เวลาเพียงแค่เจ็ดวัน แม่ของฝูไห่ก็นำหอยนางรมจำนวนมากที่แกะมาแล้ว พร้อมกับล้างสะอาดใส่ตะกร้ามาให้ โม่เหลียนฮวายิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะเริ่มต้นนำหอยนางรมไปต้ม กระบวนการวิธีเท่าที่จำได้จากสารคดีไม่มีอะไรมากนอกจากต้มหอยนางรม แล้วเมื่อได้ที่ก็นำหอยขึ้นมาจากน้ำ จากนั้นก็เคี่ยวน้ำต่อจนง่วนกลายเป็นน้ำปรุงรสหอยนางรม แน่นอนโม่เหลียนฮวาพอจะทราบดีว่าทุกอย่างจะต้องใส่เกลือลงไปบ้าง ไม่รู้เพราะอะไร แต่อาหาร หรือกระบวนการทำหลายอย่างก็ล้วนต้องใช้เกลือเหมือนกัน แต่ครั้งนี้นางกลับคิดไม่ถึงว่าน้ำปรุงรสหอยนางรมไม่ได้ทำง่ายดายขนาดนั้น น้ำปรุงรสหอยนางรมใช้เวลาต้มนานมาก หมดฟืนไม้ไปก็มาก แต่ก็ต้องทำต่อไป เพราะนางมาไกลเกินกว่าจะล้มเลิกได้
“ฮูหยิน ท่านแน่ใจกับการทำน้ำปรุงรสนี้หรือเจ้าคะ” ไห่หลินกล่าวถาม โม่เหลียนฮวาส่ายหน้า นางจะมั่นใจได้อย่างไรในเมื่อเคี่ยวมาสามวันแล้ว น้ำปรุงรสยังไม่เข้มข้นตามที่คาดหวังไว้เลย คิดแล้วก็ปวดหัวไม่น้อย ดีที่ตอนนี้ร้านของนางมีแรงงานหลายคนแล้ว พวกเขาไม่เพียงทำงานในร้าน แต่ยังช่วยงานเพาะปลูกในสวนอีกด้วย
“ว่าแต่พืชในสวนของเราเป็นอย่างไรบ้าง” โม่เหลียนฮวาถามไห่หลิน การปลูกพืชผักในอดีตของนางจากยุคที่จากมานั้นไม่ยากเย็น เพราะในสมัยนั้นมีปุ๋ยหรือสารเคมีหลายอย่างในการกำจัดศัตรูพืช อีกทั้งนวัตกรรมความรู้ก็ดียิ่งกว่าโบราณ แต่มาในยุคนี้โม่เหลียนฮวาเหมือนคนโง่ที่ต้องการเอาแต่เพาะปลูก อยากได้นั่นนี่ แต่ดูแลไม่เป็น แยกประเภทดินไม่เป็น ดูไม่ออกว่าพืชชนิดไหนใช้น้ำเยอะน้ำน้อย
“ก็เป็นไปได้อย่างปกติเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ดี อย่างไรก็ฝากเจ้าด้วยนะไห่หลิน ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย” เพราะเรื่องราวของน้ำปรุงรสหอยนางรม ทำให้โม่เหลียนฮวาหมดความมั่นใจไปเยอะ แต่เมื่อเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวของตนเองไปได้ดีก็หายท้อใจ ยังคิดเมนูใหม่ด้วยการนำตับหมูมาทำเมนูพิเศษที่มีในแต่ละวันอย่างจำนวนจำกัด เพราะบ้านลุงตู้ผู้ขายหมูมักจะทิ้งตับ หรือนำไปผัด แต่ก็บ่นเสมอว่าไม่อร่อย จนโม่เหลียนฮวาอดเสียดายไม่ได้ จึงได้ซื้อมาทำเมนูเพิ่มด้วยการทำตับลวก ตับนั้นมีกลิ่นคาว ส่วนใหญ่ร้านจะล้างไม่สะอาด ไม่รู้กระบวนการวิธีทำ เวลาลวกก็ใช้เวลานานเกินไป ทำให้ตับแข็ง มีกลิ่นคาว หลายคนจึงอคติที่จะไม่กินมัน แต่ไม่ใช่กับโม่เหลียนฮวาแน่นอน นางนำตับหมูมาหั่นเป็นชิ้นหนา ก่อนจะนำมาใส่ถ้วย โม่เหลียนฮวาใส่เกลือก่อนจะราดด้วยน้ำส้มสายชู แม้น้ำส้มสายชูจะแปลกตา และมีกลิ่นที่ไม่คล้ายในยุคนางนัก แต่ก็พอจะเข้าใจ เพราะน้ำส้มสายชูนั้นมีวิธีทำมาจากหลายแบบ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะมาจากกระบวนการหมักไวน์ ชื่อภาษาอังกฤษถึงได้ชื่อว่า vinegar แต่จะอย่างไรแล้วการล้างด้วยเกลือ และน้ำส้มสายชูในตับช่วยให้กลิ่นคาวเลือดหายไป โม่เหลียนฮวาแช่ไว้ก่อนจะมาล้างให้สะอาดจนน้ำใส ก่อนจะหมักด้วยแป้งอีกครั้ง แล้วล้างให้สะอาดอีกครั้ง ก่อนจะมาถึงขั้นตอนสุดท้ายก็นำมาลวกไม่เกินหนึ่งนาที จนได้ตับเนื้อเด้งนุ่ม ส่วนน้ำจิ้มก็ใช้เป็นน้ำจิ้มทะเลแบบง่าย
“ไห่หลิน เจ้าลองทานตับลวกของข้าสิ”
“ตับหมูหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว ลองชิมหน่อยสิว่าอร่อยไหม"
“อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวเลย เนื้อนุ่มมาก รสชาติของน้ำจิ้มก็เปรี้ยวหวานดีนัก แปลกมากเลยเจ้าค่ะ" ไห่หลินเอ่ยออกมาอย่างเคลิบเคลิ้ม อาหารอย่างขนมจีบฮูหยินของนางยังไม่ทันขาย ก็ทำอาหารใหม่มาเสียแล้ว แค่คิดว่าจะได้ขายก็รู้สึกถึงกลิ่นเงินคละคลุ้งไปหมด
“เช่นนั้นหากว่าต่อไป เราขายตับลวกนี้ เจ้าว่าจะขายดีหรือไม่”
“ฮูหยิน ไม่ว่าท่านทำอาหารใดก็ล้วนเลิศรสทั้งนั้น อะไรก็ขายได้หมดนั่นแหละเจ้าค่ะ” ไห่หลินเอ่ยปากชม โม่เหลียนฮวาก็แอบดีใจ แต่ฝีมือของนางหากไปเทียบแม่ค้าขายอาหารตามสั่งหน้าปากซอย ก็ไม่นับว่าจะสู้ได้ แต่อาจจะเพราะว่าอาหารพวกนี้เป็นอาหารแปลกใหม่ ทั้งยังมีรสจัดตามแบบฉบับอาหารไทย ผู้คนใช้แรงงานย่อมชอบอะไรแบบนี้มากกว่า นี่เลยเป็นข้อดีของอาหารที่โม่เหลียนฮวาทำ จะเอ่ยว่าอร่อยเสียทุกอย่างก็คงเพราะได้กลวิธีการมาจากยุคสมัยใหม่เสียมากกว่า
“เจ้าก็พูดเกินไป”
“ไม่เกินจริงเลยเจ้าค่ะ นี่บ่าวยังรออยู่เลยว่าฮูหยินจะทำขนมจีบขายเมื่อใด”
“นั่นสินะ ข้าอยากจะทำขาย แต่ก็คิดว่าจะใช้แรงมากเกินไปหรือไม่” โม่เหลียนฮวากล่าว ความจริงนางอยากจะรอให้ร้านบะหมี่ของนางเงียบเหงาลงสักหน่อยค่อยกระตุ้นยอดขายด้วยการเพิ่มอาหารเข้าไป เพราะตอนนี้ไห่หลินค่อนข้างห่วงสูตรมากทีเดียว เวลาจะทำอะไรนางมักจะดีดรางคำนวณทุกอย่าง โม่เหลียนฮวาไม่เข้าใจว่าทำไมไห่หลินนางถึงได้ดุดันเช่นนี้ แต่ความจริงแล้ว เพราะในอดีตทรัพย์สินของสุ่ยเหอจวิ้นจู่เป็นไห่หลินดูแล ตรวจตราบัญชีอย่างละเอียด ทับทิมเม็ดเดียวหายไป ตำหนักก็แทบแตก
“ฮูหยินหากวันไหนท่านว่างก็ทำเพียงแค่ไส้พอเจ้าค่ะ เดี๋ยวที่เหลือก็ให้พวกคนงานทำไป”
“เราใช้งานพวกเขาหนักไปหรือเปล่า เพิ่มค่าแรงขึ้นดีหรือไม่”
“ฮูหยินปกติแล้วค่าแรงบ่าวผู้หนึ่งตกเดือนละสองอีแปะด้วยซ้ำ นี่เราให้วันละห้าอีแปะไม่นับว่าน้อยเลยนะเจ้าคะ” ไห่หลินกล่าว นางเปรียบคำนวณเทียบกับสาวใช้ในจวนขุนนางชั้นเลว พวกเขาได้รายได้เพียงสองอีแปะ แม้จะเป็นเรื่องที่โหดร้ายไม่น้อย แต่ก่อนหน้าพวกบ่าวกลุ่มนี้ก็ขายตัวเป็นทาส ซื้อมาในราคาหลักหลายตำลึง สองอีแปะก็นับว่ามาก แต่โม่เหลียนฮวาคิดไม่เหมือนกัน รายได้ก็ควรจะเป็นไปตามราคาข้าวของ นางไม่อยากเอาเปรียบใคร เพราะในอดีตรายได้ก็สวนทางกับรายจ่าย ชีวิตลำบากยากเข็น อยากจะกินดีๆสักมื้อก็ยากเย็นนัก
“น้อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
“ก็ขายตัวเป็นทาส จ่ายไปหลายตำลึง อีกทั้งพวกนางก็มีที่อยู่หลับนอน อาหารให้กิน” ไห่หลินเอ่ยอย่างเย็นชาไม่น้อย โม่เหลียนฮวาถอนหายใจ การเกิดเป็นทาสนั้นย่ำแย่มากทีเดียว ดีแล้วที่นางไม่ได้ย้อนเวลากลับมาเป็นทาส ไม่เช่นนั้นคงลำบากแย่ คิดแล้วก็รู้สึกว่าโชคดีไม่น้อยเลย
“เช่นนั้นวันรุ่งข้าจะทำขนมจีบ เจ้าก็ไปซื้อแป้งห่อมาด้วยล่ะ”
“ได้เลยเจ้าค่ะ” ไห่หลินกล่าวอย่างแข็งขัน เพียงเปิดร้านไม่นานก็มีรายได้เข้ามาไม่น้อย อีกทั้งภายในร้านนี้ก็มีแต่แรงงานสตรี คนเลยชื่นชอบที่จะมาทานที่นี่ ทั้งลมบรรยากาศกลิ่นอายของป่าไผ่ที่กำลังเติบโตก็หอมสดชื่นนัก
อีกวันนึงโม่เหลียนฮวาตื่นเช้า กิจวัตรประจำวันก็คือหิ้วเจ้าลูกชายที่นับวันจะกลายเป็นเจ้าหมูตัวอ้วนเข้าไปทุกวัน เขาเริ่มเดินได้แล้ว แต่ก็มักจะให้แม่อุ้มทุกวัน หากวันไหนแม่ไม่ยอมอุ้ม เขาก็จะรอเรียกน้าไห่หลินที่แสนจะตามอกตามใจ หรือพี่ฝูไห่แสนใจดีของเขา ไม่ก็รอยายเหมยที่ตามใจเขายิ่งกว่าอะไรดี
“มาแล้วหรอ หลานรักของยาย” ป้าเหมยที่กลายเป็นคุณยาย นับวันก็ยิ่งหลงใหลตามใจเจ้าหมูอ้วนน้อยจอมเอาแต่ใจ เผด็จการนัก นี่ไม่นับรวมคุณป้าคุณยายบ้านอื่นที่หลายคนก็แวะเวียนมาเอาอกเอาใจเขาถึงเรือน
“ป้าเหมย อย่าตามใจเขามากนะเจ้าคะ” โม่เหลียนฮวากล่าว แต่เหมือนป้าเหมยจะรับปากแบบขอไปที วิสัยคนชรามักจะรักหลงเด็กน้อยมากกว่าอะไรดี ยิ่งเจ้าอ้วนนั้นรู้ความ ช่างประจบสอพลอ มีอย่างที่ไหน ป้าเหมยอายุไม่น้อยแล้วยังเอ่ยปากชมป้าเหมยสวย นี่ยังไม่รวมถึงการไปชมคุณป้าคุณยายบ้านอื่นอีก
“ป้าไม่ตามใจหรอก เดี๋ยวจะเสียคน ไปๆๆ ไปทำงานเถอะ” ป้าเหมยเอ่ยปากไล่โม่เหลียนฮวา เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่ทั้งยายทั้งหลานแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องพึ่งพาป้าเหมย จะให้เลี้ยงลูกให้ห้องครัว ก็ไม่ถนัดนัก แต่ละวันถึงจะไม่ได้ออกไปดูหน้าร้าน แต่ก็ต้องคอยทำบัญชีไว้ตลอด แต่ในวันนี้โม่เหลียนฮวาเข้าครัวอีกครั้งนึง นางจัดการหมักหมูและกุ้งไว้สำหรับการห่อแป้งขนมจีบ เนื่องจากยังเช้าเลยไม่มีลูกค้าเข้าร้าน พวกคนงานทั้งหมดจึงได้นั่งห่อขนมจีบกัน ส่วนโม่เหลียนฮวาก็หันไปนำแป้งขนมจีบทอดใส่น้ำมันจนกลายเป็นแป้งกรอบ ไว้ทานกับบะหมี่ ไม่นานก็เริ่มมีลูกค้าทะยอยมา กลิ่นขนมจีบหอมฟุ้งไปหมด ไห่หลินทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่เนี้ย แนะนำขนมจีบ อาหารจานใหม่ของร้าน หลายคนได้ลิ้มลองก็พบว่ารสชาติดีทีเดียว หน้าตาก็น่ารับประทาน ได้รับคำชมก็มาก ส่วนเถ้าแก่เนี้ยตัวจริงก็นั่งทำบัญชีตามความรู้ที่เคยได้ร่ำเรียนมา แต่ดูท่าคนในยุคโบราณอย่างไห่หลินคงไม่เข้าใจคำว่า เดบิต เครดิต ซึ่งหากให้กล่าวถึงสมัยเรียน สำหรับโม่เหลียนฮวาในยามนั้น นางก็ค่อนข้างโง่เง่าในวิชาบัญชีไม่น้อยเลย กว่าจะผ่านมาได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น
“เหนื่อยไหมไห่หลิน” โม่เหลียนฮวาถามหลังจากร้านปิด ทุกคนทำหน้าที่เก็บของในร้าน ทำความสะอาดจนเรียบร้อย แต่ละวันการทำงานร้านอาหารไม่ง่ายดายเลย งานในครัวก็เยอะและหนักมาก งานนอกครัวก็ไม่น้อย ไหนจะงานในสวนแปลงผักอีก
“เหนื่อยเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่มาก” ไห่หลินกล่าว ปกตินางก็ทำหน้าคุมบ่าวไพร่นางกำนัลอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ไม่นับว่ามากมายอะไร ต้องเรียกว่าสบายมากด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องคอยระวังหน้าระวังหลัง ไม่ต้องคิดคำนวณถึงมารยาทความเหมาะสมนัก ชีวิตในชนบทเรียบง่าย แม้ไม่สุขสบายกาย แต่สุขสบายใจ
“เช่นนั้นก็พักบ้างนะ ข้าว่าร้านฮวนฝูควรมีวันหยุดสักหนึ่งวันในเจ็ดวัน”
“หยุดหรือเจ้าคะ ไม่มีร้านไหนในเมืองหยุดนะคะ หากไม่จำเป็นจริงๆ อีกทั้งพวกคนงานก็ไม่มีใครอยากหยุดด้วย” ไห่หลินเอ่ยปาก คนที่อยากเข้ามาทำงานร้านฮวนฝูก็มีไม่น้อย ไห่หลินคัดแต่สตรีมาทำงาน เพราะอย่างไรก็ไม่ไว้ใจผู้อื่นนัก
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะเหนื่อยเกินไป จะออกไปช่วยเจ้าทำงานแทน เจ้าก็ไม่ยอม”
“จะยอมได้เช่นไรเจ้าคะ ท่านไม่ควรเผยโฉมให้ใครเห็น”
“เจ้าหวงข้าจนเหมือนว่าเจ้าเป็นสามีข้าเลยนะไห่หลิน”
“โถ่… ฮูหยิน ข้าย่อมหวงท่านยิ่งกว่าสามีท่านแน่นอน” ไห่หลินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา เมื่อโดนเปรียบเทียบกับขุนนางแซ่กงหยางผู้นั้น นางมั่นใจว่านางดีกว่าคนผู้นั้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า แค่คิดว่าต้องไปเปรียบเทียบกับคนเช่นนั้นก็รู้สึกขยะแขยงไม่น้อย
“เจ้านี่หวงข้าเกินไปนัก ข้าไม่ได้งดงามขนาดนั้นเสียหน่อย”
“ฮูหยินท่านนะงดงามมาก ข้ากลัวจะเกิดอันตราย สตรีอยู่บ้านกันสามคนกับเด็กน้อยอีกหนึ่ง อันตรายยิ่งนัก” ไห่หลินเอ่ยออกมา ความจริงหากบุตรชายของป้าเหมยกลับมาก็ดีไม่น้อย เขาจะได้เป็นบุรุษสักคนในบ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ คิดแล้วก็เหนื่อยหน่ายใจ การเกิดเป็นสตรีช่างยากเย็นยิ่งนัก
“ข้าก็ไม่ได้ออกไปไหน ทุกอย่างก็ทำอย่างระมัดระวังตัวเสมอ”
“อย่างไรก็ต้องระวังมากกว่านี้เจ้าค่ะ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ หน้าซื่อใจคดกันทั้งสิ้น” ไห่หลินเอ่ยออกมา ขนาดนางไปในเมืองยังไม่วายโดนเกี้ยวพาราสีบ่อยครั้ง แม้จะพยายามแต่งกายเป็นสตรีที่ออกเรือนก็ยังถูกเมียงมอง แม่สื่อบางคนยังเข้าหานางเสียด้วยซ้ำ ฮูหยินของนางตั้งแต่คราวนั้นก็ไม่ทำตนเหมือนแม่ม่าย ทุกวันมักจะถักผมเปียเส้นเดียวอย่างเรียบง่ายตลอด ชวนให้ผู้คนเข้าใจผิดว่ามารดาของคุณชายน้อยซือจิ้นเป็นบุตรของไห่หลิน
“เจ้าค่ะ นายหญิง” โม่เหลียนฮวาเอ่ยปากอย่างติดตลก ก่อนจะถือข้าวของไปอาบน้ำที่ริมน้ำในยามเย็น แม่น้ำอยู่ไม่ห่างไกล เป็นทั้งน้ำที่นำมาใช้ทำอาหาร หาปลาหากุ้ง วันก่อนเห็นเหล่าเด็กชายที่มาทำงาน ระยะนี้นั้นฝูไห่เป็นหัวหน้าของเด็กชายกลุ่มนั้น แต่พวกเขานั้นซุกซนเกินไปจนไห่หลินให้ทำงานเฉพาะบางวันเท่านั้น พวกเขาหากุ้งแม่น้ำมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่โม่เหลียนฮวานั้นก็ย่างกินกับน้ำจิ้มทะเล เป็นมื้อเย็นกับป้าเหมย และไห่หลินจนหมดสิ้น ไม่เหลือให้ผู้อื่นได้ลิ้มลอง ในยุคที่จากมากุ้งแม่น้ำตัวโตหัวมันสีทองเยิ้ม ไม่ได้ราคาถูกเลย กว่าจะได้กินทีก็นานแสนนาน
วันเวลาผ่านเลยไปหลายวันอาหารใหม่อย่างขนมจีบ ตับลวกก็กลายเป็นที่นิยม แต่ละวันนั้นมีจำนวนจำกัด ทำให้ในแทบทุกเช้าก็จะวุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว แต่โม่เหลียนฮวายังคงตั้งใจในเรื่องของรสชาติที่จะยังคงเดิมไว้ ต้องคอยตรวจดูทุกวัน ตอนนี้นางก็เริ่มพูดคุยกับไห่หลินเรื่องที่จะมีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มอาคารร้านให้มีที่นั่งนั่งได้มากกว่าเดิม ทั้งยังต้องการเพิ่มรายการอาหารให้มากขึ้น เพราะตอนนี้ร้านฮวนฝูเป็นความหวัง เป็นรายได้ของหมู่บ้านพอสมควร อาหารทะเลจากบนเกาะก็ถูกส่งตรงมาขายที่ร้านฮวนฝู โม่เหลียนฮวายอมรับว่าอาหารทะเลเก็บได้ไม่นาน และมันเป็นเรื่องยากที่จะขายให้หมด เพราะด้วยราคาที่แพงมาก นางจึงนึกถึงอาหารทะเลแปรรูป แต่การแปรรูปของอาหารทะเลมีหลากหลายทั้งยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่องกลิ่น โม่เหลียนฮวาย่อมไม่ต้องการให้กลิ่นมากระจายในที่ร้านอาหารของนาง วิธีการของนางจึงต้องการเผยแพร่ความรู้เรื่องการแปรรูป และนางจะเป็นดั่งแม่ค้าคนกลางที่ขายออกไป แต่ทั้งนี้นางก็ต้องทดลองทำเองก่อนว่าจะทำได้ดีหรือไม่
“ฮูหยินท่านกำลังคิดถึงสิ่งใดเจ้าคะ”
“เราไม่มีมะนาว พริก เยอะขนาดที่จะทำน้ำจิ้มได้ทุกวัน ข้ากำลังคิดว่าข้าจะรับมือกับอาหารทะเลอย่างไรดี” โม่เหลียนฮวาเอ่ยออกมา คนบนเกาะดีใจที่โม่เหลียนฮวาไม่เอาเปรียบจึงต้องการขายอาหารทะเลให้แก่นาง แต่ร้านของนางมีกำลังการขายไม่มากมายขนาดนั้น ถึงจะขายเกือบหมดในทุกวัน แต่น้ำจิ้มทะเลกลับทำออกมาได้ไม่มาก มะนาวมีช่วงในการเจริญเติบโต อีกทั้งมันโตไม่ทันใช้งานด้วยซ้ำ น้ำจิ้มทะเลควรจะเป็นอาหารตามฤดูกาลด้วยซ้ำ แต่นี่นางกลับใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดไปมาก อาจจะส่งผลให้เสียหายในอนาคต ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวนัก
“ฮูหยินท่านค่อยคิดนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปดูมะนาวให้”
“ไม่ต้องหรอก เมื่อเช้าข้าไปดูแล้ว”
“มันไม่พอหรือเจ้าคะ”
“ตอนนี้อาจจะยังพอ แต่ต่อไปไม่พอแน่”
“เช่นนั้นข้าจะลดการขายของน้ำจิ้มออกไปเจ้าค่ะ”
“หากลดการขาย เราจะไม่สามารถขายอาหารทะเลได้มากเท่าเดิมอีก เจ้าก็ขายไปก่อน ข้าขอคิดวิธีเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
เวลาเพียงแค่เจ็ดวัน แม่ของฝูไห่ก็นำหอยนางรมจำนวนมากที่แกะมาแล้ว พร้อมกับล้างสะอาดใส่ตะกร้ามาให้ โม่เหลียนฮวายิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะเริ่มต้นนำหอยนางรมไปต้ม กระบวนการวิธีเท่าที่จำได้จากสารคดีไม่มีอะไรมากนอกจากต้มหอยนางรม แล้วเมื่อได้ที่ก็นำหอยขึ้นมาจากน้ำ จากนั้นก็เคี่ยวน้ำต่อจนง่วนกลายเป็นน้ำปรุงรสหอยนางรม แน่นอนโม่เหลียนฮวาพอจะทราบดีว่าทุกอย่างจะต้องใส่เกลือลงไปบ้าง ไม่รู้เพราะอะไร แต่อาหาร หรือกระบวนการทำหลายอย่างก็ล้วนต้องใช้เกลือเหมือนกัน แต่ครั้งนี้นางกลับคิดไม่ถึงว่าน้ำปรุงรสหอยนางรมไม่ได้ทำง่ายดายขนาดนั้น น้ำปรุงรสหอยนางรมใช้เวลาต้มนานมาก หมดฟืนไม้ไปก็มาก แต่ก็ต้องทำต่อไป เพราะนางมาไกลเกินกว่าจะล้มเลิกได้
“ฮูหยิน ท่านแน่ใจกับการทำน้ำปรุงรสนี้หรือเจ้าคะ” ไห่หลินกล่าวถาม โม่เหลียนฮวาส่ายหน้า นางจะมั่นใจได้อย่างไรในเมื่อเคี่ยวมาสามวันแล้ว น้ำปรุงรสยังไม่เข้มข้นตามที่คาดหวังไว้เลย คิดแล้วก็ปวดหัวไม่น้อย ดีที่ตอนนี้ร้านของนางมีแรงงานหลายคนแล้ว พวกเขาไม่เพียงทำงานในร้าน แต่ยังช่วยงานเพาะปลูกในสวนอีกด้วย
“ว่าแต่พืชในสวนของเราเป็นอย่างไรบ้าง” โม่เหลียนฮวาถามไห่หลิน การปลูกพืชผักในอดีตของนางจากยุคที่จากมานั้นไม่ยากเย็น เพราะในสมัยนั้นมีปุ๋ยหรือสารเคมีหลายอย่างในการกำจัดศัตรูพืช อีกทั้งนวัตกรรมความรู้ก็ดียิ่งกว่าโบราณ แต่มาในยุคนี้โม่เหลียนฮวาเหมือนคนโง่ที่ต้องการเอาแต่เพาะปลูก อยากได้นั่นนี่ แต่ดูแลไม่เป็น แยกประเภทดินไม่เป็น ดูไม่ออกว่าพืชชนิดไหนใช้น้ำเยอะน้ำน้อย
“ก็เป็นไปได้อย่างปกติเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ดี อย่างไรก็ฝากเจ้าด้วยนะไห่หลิน ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย” เพราะเรื่องราวของน้ำปรุงรสหอยนางรม ทำให้โม่เหลียนฮวาหมดความมั่นใจไปเยอะ แต่เมื่อเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวของตนเองไปได้ดีก็หายท้อใจ ยังคิดเมนูใหม่ด้วยการนำตับหมูมาทำเมนูพิเศษที่มีในแต่ละวันอย่างจำนวนจำกัด เพราะบ้านลุงตู้ผู้ขายหมูมักจะทิ้งตับ หรือนำไปผัด แต่ก็บ่นเสมอว่าไม่อร่อย จนโม่เหลียนฮวาอดเสียดายไม่ได้ จึงได้ซื้อมาทำเมนูเพิ่มด้วยการทำตับลวก ตับนั้นมีกลิ่นคาว ส่วนใหญ่ร้านจะล้างไม่สะอาด ไม่รู้กระบวนการวิธีทำ เวลาลวกก็ใช้เวลานานเกินไป ทำให้ตับแข็ง มีกลิ่นคาว หลายคนจึงอคติที่จะไม่กินมัน แต่ไม่ใช่กับโม่เหลียนฮวาแน่นอน นางนำตับหมูมาหั่นเป็นชิ้นหนา ก่อนจะนำมาใส่ถ้วย โม่เหลียนฮวาใส่เกลือก่อนจะราดด้วยน้ำส้มสายชู แม้น้ำส้มสายชูจะแปลกตา และมีกลิ่นที่ไม่คล้ายในยุคนางนัก แต่ก็พอจะเข้าใจ เพราะน้ำส้มสายชูนั้นมีวิธีทำมาจากหลายแบบ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะมาจากกระบวนการหมักไวน์ ชื่อภาษาอังกฤษถึงได้ชื่อว่า vinegar แต่จะอย่างไรแล้วการล้างด้วยเกลือ และน้ำส้มสายชูในตับช่วยให้กลิ่นคาวเลือดหายไป โม่เหลียนฮวาแช่ไว้ก่อนจะมาล้างให้สะอาดจนน้ำใส ก่อนจะหมักด้วยแป้งอีกครั้ง แล้วล้างให้สะอาดอีกครั้ง ก่อนจะมาถึงขั้นตอนสุดท้ายก็นำมาลวกไม่เกินหนึ่งนาที จนได้ตับเนื้อเด้งนุ่ม ส่วนน้ำจิ้มก็ใช้เป็นน้ำจิ้มทะเลแบบง่าย
“ไห่หลิน เจ้าลองทานตับลวกของข้าสิ”
“ตับหมูหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว ลองชิมหน่อยสิว่าอร่อยไหม"
“อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวเลย เนื้อนุ่มมาก รสชาติของน้ำจิ้มก็เปรี้ยวหวานดีนัก แปลกมากเลยเจ้าค่ะ" ไห่หลินเอ่ยออกมาอย่างเคลิบเคลิ้ม อาหารอย่างขนมจีบฮูหยินของนางยังไม่ทันขาย ก็ทำอาหารใหม่มาเสียแล้ว แค่คิดว่าจะได้ขายก็รู้สึกถึงกลิ่นเงินคละคลุ้งไปหมด
“เช่นนั้นหากว่าต่อไป เราขายตับลวกนี้ เจ้าว่าจะขายดีหรือไม่”
“ฮูหยิน ไม่ว่าท่านทำอาหารใดก็ล้วนเลิศรสทั้งนั้น อะไรก็ขายได้หมดนั่นแหละเจ้าค่ะ” ไห่หลินเอ่ยปากชม โม่เหลียนฮวาก็แอบดีใจ แต่ฝีมือของนางหากไปเทียบแม่ค้าขายอาหารตามสั่งหน้าปากซอย ก็ไม่นับว่าจะสู้ได้ แต่อาจจะเพราะว่าอาหารพวกนี้เป็นอาหารแปลกใหม่ ทั้งยังมีรสจัดตามแบบฉบับอาหารไทย ผู้คนใช้แรงงานย่อมชอบอะไรแบบนี้มากกว่า นี่เลยเป็นข้อดีของอาหารที่โม่เหลียนฮวาทำ จะเอ่ยว่าอร่อยเสียทุกอย่างก็คงเพราะได้กลวิธีการมาจากยุคสมัยใหม่เสียมากกว่า
“เจ้าก็พูดเกินไป”