05

1798 Words
เมื่อได้ที่ดินมาเสร็จสรรพแล้วโม่เหลียนฮวาก็จ้างชายในหมู่บ้านมาช่วยถางที่ดิน ถางต้นไม้ออก ต้นไหนสวยงาม ต้นไหนมีประโยชน์ก็จะไม่เอาออก โม่เหลียนฮวาไม่ได้ออกจากเรือน แต่ให้ไห่หลินจัดการทุกอย่าง ช่างที่ทำเรือนก็มาสร้างเรือน โม่เหลียนฮวาสร้างแบบบ้านเป็นบ้านชั้นเดียวแบบเรียบง่าย แต่เป็นเรือนไม้ขนาดเล็ก มีสองเตียงนอน สำหรับตัวนาง และไห่หลิน ภายในห้องมีโต๊ะเก้าอี้นั่งริมหน้าต่างไว้ระบายอากาศ และมองออกไปด้านนอก “ฮูหยินท่านจะทำเครื่องบดสิ่งได้หรือขอรับ” เถ้าแก่ร้านโม่หินที่ไห่หลินไปหาจ้างมา เขาถามฮูหยินที่สวมผ้าคลุมปิดบังครึ่งใบหน้า พลางถามถึงเครื่องแปลกประหลาดที่นางได้บอก อธิบาย ด้วยความที่เป็นช่างประดิษฐ์ กลไกเล็กน้อยแค่นี้ทำไมเขาจะไม่เข้าใจ “ข้าต้องการบดอ้อยเจ้าค่ะ” “ท่านต้องการหีบอ้อยหรือขอรับ” เถ้าแก่ถามออกมาพลางโล่งใจ แค่เครื่องหีบอ้อยนี่เอง ท่าทางฮูหยินผู้นี้จะไม่รู้จัก เครื่องแบบนี้มีราคาสูงเพราะสร้างค่อนข้างยาก “ท่านมีเครื่องบดอ้อยด้วยหรือ” “มีขอรับ แต่ราคาของค่อนข้างแพงมากขอรับ” “เท่าไหร่กันหรือเจ้าคะ” “สองตำลึงทองขอรับ" เถ้าแก่เอ่ยออกมา โม่เหลียนฮวาพอจะเข้าใจความหมายที่เถ้าแก่จะกล่าวคนชนชั้นแรงงาน ทำงานได้ทั้งปี รายได้รวมกันทั้งปีก็ได้เพียงสองถึงสามตำลึงทองเท่านั้น อีกทั้งซาลาเปาเพียงจ่ายหนึ่งอีแปะก็ได้ตั้งหลายลูก อิ่มท้องกันได้หลายคน เหมือนตอนที่นางอยู่ในยุคก่อน วันนึงก็กินได้เพียงข้าวผัดกะเพรา ข้าวผัดต้มยำ ก๋วยเตี๋ยว สุกี้ธรรมดา จะมากินซูชิราคาแพง หรือจะเป็นพวกโอมากาเสะมื้อหลักหมื่นก็ไม่มีวันจะได้ลิ้มลอง “เช่นนั้นก็เอามาสักหนึ่งตัว ข้าขอเตาไฟ และกระทะขนาดใหญ่ด้วยนะ เรื่องราคาและเงินก็ไปคุยกับไห่หลินแล้วกัน” โม่เหลียนฮวากล่าว เพราะเรื่องเงินราคาของนางไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ หากเป็นไห่หลินก็คงจะตอบเรื่องเงินได้ เพราะค่าจ้างคนงานถางต้นไม้ก็เสียไปหลายตำลึงเงินแล้ว “ได้ขอรับ” เวลาผ่านไปเกือบอาทิตย์เงินที่นำมาใช้ทำพื้นที่ สร้างเรือน ทำเครื่องหีบอ้อย สร้างเตาก็ใช้เงินหมดไปเกือบห้าตำลึงทองแล้ว โม่เหลียนฮวาวางแผนตกแต่งพื้นที่อย่างเรียบง่ายให้ดูสบายตา พื้นที่ที่ถูกถางโม่เหลียนฮวาก็เริ่มเพาะปลูกต้นไม้พืชผักที่ใช้กิน ที่โตไวสุดก็น่าจะเป็นต้นผักบุ้ง โม่เหลียนฮวาตั้งใจจะขายบะหมี่ อย่างแรกโม่เหลียนฮวาสั่งซื้อแป้งที่โม่มาจากข้าวสาลี ไข่ไก่ และเกลือทะเล แต่ระหว่างนั้นนางก็หาคนงานเป็นเด็กชายในหมู่บ้านให้พวกเขามาช่วยงาน เด็กน้อยมีชื่อว่าฝูไห่ บิดาเป็นชาวประมง มารดาก็ช่วยสามีทำงาน และเด็กน้อยพวกนี้นอกจากหาปูปลาก็ไม่มีงานทำอะไรมากมาย บิดามารดาออกเรือไปหาปลาหลายวันกว่าจะกลับ สู้มาช่วยงานนางรอบิดามารดากลับมาน่าจะดีกว่า โม่เหลียนฮวาจึงจ้างเขามาขนน้ำทะเล แล้วให้พวกเขาก่อไฟต้ม กวนจนกลายเป็นเกลือก็เก็บไว้ กระบวนการนี้ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไร เกลือที่ได้จากน้ำทะเลมาก็ไม่ถือว่าคุ้มค่าหากจะทำการค้าขาย หากจะให้คุ้มต้องทำเป็นวิธีของนาเกลือ แต่โม่เหลียนฮวาก็ไม่มีความรู้ในด้านนี้นัก เมื่อได้เกลือแล้ว โม่เหลียนฮวาก็ต้องการที่จะทำน้ำปลา โชคดีเหลือคณาที่ที่ดินของนางใกล้กับริมสายน้ำที่เงียบสงบอุดมไปด้วยสัตว์น้ำมากมาย เจ้าเด็กน้อยฝูไห่ที่ซุกซนจับปลามาให้โม่เหลียนฮวา โชคดีที่มันคือปลาจีน รูปร่างลักษณะคล้ายปลาตะเพียน แต่มีขนาดลำตัวที่แตกต่างกัน นั้นเป็นเหตุที่ทำให้โม่เหลียนฮวาเกิดความคิดทีอยากจะทำน้ำปลา โอ่งที่เก็บน้ำก็เหลืออยู่หลายใบ โม่เหลียนฮวาเลยให้เด็กน้อยคนงานทั้งหลายมาช่วยกันตัดหัวปลา เอาเครื่องในออกและล้างจนสะอาด แต่กระบวนการขั้นตอนคลุกเกลือโม่เหลียนฮวาเป็นคนทำเอง สูตรน้ำปลาเป็นหัวใจหลักของอาหารที่นางจะสร้าง จะปล่อยให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด ระหว่างนั้นบ้านก็กำลังถูกก่อสร้างไปพร้อมกับการจัดสรรปันส่วนที่ดินอย่างเหมาะสม แต่ละวันไห่หลินก็ต้องคอยมาดูคนงานทำงาน ส่วนโม่เหลียนฮวาก็ให้นมบุตรชาย นางทำอาหารเป็นบะหมี่ด้วยการนำแป้งที่ซื้อมา ใส่ไข่ ใส่เกลือนวดจนเป็นก้อนแป้งสีเหลืองนวล ก่อนจะใช้สากหินนวดจนแบนแล้วนำมาหั่นให้เป็นเส้น จากนั้นก็นำมาลวกจนกลายเป็นเส้นบะหมี่เหลืองหอม ส่วนน้ำซุปก็ใช้กระดูกหมูต้มหลายชั่วยาม ใส่หัวไชเท้า เกลือ รากผักชี พริกไทย น้ำตาลจากอ้อยที่เพิ่งเริ่มผลิตได้ไม่นานของนางเอง แม้จะยังไม่กลมกล่อมดีนัก เพราะความเค็มมาจากเกลือ ไม่ได้มาจากน้ำปรุงรส แต่โดยรวมก็นับว่าอร่อยดีนัก ยิ่งปรุงพริกเพิ่มเข้าไปยิ่งอร่อย “ฮูหยินบะหมี่ของท่านรสชาติดียิ่ง หอมหวานน้ำซุป มีรสเผ็ดจัด กลิ่นก็หอมเครื่องสมุนไพร” ไห่หลินกล่าว ตอนแรกนางไม่นึกว่าเจ้านายของตนจะสามารถทำอาหารได้ขนาดนี้ แต่เมื่อได้ลองชิมก็ต้องยอมรับว่ารสชาติดีนัก แต่มันออกจะอ่อนไปสักหน่อย หากมีรสชาติแบบนี้ก็คนไม่น่าจะเสียเวลามาที่นี่ กินบะหมี่ลุงหลี่น่าจะดีกว่า “ก็อร่อยดี แต่ยังสู้บะหมี่ลุงหลี่ไม่ได้” ป้าเหมยกล่าวออกมาตามตรง โม่เหลียนฮวาเองก็เข้าใจ เธอไม่ได้ต้องการจะทำบะหมี่น้ำใส แต่ต้องการทำบะหมี่ต้มยำต่างหาก แต่เพราะร้อนวิชา และหาเครื่องปรุงไม่ทันจึงได้ทำมาให้พวกเขาลองชิมรสกันดูก่อน “ข้ายังมีอีกหลายสูตรให้พวกท่านได้ลองเจ้าค่ะ” “อืม เจ้าก็ลองดูฮวาเอ๋อร์ ยังเหลือเวลาอีกมากนัก” ป้าเหมยที่ตอนนี้สนิทสนมกับทั้งสองมากแล้ว นางก็ใช้สรรพนามอื่นในการเรียกโม่เหลียนฮวาเป็นฮวาเอ๋อร์ ส่วนไห่หนิงก็เรียกขานนางว่าหนิงเอ๋อร์ ส่วนฝูไห่วันนี้เขารีบกลับเรือนของตนเพราะบิดามารดาของเขากลับมาจากการออกเรือไปหาปลา ตอนแรกบ้านสกุลฝูไม่ได้อยากให้บุตรชายมาทำงานนัก แต่เมื่อเห็นว่าบ้านป้าเหมยมีแต่สตรีกับเด็กน้อย จึงไม่ได้ห้ามปรามอีก เพราะอย่างไรก็ได้ค่าจ้าง ทั้งยังมีคนดูแลอาหารการกินอยู่ของบุตรชายยามที่พวกนางออกไปทำงาน อีกทั้งโม่เหลียนฮวายังสอนหนังสือพื้นฐานให้แก่ฝูไห่ด้วย แม้จะไม่แน่ใจในความสามารถ แต่การอ่านออกเขียนได้สำหรับคนชนชั้นแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีนัก วันเวลาผ่านไปโม่เหลียนฮวายังคงคิดการทำอาหาร น้ำปลาในโอ่งหมักถูกนางเปิดมาคนน้ำทุกสองอาทิตย์ กลิ่นค่อนข้างเลวร้ายไม่น้อย โม่เหลียนฮวาไม่เคยทำน้ำปลา แต่ก็จดจำได้จากสารคดีที่ดูในยูทูป แต่ก็อยากลองทำตามมีตามเกิด อย่างน้อยความเค็มก็คงไม่ต่างกันนักกับน้ำปลา ส่วนน้ำพริกเผาโม่เหลียนฮวาก็สั่งซื้อพริกแห้ง แต่ไม่มีพริกแบบที่นางต้องการ โม่เหลียนฮวาจึงได้นำพริกที่พ่อค้านำเข้ามา พวกเขาไม่ได้ขาย แต่นำมาเพื่อไว้กิน ดีที่ขอปันพริกพวกนี้ตากแห้งก็สามารถนำมาแกะแล้วปลูกได้ ระยะเวลาที่โม่เหลียนฮวาหาวัตถุดิบนั้นใช้ระยะเวลายาวนานไม่น้อย ระหว่างนั้นก็ต้องเลี้ยงเจ้าอ้วนที่พัฒนาการก็เป็นตามช่วงวัย พอเริ่มอ้อแอ้ก็พูดเก่ง สนิทสนมรักใคร่กับพี่ฝูไห่มาก ทุกวันจะต้องตื่นมานั่งรอพี่ฝูไห่ พอเริ่มทานข้าวได้ก็ต้องรอให้พี่ฝูไห่มาป้อนข้าวทุกวัน ชวนน่าเอ็นดู เวลาผ่านไปพริกก็เติบโตขึ้นจนสามารถเด็ดมาตากแห้งจนกลายเป็นพริกตากแห้ง โม่เหลียนฮวานำกุ้งแห้ง พริกตากแห้ง หอมแดง กระเทียม เกลือ น้ำมันพริก มาบดผสมกันในสิ่งที่คล้ายครก ที่ตอนหลังโม่เหลียนฮวาเรียกมันว่าครก ตอนนี้น้ำพริกเผาก็เสร็จสิ้นแล้ว น้ำตาลจากอ้อยก็ได้มาเยอะแยะ ฝูไห่เป็นกำลังหลัก เขากวนน้ำทะเลทำเกลือทุกวัน ไหนจะช่วยกวนน้ำตาลอ้อย กว่าจะเสร็จแต่ละวันเหนื่อยตัวแทบขาด แต่ความขยันของเด็กน้อยก็ทำให้เขาร่างกายแข็งแรงขึ้นมาก จนเป็นกำลังแรงหลักของบ้าน โม่เหลียนฮวาเอ็นดูเมตตาฝูไห่มาก ไห่หลินกับป้าเหมยก็เช่นกัน เวลาเกือบปีบ้านเรือนร้านอาหารที่โม่เหลียนฮวาตั้งใจสร้างก็เสร็จสิ้น สวนถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมีทั้งพริก ผักบุ้ง ผักชี ผักกาด ทั้งยังมีพวกข่า ตะไคร้หลายอย่างที่สามารถปลูกได้ ป้าเหมยเคยทำสวนช่วยสามีมาก่อน นางจึงมีความรู้ด้านการปลูกต้นไม้มาก “ไห่หลิน ลายมือของข้านับว่าสวยหรือไม่” โม่เหลียนฮวากล่าวกับไห่หลิน เพราะโม่เหลียนฮวาก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างนี้แท้จริงมีความสามารถอื่นใดบ้าง แต่เมื่อลองเขียนก็รู้สึกว่าร่างกายเป็นไปตามธรรมชาติ เขียนเป็นอักษรออกมาก็สามารถทำได้ “ลายมือของท่านงดงามมากเจ้าค่ะ ท่านได้ร่ำเรียนจากนักปราชญ์อาจารย์เจวี่ยน ทั้งยังได้รับคำชมบ่อยครั้งเจ้าค่ะ” ไห่หลินเอ่ยปากอย่างชื่นชม แม้สุ่ยเหอจวิ้นจู่จะร้ายกาจขนาดไหน แต่ศาสตร์ของสตรีทั้งสี่ สุ่ยเหอจวิ้นจู่ล้วนเป็นเอก การร่ายรำของนางงดงามแช่มช้อย ผู้มีวาสนาได้ชมก็มีไม่มาก แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่การร่ายรำ ศาสตร์ในการวาดภาพศิลปะ เขียนอักษร การเดินหมาก หรือการเล่นดนตรี สุ่ยเหอจวิ้นจู่ก็ทำได้ดีเป็นอย่างยิ่ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD