“พวกเขาค้าขายปลา ย่อมต้องมีกลิ่นแบบนี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ” โม่เหลียนฮวาเอ่ยปาก หมู่บ้านประมงในยุคนี้ก็ให้ความรู้สึกคล้ายในยุคที่นางจากมา แต่เรือประมงที่นี่จะเป็นเรือเล็กแบบที่ชาวบ้านใช้ กลิ่นอายชาวบ้านโบราณเป็นอะไรที่ดี โม่เหลียนฮวาชื่นชอบไม่น้อย ยุคนี้ยังไม่มีสารเคมีอะไร อีกอย่างอาหารทะเลนั้นชาวประมงไม่ได้ออกนานเป็นเดือน ไม่ต้องแช่สารเคมี ทำให้อาหารที่นี่นั้นสดใหม่มากทีเดียว
“นั่นสิ เจ้ามาดูอะไรล่ะวันนี้ ป้าจะได้กินของอร่อยหรือเปล่า”
“ได้อยู่แล้วเจ้าค่ะท่านป้า” โม่เหลียนฮวาเอ่ยปากบอก เพราะหากซื้อกลับนางย่อมต้องแบ่งมาทาน อีกอย่างที่นี่มีกระถินด้วย ยอดกระถินอ่อน กับหอยนางรม ใส่น้ำพริกเผา ใส่น้ำจิ้มทะเล โรยด้วยกระเทียมเจียว ตามด้วยยอดกระถิน แค่นี้ก็รู้สึกเหมือนได้เดินย่างก้าวขึ้นไปบนสวรรค์ เมื่อก่อนในยุคที่นางจากมาโม่เหลียนฮวากินทีนึงก็สามกระปุกราคาร้อยบาท แต่ได้กระถินแค่กำมือเดียว น่าเสียดายยิ่งนัก
“โอ๊ยยย บุญวาสนาข้ายิ่งนัก” ป้าเหมยบอกก่อนจะมารับตัวเจ้าเด็กน้อยในอ้อมแขนของโม่เหลียนฮวา เพราะเข้ามาในหมู่บ้านของชาวประมงแล้ว ที่นี่มีไม่กี่ครอบครัว สามีออกทะเล ภรรยาขายของอยู่ที่ฝั่ง พ่อแม่ของฝูไห่ก็อาศัยอยู่ที่นี่
“แม่นางโม่ท่านมาทำอะไรหรือ” แม่ของฝูไห่ที่เห็นโม่เหลียนฮวาแต่ไกลก็จำได้ ต่อให้ปิดหน้าปิดตาก็จำได้อยู่ดี โม่เหลียนฮวามีท่วงท่าลักษณะแตกต่างจากผู้อื่น คล้ายหงส์ในหมู่มวลนกกระยาง มองอย่างไรก็ย่อมดูออก
“ข้ามาหาหอยนางรมน่ะ ที่นี่มีคนขายหรือไม่”
“หอยนางรมหรือ”
“เอ่อ… หอยด้านในสีขาว อยู่ในตัวหอยที่เกาะอยู่ตามโขดหิน ริมชายฝั่งน่ะ” โม่เหลียนฮวาอธิบาย แม้จะใช้ศัพท์ตามความจำของเจ้าของร้าน แต่ภาษาพื้นถิ่นแต่ละที่เรียกไม่เหมือนกัน อาจจะทำให้เกิดความสับสน
“อ๋อออท่านตามหาหอยนั่นจะนำไปทำอะไรล่ะ รสชาติมันไม่ค่อยมีนะ”
“ร้านอาหารของข้าจะมีเมนูใหม่ ข้าจำเป็นต้องมาตามหาวัตถุดิบ”
“เช่นนั้นก็ตามข้ามา ปกติข้าไม่ได้หาของพวกนั้น แต่ก็มีบ้านนึงที่หาอยู่”
“เอ้อร์เหลียง เจ้าอยู่บ้านหรือไม่” แม่ของฝูไห่เรียกเจ้าของบ้าน นางเดินสะบัดมือที่เปียกออกมา ก่อนจะเห็นป้าเหมย กับหลานสาวที่ไม่ค่อยได้มีใครพบนัก คนเล่าลือกันว่านางงามหยดย้อย แต่เพียงแค่เห็นดวงตา มีผ้าปิดหน้าครึ่งนึงก็รับรู้ได้ว่านางงดงามมากจริงๆ
“เจ้ามีหอยนางรมขายหรือไม่”
“ก็มีนะ แต่ไม่มาก วันนี้ร้านยาสั่งไว้หลายจินอยู่ ท่านต้องการหอยนางรมหรือ" เอ้อร์เหลียงกล่าว โม่เหลียนฮวาพยักหน้า เอ้อร์เหลียงจึงเปิดประตูให้ทั้งสามเข้าไปในเรือนบ้านของตนเอง
“หอยพวกนี้ท่านแกะแล้วหรอ”
“ใช่แล้วแม่นาง ข้าแกะหอยตั้งแต่ที่โขดหินแล้ว ไม่มีใครนำเปลือกมันมาหรอก หนักจะตาย” เอ้อร์เหลียงกล่าว นางไม่ค่อยชื่นชอบสตรีที่สูงศักดิ์นัก หลานของป้าเหมยผู้นี้คงมีความเป็นมาไม่ธรรมดา ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนธรรมดา เอ้อร์เหลียงเป็นเพียงสาวชาวบ้าน นางไม่มีความสามารถอะไร พบเห็นคนที่เหนือกว่าก็รู้สึกชิงชังอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ข้าอยากสั่งหอยนางรมสดจากเจ้า เจ้าขายเท่าไหร่กัน”
“โอ๊ยยย ข้าไม่ว่างหรอก งานข้าเยอะแยะ ลูกค้าก็สั่งหอยจากข้าเยอะ ทำไม่ทันหรอก” เอ้อร์เหลียงเอ่ยออกมา แม่ของฝูไห่ทราบดี งานพวกนี้มีคนมากมายที่สามารถทำได้อีกเยอะ การที่เอ้อร์เหลียงเอ่ยเช่นนี้ก็เหมือนหาเรื่องมากกว่า จึงได้นึกขุ่นเคืองใจแทน เพราะตัวนางเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่นางโม่ บุตรชายของนางทำงานวันนีึงก็ได้หลายอีแปะ เขามีอาหารกลับบ้านมาทุกวัน ทั้งยังได้เริ่มอ่านออก แม่นางโม่จิดใจดีแค่ไหนนางล้วนทราบดี
“ถ้าเจ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร แม่นางโม่ไปเถอะ แค่เพียงหอยนางรม ให้ผู้อื่นหาเอาก็ได้”
“หึ… ไปหาในหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีหรอก” เอ้อร์เหลียงเอ่ยออกมา พลางค่อนขอด แม่ของฝูไห่มองกลับไปก่อนจะเหยียดยิ้มใส่นาง
“หมู่บ้านนี้ไม่มี แต่หมู่บ้านอื่นมี” แม่ของฝูไห่กล่าว ความจริงในแถบหมู่บ้านนี้เป็นชายหาดเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีโขดหินมากนัก หมู่บ้านประมงไม่ได้มีที่เดียว ยังมีหมู่บ้านที่ห่างออกไปที่เป็นหมู่บ้านประมงเช่นเดียวกัน พวกเขาเป็นหมู่บ้านที่อยู่บนเกาะห่างออกไปจากชายฝั่ง เวลามาค้าขายก็มักจะฝากพวกประมงชายฝั่งมาขาย หรือจะมากันเองแล้วแต่ช่วงเวลา
“แม่นางโม่ เจ้าต้องการจำนวนเท่าใด เดี๋ยวข้าให้สามีของข้าไปรับมาจากหมู่บ้านบนเกาะ"
“ข้าต้องการประมาณร้อยจินเจ้าค่ะ ชาวบ้านบนเกาะจะหาให้ข้าได้หรือไม่” โม่เหลียนฮวากล่าว กระทะของนางใหญ่มากพอที่จะต้มหอยนางรมได้เยอะ แม่ของฝูไห่ตกใจยิ่งนัก จำนวนร้อยจินไม่ใช่น้อยเลย อีกอย่างนั่นก็เป็นเพียงแค่หอย แม่นางผู้นี้ต้องการนำไปทำอะไรกันแน่
“แม่นางโม่ เจ้าใช้อะไรมากมายขนาดนั้นกัน”
“ข้ากำลังจะทำเครื่องปรุงสำหรับอาหารจานใหม่ขึ้นมา จำต้องใช้เยอะมากนัก ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าราคาเท่าใด"
“จินละสองอีแปะ แต่ถ้าเจ้าอยากได้มากขนาดนี้ เดี๋ยวข้าจะขอลดราคาให้” แม่ของฝูไห่กล่าว แต่โม่เหลียนฮวาส่ายหน้า เงินที่่ต้องแลกมากับหยาดเหงื่อแรงกาย บะหมี่ของโม่เหลียนฮวาแต่ละวันก็ขายได้เกือบร้อยชาม วันนึงก็ได้รายได้สี่ร้อยกว่าอีแปะ ตกวันนึงก็ได้ประมาณสองสามตำลึงเงิน แม้จะจ่ายค่าจ้าง ค่าของไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีรายได้สูงอยู่ดี แทบจะเท่ารายได้ทั้งปีของชนชั้นแรงงานเสียด้วยซ้ำ
“พี่สาวไม่ต้องต่อราคาหรอกเจ้าค่ะ ข้าทำมาหากินได้กำไรไม่น้อย ไม่ได้มีเรื่องใช้จ่ายอะไรมากมาย ข้าไม่อยากเอาเปรียบคนทำมาหากินเช่นพวกท่าน” โม่เหลียนฮวาเอ่ยออกมาอย่างมีน้ำใจ แม่ของฝูไห่คิดในใจว่าเอ้อร์เหลียงนั้นพลาดไปแล้วจริงๆ
“ได้ แต่เจ้ารอหน่อยนะ สามีข้ากลับมาแล้ว ออกเรือเมื่อไหร่ข้าจะให้เขาไปสั่งให้ อีกอย่างน่าจะใช้เวลาสักหน่อย เจ้าสั่งมากขนาดนี้ พวกเขาคงต้องขนมากันทั้งหมู่บ้าน” แม่ของฝูไห่กล่าว โม่เหลียนฮวาหยิบเงินของตนเองออกมา จินละสองอีแปะ หนึ่งร้อยจินก็ราคาสองร้อยอีแปะ เท่ากับสองก้วนเหรียญทองแดง หรือเท่ากับสองตำลึงเงิน
“นี่เงินเจ้าค่ะ ข้าฝากท่านเป็นธุระจัดการด้วย ส่วนนี่อีกตำลึงเงินนึงข้ามอบให้ท่านเป็นค่าจ้างซื้อขายให้ข้า” โม่เหลียนฮวามอบเงินให้ แม่ของฝูไห่รู้สึกตกใจนัก ปกติส่งอาหารทะเลให้พวกเหลาอาหาร พวกนั้นจะจ่ายช้า และบางทีก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมจ่าย แต่โม่เหลียนฮวากลับจ่ายเงินให้ก่อนอย่างใจกว้าง ทั้งยังครบเสียด้วย
“โอ๊ยย เก็บเงินเจ้าไว้เถอะ เรื่องแค่นี้ไม่ลำบากคนเรืออย่างพวกข้าหรอก”
“ได้ที่ไหนกันเจ้าค่ะ ออกเรือต้องใช้แรง ไหนจะขนไปขนกลับมาให้ข้าอีก ถือเป็นสินน้ำใจนี่แหละ”
“งั้นข้ารับก็ได้ แต่หนึ่งตำลึงเงินต้องใช้ขนสองรอบนะ รอบหน้าไม่ต้องให้เงินข้าแล้ว แค่นี้ข้าก็เกรงใจแม่นางโม่จะแย่” แม่ของฝูไห่เอ่ยออกมา รายได้ในครัวเรือนนางก็ถือว่าไม่น้อยเลย แต่ก็เพราะชีวิตคนเรือไม่ใช่ว่าจะออกเรือได้ตลอดทั้งปี ค่าดูแลรักษาเรือก็ไม่ใช่น้อย ไหนจะค่ากินอยู่อีก
“เจ้าค่ะ หากท่านมีอะไรก็ฝากฝูไห่ไปบอกข้าได้เสมอนะเจ้าคะ” โม่เหลียนฮวาเอ่ยก่อนจะพาป้าเหมยกลับเรือนของตน ระหว่างทางเจ้าเด็กตัวแสบก็รีบปีนกลับมาเกาะที่ร่างแม่ก่อนจะหลับน้ำลายไหลเยิ้มบนบ่าของมารดา
“เขาอุตส่าห์คิดเงินเจ้าน้อย ยังจะไปใจดีจ่ายเต็มอีกหรือ” ป้าเหมยเอ่ยออกมาอย่างเสียดายเงินส่วนต่าง แม้จะไม่ใช่เงินของตัวเองแต่มันก็อดที่จะเสียดายไม่ได้
“ท่านป้า เราทำมาค้าขาย จะไปเอาเปรียบพวกเขาทำไมเจ้าคะ อีกอย่างข้าก็ขายของพอได้กำไรอยู่บ้าง” โม่เหลียนฮวาเอ่ย การค้าขายควรได้กำไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องนึกถึงคนต้นน้ำ และปลายน้ำด้วย โม่เหลียนฮวาเคยไม่มีเงินกินมาก่อน การโดนเอาเปรียบจากคนที่มีกิน สุขสบายนั้นเป็นอะไรที่เจ็บปวดเป็นอย่างมาก
“เห้อต่อราคามันก็เป็นเรื่องปกตินะฮวาเอ๋อร์”
“ป้าเหมยข้าไม่ได้อยากร่ำรวยอะไร ข้าเพียงแค่ต้องการมีงานทำเท่านัั้น เงินเท่านี้ก็พอเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงลูก อีกหน่อยมีเงินก็ไปหาซื้อตึกในเมืองอยู่ เงินเท่านี้ข้าเลี้ยงท่านไว้ด้วยซ้ำ” โม่เหลียนฮวากล่าว ป้าเหมยแม้จะเป็นคนแก่ที่พูดมาก และยุ่งวุ่นวายไปเสียหน่อย แต่นั่นก็เพราะเป็นคนแก่ ไม่ว่าคนแก่ที่ไหน ส่วนใหญ่ก็เป็นเสียแบบนี้กันทั้งนั้น แต่เรื่องบุญคุณของป้าเหมยนับว่าล้นเหลือมาก พวกนางอยู่มาร่วมปี ค่าเช่าสักนิดก็ไม่เอา อาหารในแต่ละวันจะไปนับว่ามากมายอะไร ไหนจะเลี้ยงลูกของนางให้อีก การเลี้ยงเด็กไม่ใช่ว่่าเป็นงานสบายเสียสักหน่อย
“เจ้าเป็นคนดี ป้าก็รู้ แต่ดีเหลือเกิน หน้าตาก็ดี”
“ป้าเหมยช่างเป็นคนปากอ่อนไหวลิ้นอ่อนหวานเหลือเกินเจ้าค่ะ” โม่เหลียนฮวากล่าว ป้าเหมยยิ้ม แต่ก็ไม่เข้าใจที่นางเอ่ยออกมาสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะการใช้สำนวน การใช้สำนวนกับชาวบ้านที่ไม่มีความรู้นั้นเป็นเรื่องแปลกประหลาด พวกชนชั้นที่มีการศึกษามักจะชอบเอื้อนเอ่ยถ้อยคำสวยหรูเพียงเพราะต้องการอวดภูมิความรู้ตนเท่านั้น โม่เหลียนฮวากล่าวอย่างเผลอไผล แต่ป้าเหมยก็คร้านจะใส่ใจ พื้นฐานจิตใจของโม่เหลียนฮวานั้นดีเป็นอย่างยิ่ง แต่อาจจะเพราะเกิดในครอบครัวที่ดี นางจึงไม่ค่อยจะรู้ถึงธรรมเนียมชาวบ้านนัก
“เรารีบกลับกันเถอะ วันนี้เจ้าว่าจะทำติ่มซำไม่ใช่หรือ” ติ่มซำในยุคโบราณมีมานานมากแล้ว โม่เหลียนฮวาก็เห็นมีหลายร้าน แต่ต้องยอมรับว่าของโบราณนั้นสู้ของปัจจุบันไม่ได้ พวกเขาเน้นแป้งมากกว่าหมู ทำให้รสชาติของเนื้อสัมผัสแย่ไปหน่อย
“เจ้าค่ะ ท่านป้ามาช่วยข้าห่อด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้สิ”
โม่เหลียนฮวากลับมาถึงเรือนก็พบว่าลูกค้ายังมีมาเรื่อยตลอดทั้งวัน ร้านอาหารฮวนฝูเป็นร้านที่เลื่องชื่อลือชาไม่น้อยถึงความอร่อย และปริมาณ หลายคนชอบมาทานที่นี่เพราะมีรสชาติแปลกใหม่ ทั้งยังมีขนมหวานที่ชื่อบัวลอย รสชาติหอมมันหวานนุ่มละมุนลิ้นไปหมด โม่เหลียนฮวาที่สั่งให้คนงานไปซื้อแป้งห่อขนมจีบ แครอท กับข้าวโพดหวาน ความจริงแล้วการทำขนมจีบมีหลายรูปแบบในยุคของนาง โม่เหลียนฮวาเป็นคนที่สามารถพลิกแพลงการทำอาหารได้หมด เพราะเมื่อก่อนนั้นมีอะไรก็ต้องกินแบบนั้นเรื่องมากไม่ได้
นางหั่นหมูเป็นชิ้นเล็กก่อนจะนำมาตำในครกจนกลายเป็นเนื้อละเอียด ป้าเหมยที่ตั้งใจมาช่วยในทีแรกก็ต้องถอยหนี เพราะเจ้าตัวแสบน้อยที่ตื่นมาก็ซนเป็นลิง หากเข้ามาช่วยงานในครัวก็คงไม่ไหว รื้อค้นข้าวของจนพังเสียหายไปหมด ถ้าดุว่ากล่าวอะไรก็มักจะชอบทิ้งตัวดีดดิ้นกรีดร้องกับพื้น ไม่ใช่ว่าโม่เหลียนฮวา ไห่หลิน ป้าเหมยไม่สั่งสอน แต่เพราะนิสัยดั่งเดิมแล้วซือจิ้นเป็นเด็กเอาแต่ใจมากจริงๆ อีกทั้งพี่ชายใจดีอย่างฝูไห่นั้นตามอกตามใจเขาเป็นอย่างยิ่ง ทำงานเสร็จก็ต้องมาพาน้องไปเล่นน้ำ อาบน้ำด้วยกัน ต้องคอยจับน้องโยนสนุกสนานตลอด
โม่เหลียนฮวามองบุตรชายที่กำลังโยกม้าโยก แม้จะเดินไม่เก่ง พูดยังไม่ค่อยได้ แต่เรื่องความแสบซนไม่มีใครเกิน นางถอนสายตาจากบุตรชายก่อนจะก้มหน้าหั่นแครอทเป็นเต๋าชิ้นเล็กจิ๋ว พร้อมกับแกะข้าวโพดแล้วนำมาต้มจนเกิดกลิ่นหอม ก่อนจะผสมหมูกุ้งที่ตำละเอียดใส่เข้ากับแครอท และข้าวโพดหวานแบบเม็ด ปรุงรสด้วยพริกไทยดำหอม รากผักชี กระเทียม ที่คนไทยมักเรียกว่าสามเกลอ ก่อนจะปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ และน้ำตาลเล็กน้อย แป้งสีเหลืองนวลแตกต่างจากแป้งในยุคสมัยนางเป็นรูปกลม นางใช้ช้อนตักส่วนผสมที่คลุกเคล้าแล้วใส่ตรงกลางของแป้งก่อนจะห่อสวยงาม และวางกุ้งเป็นตัวประดับด้านบน โม่เหลียนฮวานั่งทำไว้ค่อนข้างเยอะ เพราะนางตั้งใจว่าต่อไปจะวางขายเป็นอาหารจานว่างในร้านของตนเอง วันนี้จึงตั้งใจทำแจกจ่ายให้ผู้คนได้ทาน น้ำจิ้มจิ๊กโฉ่ที่ตลาดมีขาย และนางก็ไม่รู้จักวิธีทำน้ำจิ้มนี้ แต่รู้จักแต่เพียงวิธีการทำกระเทียมเจียวไว้โรยเท่านั้น นางนึ่งขนมจีบใส่ซึ้งจนสุก และเนื้อออกมาสวย โม่เหลียนฮวาไม่ได้นึ่งจนนานเกินไป เพราะหากเนื้อแห้งเกินไปไม่มีชุ่มช่ำ มันจะเสียรสชาติ
กว่าโม่เหลียนฮวาจะทำเสร็จ ร้านก็เริ่มปิดแล้ว พี่สาวที่มาทำงานก็ช่วยกันเก็บร้าน ล้างจาน ก่อนจะไปช่วยงานในโรงหลังเรือน พวกเขาต้องใช้แรงอย่างมากในการเคี่ยวเกลือ เคี่ยวน้ำตาล เพราะว่ายังไม่ถึงเวลากลับ ส่วนไห่หลินเองก็นำบะหมี่ที่มีมาลวกแจกจ่ายทุกคนให้กิน ตอนนี้มีผักอย่างถั่วงอกมาเพิ่ม ทำให้บะหมี่นั้นมีรสชาติดียิ่งขึ้นไปอีก เวลาเคี้ยวความกรอบสดทำให้บะหมี่อร่อยขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
“ทุกคนมาทานบะหมี่เร็ว” ไห่หลินเรียกทุกคน โม่เหลียนฮวาเองก็เช่นกัน แต่บะหมี่ถ้วยนึงกับถ้วยเล็กถูกส่งไปหน้าเรือนแล้ว ป้าเหมยต้องเลี้ยงเจ้าตัวแสบก็ทานบะหมี่ไปด้วย อีกถ้วยเล็กก็ป้อนเจ้าตัวแสบไปด้วย ส่วนด้านที่ร้านก็จะทานรวมกันทั้งหมด ไม่แยกนายบ่าว
“วันนี้ข้าทำขนมจีบมาให้พวกเจ้าทาน แบ่งคนละสามลูกนะ อร่อยหรือไม่อย่างไรก็บอกข้าได้ตามตรงเลย นี่น้ำจิ้ม" โม่เหลียนฮวากล่าว นางก็พอทราบอยู่บ้างว่าราคาขนมจีบหนึ่งเข่งไม่ได้ราคาถูกนัก พวกเขาอาจจะไม่เคยกินด้วยซ้ำ โม่เหลียนฮวานำมาวาง ก่อนจะหยิบอีกชามที่มีห้าลูกไปให้กับป้าเหมย อย่างไรก็เป็นอาวุโส จะต้องได้กินมากหน่อย
“พี่ไห่หลินเจ้าค่ะ ฮูหยินเป็นเทพธิดาอาหารมาเกิดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวเตี๋ยถามไห่หลิน นางอายุน้อยกว่าไห่หลิน นางอดสงสัยไม่ได้ว่าฮูหยินที่งดงามราวเทพธิดา ไม่ว่าจะทำอาหาร สรรสร้างสิ่งใดก็ล้วนอร่อยเลิศเลอไปหมด กลิ่นก็หอม แตกต่างจากร้านอาหารอื่นอย่างสิ้นเชิง แค่เพียงน้ำซุปไว้ซดกับข้าวก็ยังอร่อยมากเหลือเกิน ทุกวันพวกนางจะได้รับน้ำซุปบะหมี่ พร้อมกระดูกที่มีเนื้อกลับบ้านไปกินตลอด ฮูหยินนั้นมีจิตใจดี และเมตตาพวกนางทีเป็นเพียงลูกจ้างเสมอ ไม่เคยเอาเปรียบ และยังมอบอาหารให้กินอย่างเท่าเทียม
“เจ้าก็พูดไปเรื่อย ฮูหยินก็ทำอาหารอร่อย อาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์มากกว่า” ไห่หลินกล่าว คำว่าเทพธิดาไม่เกินจริงนักหรอก สุ่ยเหอจวิ้นจู่งดงามเพียบพร้อมเพียงใด ใต้หล้าล้วนรู้ดี เพียงแต่ชาติกำเนิดแท้จริงอาจจะไม่ใช่เชื้อสายราชวงศ์โดยแท้ แต่นั่นจะสำคัญอะไรในเมื่อนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมไทเฮา และเป็นน้องสาวบุญธรรมที่ฮ่องเต้รัก น่าเสียดายชีวิตของเทพธิดาต้องมาพังเพียงเพราะคำว่ารัก ไห่หลินคิดแล้วก็แค้นใจนัก
“พี่ไห่หลินโชคดีเหลือเกินที่ได้รับใช้นายหญิงที่ดีขนาดนี้” เสี่ยวเตี๋ยเอ่ยปากอย่างอิจฉา
“ตอนนี้เจ้าก็รับใช้นาง จะอิจฉาอะไรข้าเล่า”
“ก็ท่านน่ะ ได้นอนร่วมเรือนกับฮูหยิน ได้ดูแลคุณชายน้อย ได้รับความไว้วางใจ ทั้งท่านยังอ่านออกเขียนได้อีก” เสี่ยวเตี๋ยเอ่ยปาก นางรู้ว่าพี่ไห่หลินเป็นสาวรับใช้ของฮูหยิน ไม่ใช่ญาติคนสนิท หรือน้องสาวคนสนิทอย่างที่ฮูหยินชอบเอ่ยปากบอก และขนาดเป็นเพียงบ่าวรับใช้ยังดูกริยาท่าทางดีขนาดนี้ หากบอกว่าเป็นคุณหนูตระกูลผู้ดี พวกนางก็เชื่อหมดใจ ยิ่งหากได้ยลโฉมฮูหยินแบบชิดใกล้ จะเอ่ยว่าเป็นเทพธิดา นางฟ้า องค์หญิง หรือปีศาจจิ้งจอกจำแลงมาก็ว่าได้ด้วยซ้ำ
“เจ้าอยากเรียนเดี๋ยวข้าจะสอน แต่ต้องใช้เวลาหลังจากทำงานหรือวันหยุด”
“ข้าไม่อยากเรียนหรอก ข้าโง่ ข้าถนัดแต่ใช้แรงงานมากกว่า”
“อีกไม่นานก็ต้องออกเรือน มีความรู้ไว้บ้าง สินสอดเจ้าจะได้เพิ่มขึ้น”
“โถ่… พี่ไห่หลินก็” เสี่ยวเตี๋ยความจริงนางอายุเพียงแค่สิบสี่ปีเท่านั้น ส่วนไห่หลินมีอายุสิบเจ็ดปี เจ้านายของนางโม่เหลียนฮวามีอายุสิบแปดปี นับว่าเป็นสาวสะพรั่งงดงามเต็มวัย แต่ด้วยยุคโบราณในอดีตสตรีก็เริ่มแต่งงานออกเรือนกันตั้งแต่หลังปักปิ่นไม่เกินปีหรือสองปี พวกนางก็อายุราวสิบห้าสิบหกแล้ว เสี่ยวเตี๋ยอุทิศชีวิตรับใช้นาย การแต่งงานของนางจึงไม่มีทางเกิดขึ้น ส่วนโม่เหลียนฮวาก็แต่งงานออกจากพระราชวัง ก้าวเข้าสู่การเป็นสะใภ้สูงศักดิ์ตระกูลกงหยางเมื่อตอนอายุสิบหกปีเท่านั้น นับว่ายังเยาว์วัย
กระถินเทศมีในประเทศจีน ****ปากอ่อนไหวลิ้นอ่อนหวาน แปลว่า พูดจาหยอดคำหวานเพื่อเอาอกเอาใจอีกฝ่าย