“ข้ามาทานบะหมี่ก็จริง แต่ข้ารู้มาว่าท่านเป็นเถ้าแก่เนี้ย เจ้าของร้านนี้" คุณชายผู้นี้กล่าว พอได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกว่านี่มันแปลกประหลาดไม่น้อย จึงได้วางที่ขันที่ตักน้ำลง ก่อนจะหันไปมองอย่างจริงจัง
“เจ้าค่ะ คุณชายมีอะไรกับร้านของข้าเจ้าคะ” โม่เหลียนฮวารับรู้ได้ว่าตนเองกำลังถูกสอบสวน หรือถูกสงสัย ความขุ่นเคืองในใจเริ่มเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าสงสัย แม่นางเจ้าซื้อขายน้ำตาล หรือนำน้ำตาลมาจากที่ใดกัน” คุณชายกล่าว ปกติแล้วชาวบ้านจะไม่ทานหวานเพราะน้ำตาลมีมูลค่ามากนัก น้ำผึ้งยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงมีราคาแพงมาก จากการสืบสวนของเขา เรือนของแม่นางโม่หลังนี้ซื้อหาฟืนจำนวนมากมาเกือบปีแล้ว นางจะต้องมีกระบวนวิธีความลับเป็นแน่
“แล้วท่านต้องการทราบอะไรหรือเจ้าคะ”
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเอาน้ำตาลมาจากที่ใด”
“ข้าไม่บอกท่าน ท่านจะให้ทางการมาจับข้าหรือเจ้าคะ” โม่เหลียนฮวาเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับหวาดกลัวนัก คิดไม่ถึงว่าจะต้องพบเจอเรื่องแบบนี้เร็วเช่นนี้ แล้วคนผู้น้อยแบบนางจะไปทำอะไรคนผู้นี้ได้กัน
“ข้าไม่ให้ทางการมาทำอันตรายเจ้าได้หรอก แต่ข้าเพียงอยากจะรู้ว่าเจ้าได้กระทำสิ่งที่ผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองหรือไม่” คุณชายเอ่ยอย่างสุภาพ แต่โม่เหลียนฮวากลับไม่รู้สึกว่าเขาสุภาพสักนิด หากว่าไม่มีหลักฐานจะมากล่าวหาเลื่อนลอยไม่ได้ มีลูกค้าหลายคนเข้ามาในร้าน หลายคนก็หยุดยืนคุยกับป้าเหมย โม่เหลียนฮวาเห็นจึงได้เอ่ยเสียงดัง
“คุณชายหากท่านต้องการปรักปรำข้า ก็อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลยเจ้าค่ะ ท่านไปร้องต่อศาลแล้วหาหลักฐานมาปรักปรำข้าดีกว่า” โม่เหลียนฮวาเอ่ยออกมา นางแสร้งเอ่ยเสียงสั่นคล้ายคนกำลังถูกรังแก คนยุคนี้อาจจะยังไม่เข้าใจในบทบาทของการแสดง โม่เหลียนฮวาไม่ใช่คนที่แสดงเก่ง แต่ถ้าเทียบกับความจริงใจอันเป็นพื้นฐานของชาวบ้านในยุคนี้ก็ทำให้คนเชื่อได้ไม่ยาก อีกทั้งชาวบ้านนั้นอคติต่อเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงอยู่แล้ว โม่เหลียนฮวารีบแสร้งร้องไห้วิ่งหนีเข้าเรือนของตนเอง ป้าเหมยที่เห็นแต่ไกลก็พลันโมโห มือข้างนึงอุ้มซือจิ้นเข้าเอว เดินมาพร้อมชาวบ้านหลายคน
“คุณชาย หลานข้าไม่เคยทำอะไรผิด นางเป็นแม่หม้าย ขายอาหารเลี้ยงชีพ บ้านนี้มีแต่สตรี แต่ก็ไม่ใช่จะมารังแกกันง่ายๆนะ บุตรชายข้าถึงจะเป็นแค่ทหารยศเพียงนายกอง แต่ก็รับใช้ใกล้ชิดท่านแม่ทัพใหญ่เผย อย่าได้คิดจะมารังแกข้ากับหลานเชียว” ป้าเหมยเอ่ยปาก ความจริงแล้วในหมู่บ้านนี้ ป้าเหมยนั้นอยู่ได้อย่างสบายก็เพราะบารมีความเป็นทหารของบุตรชาย ชาวบ้านหลายคนต่างเห็นด้วย ด้วยเพราะแม่นางโม่เป็นสตรีที่จิตใจดี ใครไม่มีงานทำ ใครขายอะไรก็มาขายแก่นางนางล้วนช่วยเหลือหมด นี่นางก็เพิ่งให้เมล็ดพืชผักมาปลูก ปลูกเสร็จก็ส่งให้นาง เพิ่มรายได้ให้กับคนแถวนี้ไม่น้อย
“นั่นสิคุณชาย ท่านเป็นบุตรชายคนรองของเจ้าเมือง อำนาจก็มีมากมาย จะมารังแกพวกเราทำไมกัน” ป้าคนนึงเอ่ย แต่แน่นอนในกลุ่มของเหล่าป้าทั้งหลายก็ต้องมีคนช่างสังเกตสงสัย พวกนางก็เคยจะได้เห็นโม่เหลียนฮวาอยู่บ้าง แม้จะไม่ได้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจนก็รู้ว่าเป็นสตรีที่งดงามมากผู้หนึ่ง การที่คุณชายสูงศักดิ์มาเพ่งเล็งเช่นนี้ เจตนาของเขาย่อมไม่บริสุทธิ์
“หรือเพราะท่านถูกใจนาง เลยจะหาเรื่องกลั้นแกล้งงั้นหรือ” พอป้าท่านนี้พูดจบทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย สตรีที่เป็นเพียงแม่หม้ายสามีตาย ต้องลำบากลำบนหอบท้องใหญ่โตมาหาญาติต่างเมือง แล้วยังมาเจอบุรุษอื่นรังแก ไม่ว่าใครก็ล้วนสงสาร ยิ่งแต่ละคนก็เมตตาเอ็นดูเจ้าหนูน้อยซือจิ้นเป็นอย่างมาก
“นี่ท่านจะมารังแกหลานข้า เพราะอยากได้นางงั้นหรือ” ป้าเหมยโมโหแทบบ้า ยิ่งได้รู้ว่าเขาเป็นคุณชายรอง บุตรชายของเจ้าเมือง แต่นางก็ไม่ได้นึกหวาดกลัวอะไร เจ้าเมืองอ้วนเฒ่าขี้ขลาดตาขาว อาศัยพวกชาวบ้านพ่อค้าเป็นที่ทำมาหากิน เขาไม่กล้าหือกับชาวบ้านมานานแล้ว เพราะชาวบ้านเคยประท้วงต่อต้านไม่ค้าขาย ปล่อยให้ท่าเรือร้างไปหลายเดือน พ่อค้า ขุนนางมากมายได้รับผลกระทบ กล่าวกันว่าเจ้าเมืองถูกฮ่องเต้คาดโทษ หากเกิดเหตุการณ์ประชาชนต่อต้านอีกครั้ง เขาจะถูกประหาร
“ข้าเปล่านะขอรับ ข้าไม่ได้” คุณชายอี้หงกล่าวอึกอัก เขาไม่ได้หาเรื่องโม่เหลียนฮวาเพราะต้องการบีบบังคับนาง แต่ต้องการตามหาความจริงเพื่อการทำงานของเขา และอีกอย่างเขาก็เพียงอยากพูดคุยกับนางเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกเข้าใจกันไปผิดขนาดนั้น
“คุณชาย ถึงแม่นางโม่จะตัวคนเดียว เป็นแม่หม้าย แต่ก็อย่าได้คิดรังแกนางเชียวนะ พวกเราไม่มีทางยอมเด็ดขาด" ป้าคนนึงกล่าวออกมา บ่าวรับใช้คุณชายอี้หงรีบคว้าตัวเจ้านายไปด้านนอกทันทีที่เห็นท่าไม่ดี
“คุณชายรีบไปก่อนเถอะขอรับ”
“ข้าจะทำอย่างไรดี ต่อไปจะกลับไปหานางได้อย่างไร”
“โถ่.. คุณชาย ท่านจะโดนเหล่าป้า กระทืบอยู่แล้ว ยังจะมาอยากไปพบหน้านางอีกหรอขอรับ" บ่าวรับใช้กล่าวก่อนจะพาคุณชายขึ้นรถม้าแล้วออกจากพื้นที่ออกไป เจ้าเมืองอี้ไม่ได้มีอำนาจมากมายขนาดนั้น คุณชายรองแม้จะทำงานดี มีผลงานดี แต่อย่างไรก็ตาม การทำให้ชาวบ้านขุ่นเคืองใจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“ข้าเพียงแค่อยากตรวจสอบ”
“คุณชายการที่นางสั่งอ้อยเยอะขนาดนั้นก็หมายความว่านางมีกระบวนวิธีเอาน้ำตาลจากอ้อยนะขอรับ” บ่าวรับใช้กล่าวออกมา คุณชายอี้หงมองอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ก็ชาวบ้านเขาก็มีวิธีรีดน้ำหวานจากอ้อยอยู่ แต่ไม่ค่อยมีใครนำมาทำน้ำตาลขอรับ มันทำยาก ใช้แรงงานเยอะ และก็ใช้เวลามากนักขอรับ”
“แล้วเจ้าไม่บอกข้าแต่แรก”
“ก็บ่าวไม่รู้นี่ขอรับ” บ่าวรับใช้กล่าว เพราะไม่มีความรู้ อ่านหนังสือไม่ออก การคิดอย่างรวดเร็วย่อมไม่อาจทำได้ดั่งคนมีความรู้ พอคิดได้ก็คิดออกว่าน่าจะเป็นเพราะแม่นางโม่ผลิตน้ำตาลใช้เอง อ้อยก็มีราคาถูก จึงได้ทำของหวานออกมาได้
“เช่นนั้นนางก็ไม่ได้กระทำความผิด” คุณขายอี้หงกล่าวด้วยรอยยิ้มโล่งใจ ภาษีนางก็ไม่ต้องจ่ายเพราะนางไม่ได้ค้าขาย แต่เก็บไว้ทานเอง คราวหน้าเขาก็สามารถไปหานางได้อย่างสบายใจแล้ว …แต่คราวนี้เขาทำให้นางรู้สึกแย่จนเสียงสั่นเช่นนั้นจะไปหาอีกได้อย่างไรดี
“คุณชาย ท่านหักอกหักใจเสียเถิด นางเป็นแม่หม้าย ทั้งยังมีลูกติด นางไม่เหมาะกับท่านหรอก” บ่าวรับใช้เคยเห็นหน้าโม่เหลียนฮวาก็ต้องยอมรับว่างดงามสะสวยมาก แต่ด้วยฐานะการเป็นบ่าวรับใช้ เขาจึงไม่ได้สนใจความงามไปมากกว่าเงินทอง ต่างจากคุณชายที่เงินทองไม่สำคัญ ก็ย่อมต้องชอบสตรีที่งดงาม
“ข้าชอบนาง”
“ท่านแค่ชอบที่นางงดงาม”
“แต่แววคู่นั้นของนาง ทำให้ข้ารู้สึกมีความสุข”
“เจ้าเมืองอี้ กับฮูหยินไม่มีทางยินยอมหรอกขอรับ ต่อให้เป็นเพียงอนุ ก็ไม่มีใครอยากเลี้ยงลูกติดของอนุหรอกขอรับ” บ่าวรับใช้กล่าว การเป็นแม่หม้ายนั่นเป็นเรื่องที่พอจะรับได้อยู่บ้าง แต่การมีลูกติดมาแล้ว จะให้เขามาเติบโตในบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ
“แต่ข้าไม่รังเกียจ”
“แต่ผู้อื่นรังเกียจขอรับ” บ่าวรับใช้กล่าว คุณชายอี้หงมองเรือนไม้ที่ห่างไกลออกไปเพราะรถม้ากำลังขับกลับเข้าเมือง กลับไปยังบ้านของตนเอง สายตาของนางยามมองเขาด้วยความหวาดกลัววูบนึง ช่างดูน่าเอ็นดู งดงาม ยิ่งนัก
“ขอเพียงแค่นางตอบตกลง ต่อให้ใครจะเอ่ยด่าอย่างไรข้าล้วนไม่ใส่ใจ”
“โถ่… คุณชาย”
อีกด้านนึงของโม่เหลียนฮวานางหนีเข้ามานั่งพักใจในเรือนพลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หรือเพราะว่าทุกอย่างเป็นความลับ มันเลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หรือนางควรทำให้หมู่บ้านนี้กลายเป็นที่ทำมาหากินของทุกคน และช่วยเหลือกัน หากว่าทำเป็นหมู่บ้าน การที่ทางการจะเอาผิดนั้นเป็นเรื่องยาก หรือเรื่องนี้ควรหาคนปรึกษาดี โม่เหลียนฮวารอจนตกค่ำ วันนี้นางทำอาหารอย่างง่ายด้วยการนำพริกกระเทียมมาผัดให้หอมก่อนจะใส่หมูลงไป เครื่องปรุงรสที่มีตอนนี้ก็มีแค่น้ำปลา โม่เหลียนฮวาก็ตั้งใจที่จะทำน้ำปรุงรสหอยนางรมในอนาคต แต่ตอนนี้ยังไม่สะดวกมานัก
“ไห่หลิน ข้าอยากรู้ว่าการค้าน้ำตาลผิดกฏหมายหรือไม่” โม่เหลียนฮวาเอ่ยกับไห่หลิน วันนี้ป้าเหมยไม่ได้มาทานข้าวที่เรือน เพราะวันนี้ป้าเหมยนั้นทานอาหารไปก่อนหน้าแล้ว เป็นบะหมี่ที่เหลือในร้าน
“ผิดเจ้าค่ะ แต่หากว่าทำกินในครัวเรือนไม่ถือว่าผิดเจ้าค่ะ ฮูหยินถามทำไมหรือเจ้าคะ”
“วันนี้คุณชายท่านนั้นมาสอบถามข้า”
“บังอาจนัก มันข่มขู่ท่านหรือเจ้าคะ”
“ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้ากลัวนักไห่หลิน เราจะโดนอะไรหรือไม่” โม่เหลียนฮวาเอ่ยปากออกมาด้วยความหวาดกลัว ยุคสมัยนี้เป็นที่รู้กันดีในยุคที่นางจากมา ขุนนางมีอำนาจเหนือประชาชนชาวบ้าน พ่อค้าที่ว่าร่ำรวยยังไม่มีอำนาจเท่ากับขุนนางด้วยซ้ำ ชนชั้นมีส่วนสำคัญขนาดไหน
“ฮูหยินท่านอย่าได้หวาดกลัวขนาดนั้น”
“แต่เรามีสถานะเพียงเท่านี้ ข้ากลัวเหลือเกิน”
“ท่านไม่ต้องหวาดกลัว เจ้าเมืองอี้เคยกระทำความผิด หากเขาทำให้ชาวบ้านต่อต้านเขาจนเกิดความเสียหายทางการค้าขายอีกเขาจะต้องโทษประหาร และเนรเทศออกจากแคว้นทั้งตระกูล ขอเพียงมีข้า จะไม่มีใครทำอันตรายท่านได้” ไห่หลินเอ่ยปากปกป้องโม่เหลียนฮวา โม่เหลียนฮวาร้องไห้ด้วยความตื่นตันใจ ในชีวิตของโม่เหลียนฮวา สุ่ยเหอจวิ้นจู่คนที่รักนางก็มีมากมาย หากนางไม่หลงรักบุรุษผู้นั้น นางคงไม่ต้องตาย ไม่ต้องลำบาก ป่านนี้อาจจะเป็นจวิ้นจู่ในพระราชวัง อาจจะได้แต่งงานกับขุนนางสักคนที่ยอมเป็นรองให้นาง
“ขอบคุณมากไห่หลิน”
“ข้ากับท่านต่างเติบโตมาด้วยกัน ข้ารักท่านมากขนาดไหนท่านก็รู้” ไห่หลินยิ้ม นางรักเจ้านายเหมือนพี่เหมือนน้อง รักมากจนแทบถวายชีวิตให้ได้ ทั้งสองผ่านความยากลำบากด้วยกันมาเท่าไหร่ ไห่หลินชีวิตนี้มีเพียงฮูหยินกับคุณชายน้อย
“ข้าก็รักเจ้า”
“แอ๊” เสียงเล็กของเด็กชายที่คลานมาเกาะขอบประตูมองท่านแม่ และท่านน้าของตนเองที่กำลังพร่ำบอกรักกัน เป็นภาพที่ดูน่าแปลกประหลาดนัก แต่เจ้าตัวน้อยก็ไม่คิดจะยอมแพ้ จะรักกันสองคนได้อย่างไร ต้องรักเขาสิ รักเขามากที่สุด
“จ้า… รักลูกชายมากที่สุดอยู่แล้ว” โม่เหลียนฮวาเอ่ยปากบอก ทุกวันหากไม่ได้ป้าเหมยช่วยเลี้ยงนางคงต้องปวดหัวตายเป็นแน่แท้ บุตรชายของนางดื้อด้าน พูดไม่เคยฟัง แหกปากเสียงดังเป็นที่สุด เคยมีอยู่วันนึงที่ป้าเหมยเผลอปล่อยให้เขาในแปลงผัก กลับมาอีกทีเขาก็นอนกลิ้งไปมากับพื้นดิน ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนเปราะเปื้อนไปด้วยดิน ที่เลวร้ายกว่าคือเขากินดินเข้าไปจนปากเลอะเทอะไปหมด
“มะ” เจ้าหนูตัวแสบกล่าว โม่เหลียนฮวาหันไปหยิบไข่ตุ๋นกุ้งที่นางทำให้บุตรชาย เขาอายุขวบนึงแล้วก็เริ่มทานอาหารได้ครบสามมื้อแล้ว เป็นเรื่องยากของโม่เหลียนฮวามากที่ต้องทำอาหารให้เขา เพราะนางไม่มีความรู้เกี่ยวกับอาหารเด็กเลยแม้แต่น้อย ที่ทำได้ก็มีข้าวตุ๋น ไข่ตุ๋น ข้าวต้ม หรือโจ๊กหมู บางทีก็ทำผลไม้ให้เขากิน
“มากินข้าวกับแม่มาลูกมา”
“หม่ำ หม่ำ” เจ้าเด็กน้อยที่เห็นไข่ตุ๋นผสมกุ้งของโปรดก็พลันน้ำลายไหลย้อยออกมา ชวนให้ผู้มองขบขันนัก โม่เหลียนฮวาตักไข่ตุ๋นป้อนบุตรชาย ถึงจะดื้อและซนขนาดไหน แต่เจ้าตัวน้อยนั้นเป็นเด็กกินง่าย ไม่ค่อยเรื่องมาก นี่แหละที่เป็นข้อดีของบุตรชาย นางเคยคุยกับพี่ป๋ายลู่ที่มีลูกสองคน ลูกของนางกินยากทั้งคู่จนน่าปวดหัว
“อร่อยไหม”
“อี๊”
“งั้นก็ทานให้เยอะนะเด็กดื้อของแม่”
หลายวันผ่านไปร้านค้าของโม่เหลียนฮวาก็อยู่ตัวขึ้น แต่ด้วยความที่อาหารมีรสชาติดี หลายคนก็ไปเล่าแบบปากต่อปาก ลูกค้ามากหน้าหลายตาก็มาทานอาหารที่ร้าน ด้วยความที่เป็นเมืองท่า มีพ่อค้ามากมาย ไหนจะแรงงานชาวเรือ หลายคนที่มาพักเรือก็ย่อมอยากลิ้มรสชาติอาหารอร่อย ตอนนี้ในร้านก็รับคนงานมาเพิ่มเป็นเด็กชายวัยสิบขวบ อายุใกล้เคียงกับฝูไห่ พวกเขามาช่วยงานหลังร้านในโรงเคี่ยวน้ำตาลกับเกลือ โม่เหลียนฮวาก็เริ่มทำน้ำปรุงรสหอยนางรม นางออกเดินทางไปพร้อมป้าเหมย ไปหมู่บ้านแถบประมงเพื่อตามหาหอยนางรม
“หมู่บ้านประมงนี่กลิ่นแรงจริงเชียว” ป้าเหมยเอ่ยปาก วันนี้นางมากับโม่เหลียนฮวา และหลานชายตัวน้อย โม่เหลียนฮวาจำต้องเดินทางมาดู เพื่อพูดคุย หากจะทำน้ำปรุงรสหอยนางรมก็จะต้องใช้ในจำนวนไม่น้อย อีกอย่างตอนที่ดูสารคดีนั้น โม่เหลียนฮวาจำได้ว่ามันใช้ระยะเวลานานมากทีเดียวในการทำน้ำปรุงรสหอยนางรม