้อนที่ชื่อ ปกรณ์ รัตนะบดินทร์ แค่นี้ชัดมั้ย?” ดวงตาของปกรณ์ลุกเป็นประกายไฟ ไม่เคยมีใครกล้าว่าเขารุนแรงขนาดนี้ ไม่เคยมีใครเหยียดหยามศักดิ์ศรีเขาเท่าเธอมาก่อน เธอเป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่จะได้ว่าเขา เพราะชายหนุ่มไม่มีวันปล่อยให้เธอลอยนวลเป็นแน่
“เธอว่าใครเป็นหมาขี้เรื้อน” เขากัดฟันถามพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวอย่างช้าๆ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความกรุ่นโกรธ จนคนรับใช้รวมทั้งคนสนิทที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างลอบกลืนน้ำลายกับท่าทางของเจ้านายหนุ่ม กลัวเหลือเกินว่าจะทำร้ายหญิงสาวร่างบางตรงหน้าให้ย่อยยับ จะเข้าไปห้ามปรามก็กลัวโดนของแถมกลับมา จึงได้แต่ยืนคุมเชิงอยู่รอบๆ แทน
“ก็ว่าคุณไง หูหนวกหรือไม่มีสมองคิด...ถึงไม่รู้ว่าฉันหมายถึงใคร?” เธอย้อนถามเขาอย่างไม่เกรงกลัวท่าทางและแววตาของเขาเลยแม้แต่น้อย แถมยังจ้องตอบดวงตาคู่นั้นกลับไปด้วย ดวงตาสองคู่มองสบตากันชนิดที่ว่าตาแทบไม่กะพริบ เขาไม่หลบเธอก็ไม่ถอย สู้รบกันทางสายตา จนคนรอบข้างรับรู้ถึงความอึดอัดที่โรยตัวอยู่รอบๆ บริเวณ ปกรณ์เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาพิมลวัลย์ จ้องมองดวงหน้างามตาไม่กะพริบ บดกรามแน่นข่มอารมณ์ที่โหมกระพือสุดกำลัง
“อย่าให้ฉันรู้สึกว่าทนไม่ได้ขึ้นมา...เพราะเธอจะเดือดร้อน หรือไม่ก็เจ็บตัว” เขาออกโรงเตือน หญิงสาวหาได้เกรงกลัวไม่ ก้าวเดินเข้าไปหาร่างของเขาเช่นกัน เงยหน้ามองใบหน้าคมสันท้าทายเขาด้วยคำพูดและสายตา
“ก่อนที่ฉันจะเจ็บ คุณต้องเจ็บตัวก่อนคุณปกรณ์...เผียะ!...นี่สำหรับจินนี่ที่ถูกพ่อจิตเสื่อมดูถูกเหยียดหยาม...เผียะ!...นี่สำหรับสิ่งที่คุณทำไว้กับฉัน...เผียะ!... นี่สำหรับความเป็นพ่อที่คุณไม่มีในสายเลือด”
ลมหายใจของคนที่มองเห็นเหตุการณ์หยุดนิ่ง เมื่อเห็นสตรีร่างสมส่วนสะบัดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของเจ้านายหนุ่มอย่างหนักหน่วง ใบหน้าของปกรณ์ชาดิก เจ็บที่แก้มสากทั้งสองข้าง แต่ไม่เท่ากับเจ็บที่หัวใจ เจ็บเหมือนเธอมาเหยียบย่ำ เจ็บอย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำกับเขาเช่นนี้มาก่อน
นัยน์ตาสีเข้มมีกลิ่นอายของความร้อนระอุอยู่ในดวงตาคู่นั้น รังสีของไฟแผ่กระจายรอบร่างหนา มือทั้งสองข้างของเขากำเข้าหากันแน่น แรงโทสะถูกส่งผ่านมายังมือที่กำเข้าหากัน ผ่านมาตามท่อนแขนหนา เคลื่อนมาตามกล้ามเนื้อ ก่อนจะทิ้งดิ่งไปที่หัวใจ วิ่งวนขึ้นไปยังสมองเพื่อสั่งการบางอย่างที่จะทำให้แรงโทสะนั้นมอดไหม้ลง