“เช่นนั้นเราตั้งชื่อร้านของเราว่าอะไรดีนะ”
“ฮูหยินมีความรู้มากกว่าบ่าวนะเจ้าคะ” ไห่หลินกล่าวก่อนจะยกน้ำชาดอกโมลี่ให้ฮูหยินทาน นี่เป็นช่วงเวลาพลบค่ำแล้วกับการย้ายมาอยู่ที่พักใหม่ เพราะตอนนี้ทุกอย่างถูกสร้างเสร็จหมดแล้ว เหลืออีกไม่กี่อย่างก็จะสามารถเปิดเหลาอาหารได้
“ฮวนฝูดีหรือไม่ ที่แปลว่าความยินดี โชคดี”
“ชื่อดีเจ้าค่ะ”
“งั้นข้าเขียนเองแล้วติดกรอบดีหรือไม่"
“ได้เลยเจ้าค่ะ ยามรุ่งบ่าวจะนำไปให้พวกช่างทำให้"
“อืม… เจ้าอย่าลืมจานชามนะ ตะเกียบด้วย” โม่เหลียนฮวากล่าวก่อนจะหันไปมองบุตรชายที่บัดนี้อายุหนึ่งขวบปีแล้ว เขานอนอยู่บนเตียงร่วมกับแม่ของเขา แต่หากวันไหนงอนแม่ก็อาจจะไปนอนบนเตียงกับน้าไห่หลิน แต่ถ้าโกรธมากก็จะย้ายไปนอนเรือนเดียวกับป้าเหมย เขาเป็นเด็กช่างเอาแต่ใจยิ่งนักและรู้ความมากเกินวัยเป็นอย่างยิ่ง ไห่หลินเคยกล่าวว่าคุณชายน้อยซือจิ้นเหมือนบิดาของเขายิ่งนัก แต่โม่เหลียนฮวานั้นจำไม่ได้ ไม่รู้ว่าบิดาของบุตรชายหน้าตา และนิสัยเป็นอย่างไร แต่ความเอาแต่ใจของบุตรชาย ความดื้อของเขาก็ชวนปวดหัวไม่น้อย ดีที่ว่ายังพอพูดรู้เรื่องบ้าง
“เช่นนั้นพวกเราก็นอนกันเถอะ ใกล้จะเปิดร้านอีกไม่กี่วันแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
เวลาเกือบปีสำหรับการเตรียมตัว โม่เหลียนฮวาฝึกฝีมือในการทำก๋วยเตี๋ยวต้มยำจนได้รสชาติที่ใกล้เคียงแล้ว ไม่เพียงแต่ทำก๋วยเตี๋ยวต้มยำ นางยังทำลูกชิ้น มีขายทั้งแบบหมู และแบบทะเล อีกทั้งยังมีขนมหวานอย่างบัวลอย กะทิก็นำมาจากมะพร้าว ริมทะเลก็มะพร้าวมากมายที่สามารถนำมาคั้นกะทิได้ น้ำตาลก็มาจากอ้อยรสชาติหวานหอม
“มะ มะมะ" เสียงของเด็กน้อยที่ยังพูดไม่ได้เอ่ยกับมารดา ช่วงเช้ากลางวันจนเกือบเย็นเขาจะต้องไปอยู่กับป้าเหมย ส่วนโม่เหลียนฮวาก็ต้องทำงาน วันนี้ไห่หลินกับฝูไห่เข้าไปรับจานชามที่สั่งไว้มา ส่วนโม่เหลียนฮวาก็ใช้กระดาษเขียนเชิญชวน ด้วยการวาดภาพก๋วยเตี๋ยว คล้ายกับโปสเตอร์ เมื่อไห่หลินและฝูไห่กลับมาก็ฝากให้ฝูไห่นำกระดาษไปติดที่ป้ายในตลาด เชิญชวนผู้คนให้มาลิ้มลองบะหมี่ร้านฮวนฝู
“ฮูหยินข้าตื่นเต้นจังเลยเจ้าค่ะ” ไห่หลินกล่าว ร้านอาหารริมน้ำบรรยากาศดี มีป่าไผ่งดงาม ทั้งยังร่มรื่น แม้จะไม่ได้ติดริมน้ำมากขนาดนั้น แต่ก็ยังพอเห็น และได้ยินเสียงน้ำไหล บรรยากาศร่มรื่นอย่างมาก ไห่หลินไม่คิดด้วยซ้ำว่าฮูหยินของนางจะทำออกมาได้ดีขนาดนี้ อาหารก็รสชาติเผ็ด แต่อร่อยมากทีเดียว
พออีกวันวันเปิดร้านก็มีหลายคนมารอในตอนเช้า ดีที่วันนี้โม่เหลียนฮวาได้จากคนงานมาเพิ่มเป็นหญิงวัยกลางคนทั้งสองคนคนนึงช่วยงานในครัว อีกคนช่วยส่งอาหารรับอาหารตามโต๊ะ ฝูไห่ก็ทำงานทั่วไป รับส่งอาหาร หรือจะรีบวิ่งไปหาวัตถุดิบที่ขาดแคลน ส่วนไห่หลินทำงานคล้ายผู้จัดการร้าน ดูแลทุกอย่างในร้าน โม่เหลียนฮวาก็มีหน้าที่ทำอาหาร เส้นบะหมี่หลายจินถูกตระเตรียมไว้ น้ำซุปกระดูกหมูที่ถูกเคี่ยวจนหอมตั้งแต่ช่วงเช้ามืดส่งกลิ่นหอมตลบอบอวน ลูกค้าที่มารอส่วนใหญ่ก็เป็นพวกช่างที่มาทำบ้าน หรือคนระแวกใกล้เคียง อีกทั้งเวลาการก่อสร้างที่ใช้เวลานานจนหลายคนจับกลุ่มนินทาพูดถึง ทำให้มีคนสนใจที่จะมา แน่นอนว่าแทบรองรับลูกค้าทั้งหมดไม่ไหว ลูกค้าหลายคนต้องไปหาที่นั่งตามพื้น เป็นภาพที่ไม่เหมาะสมนัก แต่โม่เหลียนฮวาก็ปลอบใจลูกค้าทุกคนด้วยการแจกจ่ายขนมบัวลอยฟรี บะหมี่ชามละสามอีแปะ จะว่าแพงก็แพง ไม่แพงก็ไม่แพง บะหมี่หมูสามอีแปะ ได้ทั้งหมู ตับ และยังได้ลูกชิ้นที่อร่อยมากด้วย อีกชามเป็นบะหมี่ทะเลมีกุ้งปลาหมึกราคาชามละห้าอีแปะก็อร่อยยิ่งนัก น้ำที่มีขายก็เป็นน้ำหวานเก็กฮวยรสชาติดี ปกติแล้วน้ำตาลจะราคาแพงมาก ทำให้ชนชั้นแรงงานไม่ค่อยได้ลิ้มรสความหวานของอาหารมากนัก อาหารที่มาทานวันนี้นับว่าอร่อยล้ำเลิศมากจริงๆ
“แม่นางไห่ อาหารร้านเจ้านี่อร่อยมากเหลือเกิน” ลุงหลี่ที่แอบหนีมาจากร้านของตนเองอดเอ่ยปากชื่นชมไม่ได้ แม้จะหวั่นใจในคราแรกว่าจะโดนแย่งลูกค้า แต่พอเห็นราคาก็คิดว่าคงไม่บ่อยนักที่จะกินบะหมี่ร้านฮวนฝูได้ ไห่หลินยิ้มตอบ
“อร่อยก็มาทานอีกนะท่านลุงหลี่”
“แม่นางไห่ บะหมี่เจ้าอร่อยมาก เจ้าก้อนกลมๆนี่อร่อยมากเช่นกัน” ช่างหลายคนเอ่ยปากชม ไห่หลินแทบจะตัวลอย ตอนคิดนับเงินก็รู้สึกละลานตาไปหมด ความลำบากที่ทนมาเกือบปี วันนี้นับว่าคุ้มค่ามากนัก หลายคนสนใจในบัวลอยอันแสนอร่อย ไห่หลินเห็นบัวลอยก็พลันนึกสยอง เมื่อคืนนางกับฮูหยินปั้นกันจนหลังขนหลังแข็งไปหมด
“ขอบพระคุณท่านมากเลยเจ้าค่ะ” ไห่หลินบอกลูกค้าทุกคน เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามบะหมี่ที่ทำไว้ก็หมด โม่เหลียนฮวาปวดเนื้อปวดตัวไปหมด บะหมี่ที่คิดว่าจะเหลือก็พลันหมดสิ้น ลูกชิ้น หมู ตับก็หมดเช่นกัน ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าไม่น่าจะขายดี แต่กลับขายดีเช่นนี้ ดูท่าจะต้องใช้แรงงานคนเพิ่มขึ้นแล้ว
“วันนี้เหนื่อยนัก นี่ค่าแรงของพวกเจ้า” ไห่หลินหยิบเงินจำนวนสิบอีแปะให้ทั้งสอง โม่เหลียนฮวาเห็นก็นึกสงสาร แต่จะให้ค่าแรงเยอะกว่านั้นไห่หลินก็ไม่ยินยอม เพราะคนละห้าอีแปะถือว่ามากแล้ว
วันแรกหมดไปอีกวันก็กลับมาเปิดร้านใหม่ คราวนี้ไห่หลินตระเตรียมน้ำซุปเปฺ็นแล้ว นางจึงได้ทำแทนฮูหยินของนาง ก่อนจะเตรียมพวกผักมาหั่นไว้ หมูที่ถูกหมักก็นำมาต้มให้สุกเล็กน้อย เพื่อคงสภาพไว้ด้วยอากาศที่ค่อนข้างร้อน ทำให้ไม่สามารถเก็บของสดได้นาน ก็ต้องใช้แบบกึ่งสดกึ่งสุก
“ป้าเหมยข้าฝากท่านด้วยนะเจ้าคะ” โม่เหลียนฮวากล่าว ก่อนจะส่งเจ้าเด็กตัวน้อยตัวแสบของนางไว้ ป้าเหมยหัวเราะชอบใจ นางได้เลี้ยงหลานทุกวันอย่างมีความสุข แต่ละวันซือจิ้นก็นับว่าซุกซนไม่น้อย ทั้งที่อายุเพียงเท่านี้
“ได้สิ วันนี้อย่าลืมบะหมี่ของป้าด้วยนะ” ป้าเหมยเอ่ยปาก โม่เหลียนฮวายิ้มอย่างรู้สึกผิด เมื่อวานขายเสียหมดสิ้น แค่ตัวนางกับไห่หลิน และคนงานทั้งสองคน รวมทั้งฝูไห่ยังไม่ได้กินเลยสักถ้วย
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
“รีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวลูกค้าก็จะมาแล้ว” ป้าเหมยบอก เรือนของนางอยู่หน้าบ้าน คนจะเดินไปร้านอาหารก็ต้องผ่านพื้นที่ของนางก่อน ป้าเหมยไม่ได้คิดราคาค่าผ่านทางอะไร เพราะอย่างไรก็ถือเป็นลูกเป็นหลานคนนึงแล้ว
หลังจากโม่เหลียนฮวานำบุตรชายไปฝากป้าเหมยนางก็กลับมานั่งเตรียมของ ที่แน่นอนการเตรียมส่วนบะหมี่เรียบร้อยหมดแล้ว ไห่หลินรับบทเป็นแม่ครัวในช่วงเช้าก่อน เพราะคนงานสองคนที่จ้างมา พวกนางมีนามว่าเสี่ยวเตี๋ย และป๋ายลู่ สามารถทำงานเป็นแล้ว พวกนางตั้งใจขยันทำงานอย่างมาก เพราะค่าแรงนั้นถือว่าสูงมากเลย ยิ่งสตรีอยู่กับเรือนไม่ค่อยจะมีงานทำ การได้มีการงานทำเพื่อแบ่งเบาภาระที่บ้านก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากนัก
“แม่นางไห่ล่ะ ไปไหนแล้ว” ชายคนนึงที่มาทานอาหารสอบถาม
“วันนี้แม่นางไห่อยู่ในครัวเจ้าค่ะ ช่วงสายๆถึงจะออกมา” เสี่ยวเตี๋ยกล่าว เพราะในช่วงเช้าโม่เหลียนฮวากำลังทำขนมหวานอย่างบัวลอยอยู่ แม้จะไม่ยุ่งยากอะไร แต่ก็ยังทำไม่เสร็จ เพราะใช้จำนวนค่อนข้างมาก
“อืมดี วันนี้ข้าเอาบะหมี่หมูหนึ่ง บะหมี่ทะเลอีกหนึ่ง” ชายคนนั้นกล่าวก่อนที่ฮูหยิน และบุตรของเขาจะสั่งอาหาร วันนี้เปิดร้านช่วงสาย แต่ลูกค้าก็ยังมาหลายคน น้ำเก็กฮวยหอมหวาน น้ำอ้อยถูกนำมาส่งตามที่สั่ง ส่วนฝูไห่วันนี้รับหน้าที่หีบอ้อย เพราะเมื่อเช้ามีชาวสวนอ้อยนำอ้อยมาส่ง ด้านหลังของลานบ้าน ลานร้านจึงเต็มไปด้วยอ้อยเต็มไปหมด
“ฝูไห่วันนี้ไหวหรือไม่” โม่เหลียนฮวาที่เดินเข้ามาในลานด้านหลัง ที่ตรงนี้แทบจะเป็นโรงงานนรก เตาร้อนกำลังต้มน้ำอ้อยมากมายจนเหนียวข้น ฝูไห่ยิ้มตอบโม่เหลียนฮวา งานเยอะงานหนักก็จริง แต่ก็เป็นงานที่สนุก และยังได้เงิน ทุกวันก็จะมีแต่อาหารอร่อยให้กินในตอนเย็น ชีวิตของเด็กคนนึงที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีเงินเรียน ก็ถือว่าดีเป็นอย่างยิ่ง เขาหาเงินได้เยอะพอกับบิดามารดาเสียด้วยซ้ำ
“ไหวขอรับ ข้าน้อยแยกน้ำบางส่วนไปเติมในถังหน้าร้านแล้วขอรับ" ฝูไห่กล่าว เพราะโม่เหลียนฮวาต้องการให้มีน้ำอ้อยขายในร้านด้วย บะหมี่รสชาติหวานเผ็ดต้มยำ ตัดด้วยรสหวานของน้ำเก๊กฮวย หรือน้ำอ้อยธรรมชาติ นับว่ารสชาติดียิ่งนัก ไหนจะขนมบัวลอยกะทิที่ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อน
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ขายดีจนหมดอย่างเร็ว โม่เหลียนฮวามองอาหารที่ขายหมด พลางถอนหายใจ นางต้องมานวดบะหมี่อีกแล้ว ไห่หลินไปรับซื้อไข่ไก่จากชาวบ้าน แป้ง ก่อนจะมาผสมและนวดแป้ง เสี่ยวเตี๋ยและป๋ายลู่ช่วยกันนวดแป้ง ตัดเส้นจนใส่ในตะกร้าสานขนาดใหญ่ก่อนจะใช้ผ้าคลุม ก่อนจะนั่งช่วยโม่เหลียนฮวาปั้นแป้งทำขนม แป้งที่ใช้ทำบัวลอยเป็นแป้งข้าวเหนียว กับแป้งมัน แน่นอนว่าโม่เหลียนฮวาที่มีเครื่องโม่ก็หาซื้อเพียงแค่ข้าวเหนียวมาโม่ ส่วนแป้งมันก็มีขายอยู่ทั่วไป โม่เหลียนฮวาจึงได้นำแป้งมาผสมกัน และใส่น้ำ นวดจนเป็นแป้งเนื้อเดียวกัน ส่วนวันนี้โม่เหลียนฮวาตั้งใจจะทำสีสันในตัวของบัวลอย สีทองก็นำมาจากฟังทองวิธีทำก็ผสมฟักทองลงไปในเนื้อแป้งจนกลายเป็นสีเหลืองทองสวยงาม สีชมพูอมแดงก็ทำมาจากถั่วแดง แน่นอนว่าสีอื่นโม่เหลียนฮวายังคิดไม่ออก เพราะนางหามันม่วง หรืออัญชันไม่ได้ อาจจะต้องใช้วิธีการศึกษาเรื่องวัตถุดิบอีกมากจากยุคสมัยนี้
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านไปพักผ่อนอาบน้ำก่อนก็ได้นะเจ้าคะ” ไห่หลินกล่าว งานในร้านค่อนข้างหนักหนาสาหัสไม่น้อย เตรียมของก็มาก อีกทั้งกลางคืนก็ต้องมาคอยดูแลคุณชายน้อยตัวแสบที่ไม่ยอมหลับยอมนอน จะเอาแต่เล่น
“อืม งั้นข้าฝากเจ้าด้วยนะ” โม่เหลียนฮวาไม่อิดออด นางรู้สึกเหนื่อยทุกวัน เหนียวเนื้อตัวไปหมด โชคดีที่บ้านของนางไม่ไกลจากลำธาร ทั้งยังสามารถชำระร่างกายได้โดยไม่ต้องกลัวสายตาใคร แต่โม่เหลียนฮวาก็ยังมีชุดสำหรับลงอาบน้ำอยู่ดี แน่นอนว่าเป็นการตัดเย็บเอง ทำชุดคล้ายกับผ้าถุงในยุคที่จากมา เพื่อให้ใช้ได้อย่างสะดวก
โม่เหลียนฮวารู้สึกสะอาดสดชื่น บางวันก็พาบุตรชายตัวแสบมาอาบด้วย แต่รายนั้นชอบจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยว่าใต้น้ำมีมังกร ตามนิทานที่ป้าเหมยชอบเล่าให้ฟัง เลยไม่ชื่นชอบที่จะมาอาบน้ำกับแม่ของตนเองนัก ชอบให้น้าไห่หลินต้มน้ำให้อาบที่บ้านมากกว่า พออาบน้ำเสร็จกลับมาก็พบว่าของในครัวเติมเต็มจนหมดแล้ว กะทิก็ถูกคั้นแยกหัวแยกหางเรียบร้อย คิดแล้วก็อยากทำอาหารแกงเผ็ดสักหน่อย เพราะอย่างไรเครื่องสมุนไพรก็ปลูกเต็มเรือน ไหนจะพริกอีก โม่เหลียนฮวาเปิดโอ่งที่ฝังใต้ดินเก็บของสด หยิบหมูมาชิ้นนึงก่อนจะหันพอดีคำ
“ฮูหยินท่านอาบน้ำมาแล้วยังมาทำอาหารอีกหรือเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก อาหารเย็นเจ้าไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวข้าทำให้ ว่าแต่เจ้าหุงข้าวแล้วหรือยัง”
“หุงแล้วเจ้าค่ะ” โม่เหลียนฮวากล่าว การอาบน้ำในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ฟ้ามืดก็ไม่ควรออกไปไหนแล้ว จะให้มีตุ่มอาบน้ำในเรือน ก็แบกหามกันไม่ไหว ไม่มีข้าทาสบริวารมากมายขนาดนั้น แค่น้ำไว้ทำกับข้าวก็ใช้ฝูไห่จนเหนื่อยแล้ว
“อืมเช่นนั้นก็รีบไปอาบน้ำเถอะ ใช้แรงมาทั้งวัน อีกเดี๋ยวป้าเหมยก็จะมาที่เรือนแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
กิจวัตรประจำวันก็เป็นเช่นนี้ ป้าเหมยได้อาหารฝากท้องเช้า กลางวัน เย็น หน้าที่ก็มีแค่การเลี้ยงดูเจ้าเด็กน้อยตัวแสบ ป้าเหมยนั้นรักซือจิ้นมากทีเดียว โม่เหลียนฮวานำพริกแห้งมาตำ ใส่ตะไคร้ ข่า หอมแดง กระเทียม ลูกผักชีคั่ว ยี่หร่าคั่ว รากผักชี เกลือ กะปิ ถั่วลิสง โม่เหลียนฮวาตำจนได้เครื่องแกงหอม ก่อนจะนำลงไปผัดในกระทะกับหมู แล้วใส่กะทิ รอจนแตกมันก็นำขึ้นจากเตา อีกจานนึงก็ทำเพียงไข่เจียวใส่หอมแบบง่าย
โม่เหลียนฮวาได้ทำกะปิไว้ด้วย ต้องยอมรับว่าทำเลที่นี่ดีมาก พริกก็ได้มาจากพ่อค้าแถบบ้านเกิดที่เดินทางไปมา ในระหว่างหนึ่งปีเขาก็นำสิ่งที่โม่เหลียนฮวาต้องการกลับมาด้วย ความจริงโม่เหลียนฮวาอยากเดินทางกลับเมืองเกิด แต่ด้วยยุคสมัยในตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นยุคอย่างไร บ้านเกิดเมืองนอนของนางในสมัยก่อนเท่าที่จำได้ก็น่าจะเป็นดินแดนเถื่อน อาจจะยังมีหลายแคว้น ทั้งยังเป็นยุคแห่งศักดินา ไม่ได้มีระบบฎหมาย และนางเองก็เป็นโม่เหลียนฮวาที่มีลูกและไห่หลิน หากกลับไปก็คงไม่เหมาะ ดีไม่ดีระหว่างเดินทางไหลบนเรืออาจจะตายก็ได้ อีกทั้งแผ่นดินเกิดก็ไม่มีสิ่งใดในคะนึงหา
“โอ๊ยยย อาหารอะไร หน้าตาน่ากลัวจริง” ป้าเหมยเอ่ยปากเรียกโม่เหลียนฮวา สติของนางจึงได้กลับมา ก่อนจะเหลือบเห็นเจ้าตัวน้อยยกไม้ยกมือหาแม่ ให้แม่อุ้ม โม่เหลียนฮวายิ้มออกมา เหนื่อยมาจากไหนทั้งวัน เมื่อได้เห็นลูกชายกำลังใจพลังใจที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็มีในใจ
“วันนี้ทำพะแนงหมูเจ้าค่ะ ป้าเหมย ท่านลองทานกับไข่เจียว และข้าวสวยร้อนๆสิ” โม่เหลียนฮวาเอ่ยปาก เจ้าตัวน้อยที่ยังกินนมของนางอยู่ ก็มีความเพียรพยายามแหวกสาปเสื้ออย่างไม่รู้จักอาย นางก็ไม่รู้จะอายไปทำไมในเมื่อทุกคนตรงนี้ก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด ส่วนลูกชายนางก็เห็นว่าทรวงอกอวบขาวคู่นี้เป็นของของเขาไปเสียแล้ว ป้าเหมยลงมือทานอาหาร โม่เหลียนฮวากับไห่หลินนั้นร่ำรวยเสียจริง มีเนื้อสัตว์ทานไม่ขาด ทั้งยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย และอร่อยไปเสียทุกอย่าง ช่างเป็นบุญวาสนาปากของนางจริงๆ
“อร่อยมากเหลือเกิน ฮวาเอ๋อร์เจ้าช่างเป็นผู้มีพรสวรรค์โดยแท้"
“อร่อยก็ทานให้มากนะเจ้าค่ะ” โม่เหลียนฮวากล่าว เนื้อสัตว์มีราคาแพงไม่น้อย แต่โม่เหลียนฮวาสั่งจากชาวบ้านที่เลี้ยงหมูนำมาขาย เลยได้ราคาถูก แต่ละวันก็ต้องไปจองเนื้อก่อน เพราะพวกเขาจะขายเนื้อเฉพาะตามที่มีคนสั่งเท่านั้น
“มาแล้วเจ้าค่ะ” ไห่หลินเอ่ย หลังจากอาบน้ำเสร็จนางก็รีบกลับเรือนมาด้วยความหิว ช่วงกลางวันนางทานเพียงบะหมี่ในร้าน วันนี้ลูกค้าก็ยังมีมาก ทำให้เหนื่อยพอสมควร แต่เมื่อเห็นเงิน เห็นรายได้ก็ยิ้มออก ฮูหยินคิดราคาอาหารราคาไม่แพงมาก ทั้งยังมีเนื้อหมู ตับ ลูกชิ้นให้ทานอีก ชาวบ้านธรรมดาก็พอจะซื้อกินไหว บางคนก็ถือถ้วยมาซื้อไว้กลับไปทานกับข้าวที่บ้าน
“มาเถอะ มาทานอาหารกัน” โม่เหลียนฮวากล่าว น่าเสียดายที่พะแนงหมูของนางไม่มีผิวมะกรูด กลิ่นมันเลยยังไม่เข้าขั้นดีนัก แต่ในตอนนี้ได้เพียงนี้ก็ดีมากแล้ว
“อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ” ไห่หลินเอ่ยออกมา ปกตินางไม่ทานอาหารรสชาติจัดนัก แต่หลังมานี้ไม่ว่าฮูหยินทำอาหารอะไรให้ทาน นางล้วนทานหมด เผ็ดแต่ก็มีรสชาติอร่อยดียิ่งนัก อร่อยกว่าอาหารในวังหลวงอีก ยิ่งนางเคยได้ทานอาหารของพ่อครัวหลวงที่ได้รับพระราชทานมาจากสุ่ยเหอจวิ้นจู่ในยามนั้น ก็ยังไม่อร่อยเท่าสุ่ยเหอจวิ้นจู่ทำในยามนี้เสียอีก คิดไปแล้วก็ผ่านไปหนึ่งปีกว่า บุตรชายตัวน้อยของขุนนางกงหยางก็เติบโตมาหน้าตาเหมือนเขาราวกับคนเดียวกัน น่าเสียดายยิ่งนัก… หากว่าสามารถติดต่อเข้าไปในวังหลวงได้ ฮูหยินก็คงได้กลับสู่ฐานอันดรศักดิ์เดิม น่าเสียดายที่พวกนางมาไกลจนเกินไป จะไปบอกกล่าวแก่ใครก็คงไม่มีใครเชื่อ ตราประจำพระองค์ก็ถูกเก็บไว้ที่สกุลกงหยาง ป้ายประจำตัวก็ถูกผู้ดูแลริบไว้ ไห่หลินทราบดีว่าฮูหยินรองผู้นั้นย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวพวกนี้แน่นอน แต่เพราะความลำเอียงในใจ กับเรื่องที่ฮูหยินได้กระทำลงไป ทำให้นางต้องพบกับความทุกข์ยากเช่นนี้ แต่เอาเถอะ… ใช้ชีวิตเช่นนี้ก็ไม่เลว ไม่ต้องระวังตัว ไม่ต้องชิงรักชิงริษยากับผู้ใด
อีกวันมาเป็นวันที่สามของการค้าขาย วันนี้ผู้คนบางตาลงไปเยอะทีเดียว แต่โม่เหลียนฮวาก็ไม่ใส่ใจในจุดนี้มากนัก ร้านอาหารก็เป็นเช่นนี้ จะให้คืนทุนในเร็ววัน หรือจะให้ขายดีทุกวันก็คงไม่ใช่เรื่อง ไม่นานก็มีแขกท่านนึงที่มาพร้อมผู้ติดตามหลายคน โม่เหลียนฮวามองออกไปทางครัวก็พบว่าเป็นคุณชายท่านนั้นที่เคยพบเจอกันที่ตลาด เป็นสาเหตุให้ไห่หลินไม่ยอมให้นางออกไปไหนอีก
“แม่นาง ท่านนี่เอง ท่านเป็นเจ้าของร้านหรือ” คุณชายท่านนั้นกล่าว ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ ส่วนคนติดตามก็พากันไปนั่งอีกโต๊ะ เขายิ้มทักทายไห่หลิน และไห่หลินก็จดจำเขาได้ แต่ภายในใจก็รู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย
“เจ้าค่ะ”
“แม่นางอีกคนเล่า”
“เลี้ยงลูกของนางอยู่เจ้าค่ะ” ไห่หลินเอ่ยปาก ทั้งที่จริงโม่เหลียนฮวาก็นั่งอยู่ในครัวนั่นแหละ คุณชายหน้านิ่งไปเล็กน้อย ในใจมีแต่ความเสียดายเต็มไปหมด สตรีนางนั้นถูกจิตถูกใจของเขาไปหมด แต่สตรีไม่มีใจ เขาจะทำอย่างไรได้ อีกอย่างเขาก็เป็นบุรุษที่มีการศึกษา จะใช้ความร่ำรวย หรืออำนาจมาบีบบังคับสตรีก็ไม่ใช่วิถีของเขา
“เช่นนั้นร้านเจ้ามีอาหารใดบ้าง”
“มีเป็นบะหมี่หมู กับบะหมี่กุ้งปลาหมึกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าเอาอย่างล่ะสอง ส่วนโต๊ะของบ่าวข้าก็แล้วแต่พวกเขาจะสั่ง” คุณชายผู้นั้นกล่าว ไห่หลินรับคำก่อนจะเดินไปอีกโต๊ะเพื่อสอบถามจำนวนก่อนจะไปแจ้งที่ม่านกั้นในครัว โม่เหลียนฮวาทำบะหมี่หลายสิบชามจนเสร็จก็ให้คนนำไปส่ง ความจริงตอนนี้ฝูไห่ และเสี่ยวเตี๋ยอยู่ช่วยงานหลังร้านเป็นหลัก พวกเขาหีบน้ำอ้อย และต้มเกลืออยู่
“น้ำนี้คือสิ่งใด ชาเก๊กฮวยหรือ”
“น้ำนี่เป็นน้ำเก๊กฮวยเจ้าค่ะ ไม่มีส่วนผสมของชา” ไห่หลินอธิบาย คุณชายผู้นั้นละเลียดชิมน้ำเก๊กฮวย มันทั้งหอมและมีรสชาติหวานอ่อน ยิ่งดื่มยิ่งรู้สึกดียิ่งนัก
“หวานหอมนัก พวกเจ้าผสมน้ำตาลเข้าไปหรือ”
“เจ้าค่ะ” ไห่หลินขี้เกียจอธิบายก็ได้แต่เดินหนี ดวงตาของคุณชายเปลี่ยนไป น้ำตาลเป็นของที่มีราคาแพง จะมาต้มผสมขายเช่นนี้ต้องเป็นผู้มีเงินมาก อีกทั้งด้วยราคาถ้วยละหนึ่งอีแปะ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สตรีพวกนี้เป็นใครกัน ทำไมถึงครอบครองน้ำตาลได้ แม้จะนึกหลงใหลชื่นชอบ แต่เพราะตำแหน่งฐานะเป็นขุนนางท้องถิ่นผู้หนึ่ง เรื่องนี้จึงไม่อาจปล่อยผ่านได้
วันนี้วันที่สามอาหารขายหมดก็เกือบช่วงเย็นแล้ว โม่เหลียนฮวาจึงนำบะหมี่มาทานกันเป็นมื้อในช่วงเย็นกันทุกคน ส่วนเสี่ยวเตี๋ย และป๋ายลู่ก็ขอกลับไปทานกับครอบครัว โม่เหลียนฮวารู้สึกเหนื่อยไม่น้อย วันนั้นก็พักผ่อน ความจริงโม่เหลียนฮวาคิดมาสักพักแล้วก็อยากจะเปลี่ยนเมนูอาหาร แต่น่าเสียดายนางไม่มีต้นกะเพรา หากจะทำก็คงทำได้เพียงผัดแบบไม่ใส่กะเพรา คงจะไม่หอมแบบที่ขาย เพราะอนาคตก็ต้องเริ่มปรับเปลี่ยน บะหมี่ราคานี้ก็คงอยู่ได้ไม่นาน อีกอย่างการที่ต้องนวดแป้งจำนวนมากเป็นอะไรที่เหนื่อยหนักหนาไม่น้อย แต่ตอนนี้ก็ทำวันนี้ให้เป็นดีที่สุดก่อน เรื่องของวันหน้าก็คือวันหน้า
“ฮูหยินวันนี้ท่านพักเถอะเจ้าค่ะ ข้าทำเอง” ไห่หลินกล่าวที่มีคนน้อยแล้ว โม่เหลียนฮวาพยักหน้า ความจริงก็ไม่อยากจะกินแรงไห่หลินมากนัก แต่ร่างกายของนางก็เหนื่อยล้าไม่น้อย และไม่ได้แข็งแรงเท่าไห่หลินนัก จึงได้แต่สวมผ้าคลุมครึ่งใบหน้าไปยืนรดน้ำต้นไม้
“แม่นาง” คุณชายท่านนั้นมาที่ร้านอีกแล้ว คราวนี้เขาได้เห็นสตรีในชุดสีฟ้า นางแต่งกายดีกว่าเดิม แต่ก็สวมผ้าปิดหน้า ซึ่งเขาก็เห็นด้วยนัก ใบหน้าที่งดงามเพียงนั้นปกปิดไว้ไม่ให้ใครดีที่สุด
“คุณชาย ท่านมาทานบะหมี่หรือเจ้าคะ ท่านเดินตรงไปได้เลยเจ้าค่ะ” โม่เหลียนฮวากล่าว
หีบน้ำอ้อย - คือการคั้นน้ำอ้อย
เครื่องหีบน้ำอ้อยโบราณใช้กันมาหลายที่ ตามที่ได้นั่งอ่านดูตามพวกสาราคดีภาษาอังกฤษ คือมีใช้กันมาแบบโคตรโบราณ เผยแพร่กันมาจนถึงเอเชีย มาถึงบ้านเรา(ประเทศไทย) ประเทศจีนหลายพื้นที่ก็มีพืชคล้ายบ้านเรา การค้าไทยจีนก็มีมาตั้งแต่โบราณ ตั้งแต่ยังไม่มียุคสมัย ประเทศแบ่งแยก ถ้าตามที่ศึกษาน่าจะมีการติดต่อค้าขายตั้งแต่ยุคลังกาสุกะ รัฐแถวปัตตานี มาเลเซียเมื่อ 1000 ปีก่อน มีราชฑูตไปจีนในจดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง