ตอนที่ 1 ตัวประกัน (1)

1772 Words
“หายไปไหนกันหมด” น้ำเหนือพึมพำหลังจากที่พยายามเดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ กลางป่าแต่กลับไม่เจอใครเลยสักคนนอกจากเจ้าตัวแสบที่ยังคงวิ่งตามมา “พี่จะไปไหนเหรอคะ” เด็กน้อยถามพลางเลื่อนมือไปจับชายเสื้อคลุมของน้ำเหนือไว้จนเขานึกตกใจรีบปัดมันออกไปจนสุดแรง “ไม่ใช่เรื่องของเธอ อย่ามายุ่ง” “หนูก็แค่อยากช่วย เห็นพี่เดินมาตั้งนานแล้ว” มุกดาหน้าเจื่อนลง จนอีกฝ่ายอดรู้สึกผิดเสียไม่ได้ที่เผลอไปตะคอกใส่ “ฉันแค่จะมาเดินเล่นน่ะ จะกลับแล้ว” เขาตอบกลับไปอย่างไม่แยแส ในเมื่อเดินหาต่อไปก็ไม่พบใคร คงต้องเปลี่ยนใจมาใหม่ในวันพรุ่งนี้แทน “งั้นเดี๋ยวหนูเดินไปส่งนะคะ” “ไม่ต้อง ! ” เด็กหนุ่มหันไปตวาดร่างเล็กที่ทำท่าจะเดินตามมาทำให้อีกคนชะงักเล็กน้อยแต่ก็ยังเดินตามเขาไปเงียบ ๆ จนน้ำเหนือต้องหันมาดุอีกครั้ง “ก็บอกว่าไม่ต้องตามมาไง รีบกลับบ้านไปได้แล้วเดี๋ยวก็มืดค่ำกันพอดี” “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ที่นี่เป็นบ้านหนู เกาะนี้ทั้งเกาะหนูปิดตาเดินยังได้เลย” คำตอบของเด็กน้อยทำให้น้ำเหนือแอบจุกตรงคอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “เธอคงจะรักที่นี่มากสินะ” “ใช่ค่ะ ทุกคนที่นี่ก็รักนะคะ เสียดาย...หนูได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่าเกาะกำลังจะถูกยึด...” “แกแน่ใจเหรอว่าเจ้านี่มันมาจากรีสอร์ท” “แน่ใจสิครับ สีแบบนี้โลโก้แบบนี้ใช่แน่ ๆ ” เสียงหนูน้อยเงียบหายไปเมื่อมีเสียงของคนกลุ่มหนึ่งดังแว่วมาจากทางที่เขาเพิ่งจะจอดเจ็ทสกีทิ้งไว้ก่อนหน้า เมื่อลองดูร่างนั้นจากที่ไกล ๆ ก็พบว่าคนที่กำลังเพ่งมองเจ็ทสกีของเขาอยู่นั้นคือผู้ใหญ่เดชาคนที่เขากำลังตามหาตัวเพื่อจะบอกความจริง ทว่ายังไม่ทันจะก้าวเดินออกไป ประโยคที่เขาได้ยินหลังจากนั้นทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับชะงักนิ่ง “แสดงว่ามันส่งคนมาดูลาดเลาแบบที่คิดไว้จริง ๆ จับตาดูไว้ก็แล้วกัน เจอตัวเมื่อไหร่รีบบอกฉันทันที ฉันไม่ปล่อยมันไปแน่” ความกลัวแล่นขึ้นมาจับจิต ไม่รู้ว่าเขาคิดผิดหรือคิดถูกที่ยื่นจมูกเข้ามายุ่งเรื่องผลประโยชน์ของผู้ใหญ่แบบนี้ “พี่เป็นอะไรไปเหรอคะ” มือน้อย ๆ ขยับแขนของเขาเบา ๆ เหมือนจะเรียกสติที่หลุดลอยหายไปครู่หนึ่งให้กลับคืนมา “ทำไมเงียบไป” “ปละ...เปล่า” น้ำเหนือตอบกลับไปด้วยเสียงที่เบาหวิวก่อนจะเบี่ยงตัวหลบอยู่หลังต้นไม้เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่เดชากำลังจะหันหลังกลับเดินมาที่เขา โดยไม่ลืมกระชากแขนเจ้าตัวแสบที่ตามเขามาให้เข้ามาหลบด้วยอีกคน “อ๊ะ ! ” เด็กน้อยตาลุกวาวเพราะอยู่ ๆ ก็ถูกกระชากแขนสุดแรงจนล้มลงก่อนจะถูกปิดปากเอาไว้ด้วยมือหนาที่เขาแทบไม่อยากจะแตะตัวเธอเลยสักนิดเมื่อตอนเจอกันในตอนแรก “อย่าเสียงดังสิ” เด็กหนุ่มกระซิบเบา ๆ พลางชะโงกหน้ามองกลับไปยังเจ็ทสกีอีกครั้งรอจนแน่ใจแล้วว่าผู้ใหญ่เดชาเดินหายเข้าไปในหมู่บ้านเขาจึงยอมปล่อยให้เด็กน้อยเป็นอิสระในที่สุด “พี่กำลังทำอะไรเนี่ย ทำไมต้องห้ามไม่ให้หนูเสียงดังด้วย” “ไม่มีอะไรหรอกน่า เลิกซ้าวซี้ถามโน่นถามนี่สักทีเถอะ” เขาหลบสายตาที่จ้องมองมาราวกับจะจับผิดด้วยการทรุดกายลงพิงต้นไม้ใหญ่อย่างหมดเรี่ยวแรง ตอนนี้ผู้ใหญ่เดชารู้แล้วว่าคนของรีสอร์ทแอบข้ามมาที่เกาะ เจ็ทสกีที่ขับมาก็ถูกคนในหมู่บ้านยึดไป ถึงตอนนี้เขาจึงเห็นค่าของโทรศัพท์มือถือที่ไม่เคยใส่ใจจะพกติดตัวขึ้นมาทันที “พวกเขาเอาเรือพี่ไปแล้ว ทีนี้พี่จะกลับยังไงล่ะ” “นั่นมันเรื่องของฉัน อย่ามายุ่งได้ไหม ออกไปให้พ้น” น้ำเหนือตวาดลั่นอย่างหัวเสีย เพราะตั้งใจจะมาบอกความจริงให้ผู้ใหญ่เดชาทราบเพื่อที่ทุกคนในหมู่บ้านจะได้เลิกเข้าใจผิดเรื่องพ่อของเขา แต่พอมาถึงเขากลับไม่อยากเชื่อเลยสักนิดว่าคนที่เขาคิดว่ามีเมตตาจะใจร้ายใจดำถึงขั้นจะทำร้ายกันแบบนี้ “นี่มันก็จะค่ำแล้ว ถ้าพี่ยังนั่งอยู่แบบนี้พี่จะไม่สบายเอานะ แถวนี้ยุงมันเยอะ” เด็กน้อยค่อย ๆ ทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง มือเล็กยกขึ้นเพื่อปัดวีฝูงยุงที่บินวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวเขา “...” “ปกติร่องน้ำตรงนั้นมันจะตื้นมาถึงเอวจนผู้ใหญ่สามารถเดินข้ามได้ แต่ตอนนี้น้ำมันขึ้นแล้วรอให้มันลดลงก็คงจะข้ามไปได้” เสียงเจื้อยแจ้วอธิบายตามที่ตัวเองรู้เพราะอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด พอหันไปเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไร เด็กน้อยจึงอธิบายต่อ “...” “แต่ต่อให้มันยังอยู่ระดับเอว แต่มันก็เป็นเอวของผู้ใหญ่ ถ้าเกิดหนูกับพี่ลงไปก็คงจะลึกถึงหัว เห็นพ่อบอกว่าร่องน้ำมันเชี่ยว ดีไม่ดีอาจจะถูกพัดลอยหายไปในทะเล...” “ฉันบอกให้เธอออกไปให้พ้นไงเล่า ! ” น้ำเหนือตะคอกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยยังไม่ยอมจากไปไหน แม้ว่าเขาจะออกปากไล่ไปหลายครั้งแล้วก็ตาม “หนูขอโทษที่ทำให้พี่รำคาญ หนูแค่เป็นห่วง ถ้าพี่ยังกลับไปไม่ได้ก็ไปนอนที่บ้านหนูก่อน พรุ่งนี้เราคิดหาทางกันอีกที” “หาทางเหรอ...” คนตัวสูงกว่ายืนขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ผมเผ้าที่มอมแมมของอีกฝ่ายจนมันยุ่งเหยิงไปยิ่งกว่าเดิม “เด็กอย่างเธอจะไปรู้อะไร” “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ถึงหนูจะเด็กกว่าพี่หลายปีแต่หนูก็รู้แล้วกันว่าพี่เป็นลูกชายของคุณปราวัฒน์ เจ้าของเกาะแห่งนี้ แล้วถ้าเกิดพี่เดินโต้ง ๆ ออกไปให้ชาวบ้านหรือว่าพ่อหนูเห็น หนูรับประกันได้เลยว่าพี่จะไม่มีทางได้กลับไปที่รีสอร์ทแน่นอน” “นี่เธอ...” น้ำเหนืออ้าปากค้าง แทบไม่เชื่อเลยสักนิดว่าเด็กตัวน้อยตรงหน้าจะรู้เรื่องราวของผู้ใหญ่ดีกว่าเขาเสียอีก “หนูว่าพี่กลับบ้านไปกับหนูก่อนเถอะ กว่าน้ำมันจะลดก็คงอีกนาน ถึงตอนนั้นถ้ามีคนมาพบพี่เข้า พี่ต้องแย่แน่ ๆ ” เด็กหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อไม่มีทางเลือก ท้ายที่สุดเขาก็ต้องเดินตามเจ้าตัวแสบไปยังทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวไปยังหมู่บ้านซึ่งมีไฟจากคบไม้และแสงจากดวงจันทร์คอยส่องนำทางแต่เพียงรำไรเท่านั้น หนูน้อยมุกดากอดตะกร้าผักไว้ด้วยแขนเล็กเพียงหนึ่งข้างส่วนอีกข้างถือวิสาสะเอื้อมไปจับมือผู้มาใหม่ไว้เพื่อจะพาเขาย่องไปทางหลังบ้านพยายามหลบสายตาจากกลุ่มชาวบ้านที่ช่วยกันจุดคบไฟให้แสงสว่าง พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสังเกตเห็น เด็กหญิงจึงรีบเปิดประตูหลังบ้านแล้วลากคนตัวสูงกว่าเข้าไปด้านในทันที “โล่งอกไปทีที่พ่อไม่อยู่” มุกดายกมือขึ้นทาบอกในขณะที่แผ่นหลังยังแนบชิดกับประตูหลังจากที่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านแล้วไม่พบใครเลยสักคน “ทำไมมันมืดอย่างนี้ล่ะ” คนมาใหม่เริ่มเดินสำรวจ มองหาปลั๊กไฟแล้วพยายามกดอยู่หลายครั้งแต่ไฟก็ยังไม่ติด “ไฟเสียเหรอ” “ไฟไม่ได้เสียหรอกค่ะ เมื่อก่อนมันก็ติดปกตินั่นแหละ แต่พอทางรีสอร์ทจะมายึดที่เขาก็ตัดไฟตัดน้ำอย่างที่เห็นนี่แหละ” เด็กหญิงอธิบายพลางควานหาเทียนไขขึ้นมาจุด “พอไม่มีน้ำ หนูก็ต้องไปหาบจากบ่อหลังเกาะ หลัง ๆ เริ่มจะหาบไม่ไหว ผักที่หนูปลูกก็เลยเหี่ยวแบบนี้” “มัน...แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” อีกฝ่ายพึมพำแผ่วเบา ยิ่งรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “สำหรับหนู ขาดน้ำขาดไฟ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ถ้าที่มันถูกยึดไปจริง ๆ แล้วหนูไม่มีบ้านอยู่ มันแย่กว่าเยอะจริงไหมคะ” เด็กน้อยจุดเทียนไขวางลงบนจานรองเก่า ๆ ก่อนจะนำผักที่เก็บมาเดินไปล้างตรงโอ่งน้ำหลังครัว “พี่หิวไหมคะ” “ไม่ต้องลำบากหรอก รอให้มืดอีกนิดเดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว” “พี่ออกไปไม่ถูกหรอกค่ะ พี่ไม่ใช่คนที่นี่ แล้วอีกอย่างพี่ไม่ต้องกลัวนะคะ พ่อหนูเขาจะกลับมาตอนเช้ามืดนู่นแหละค่ะ เขาต้องไปเฝ้าเวรยาม” เด็กน้อยบอกด้วยเสียงเจื้อยแจ้วไปตามประสาวางผักที่ถือไว้ในครัวเพื่อจะดันร่างสูงให้เข้าไปหลบในห้องเพราะเกรงว่าจะมีใครผ่านมาเห็นหรือได้ยินเข้า “พี่รอหนูแป๊บนึงนะ” “อืม” คนที่ไม่มีทางเลือกรับเทียนไขในมือมาถือไว้อย่างงง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบว่าภายในห้องนั้นมีฟูกขนาดเล็กวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ แม้ว่าบ้านไม่ได้หรูหราอะไรแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันดูสะอาดตาเพราะเจ้าของใส่ใจทำความสะอาดเป็นอย่างดี “เด็กหญิงมินรดา รักษ์ไท ชั้นประถมศึกษาปีที่สอง” น้ำเหนือพึมพำชื่อที่ปรากฏอยู่บนสมุดการบ้านของเด็กหญิงขึ้นมาเปิดอ่าน เกิดรอยยิ้มขึ้นมาจาง ๆ บนใบหน้าเมื่อลองอ่านประวัติส่วนตัวบนใบงานแผ่นแรกของเจ้าตัว “อายุเก้าขวบ ชอบกินผัดผัก กลัวงู ที่สุด ถ้าขอพรได้หนึ่งข้อ หนูอยากมีความสุขกับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD