เรื่องสอบควิซอะไรนั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมหรอก เรื่องของอิเหนาอะไรนั่น ผมรู้ดีกว่าใครว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไงเพราะเป็นอีกหนึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าไม่นับรวมพวกสถานการณ์เว่อร์วังเกินจริงที่เสริมเติมแต่งเข้ามาแล้วล่ะก็ ต่อให้หลับตาทำ ผมยังทำได้เลยเชื่อสิ แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเรื่องใหญ่กว่านั้นก็คือผมยังตะขิดตะขวงใจอยู่นิดๆ
ที่พี่อินทร์บอกว่าล้อเล่นนั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?
ถ้าเป็นคนอื่นพูด ผมอาจจะเชื่อ แต่เพราะเป็นศัตรูหัวใจจากในอดีตชาติพูด ผมเลยทำใจเชื่อยาก พอเลิกเรียนก็มารออยู่ที่หน้าลานกว้างฝั่งตรงข้ามหอสมุดด้วยได้ยินว่าเดี๋ยวเขาจะมาทำกิจกรรมที่นี่ กลับหอช้ากว่าปกติสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร เพื่อความสบายใจ ผมยอมนั่งรอก็ได้
รอ...อยู่หลายชั่วโมงจนกระทั่งฟ้ามืดถึงได้เห็นว่าที่ลานกว้างนั้นเริ่มมีนักศึกษามารวมตัวกัน เดาว่าคนพวกนั้นคงจะเป็นพวกดาวเดือนหรือไม่ก็ทูตกิจกรรมที่พี่อินทร์ต้องมาฝึกซ้อมงานอะไรนี่ด้วยนั่นแหละ ผมชะเง้อมองหาคนที่อยากเจออยู่หลายรอบ ถอนหายใจทิ้งก็หลายครั้ง ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เห็นผู้ชายท่าทางคุ้นตาปรากฏอยู่ไม่ไกล เท่านั้นผมก็ลุกพรวด ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหาเขาทันที
“พี่อินทร์”
คนถูกทักดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผม คงไม่คิดว่าจะเจอล่ะมั้ง
“มาทำอะไรเนี่ย”
“มารอพี่อินทร์นั่นแหละครับ”
“เห? อย่าบอกนะว่ามาดักรอ?”
คราวนี้ทำหน้าตากวนประสาทมาก ผมไม่ชอบใจเท่าไรแต่ก็พยักหน้า เท่านั้นแหละ พี่อินทร์ก็สะดีดสะดิ้ง
“ต๊าย~ สตอล์กเกอร์”
ต๊อกพ่อง...
ผมสูดหายใจเข้าปอด เวลานี้ไม่ใช่เวลามาหัวเสีย รีบเอาคำตอบแล้วรีบไปดีกว่า
“ผมมีเรื่องอยากจะถามพี่อินทร์น่ะครับ”
“เรื่องอะไร” กลับมาวางท่าทางปกติแบบเดิมละ
“เรื่องพี่บุศย์”
พอบอกไปเท่านี้ พี่อินทร์ก็ย่นคิ้ว ก่อนจะ...
“ไว้ถามทีหลังนะ พี่ไม่ว่าง รีบไปซ้อมละ สายกว่าชาวบ้านเขาแล้วเนี่ย วู้ว ยุ่งจริงๆ”
แล้วก็ทำท่าจะเดินหนีผมไปหน้าตาเฉย ผมเห็นแล้วก็รีบก้าวตามไปคว้าชายเสื้อพี่อินทร์ไว้ก่อนเขาจะเดินไป
“พี่อินทร์”
พี่อินทร์หันมามอง เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ผมแค่อยากจะถามอะไรให้แน่ใจหน่อย คำถามเดียว ไม่รบกวนเวลานานหรอกครับ”
เท่านั้นพี่อินทร์ก็ยืดตัวตรง ยกมือขึ้นกอดอก รอให้ผมถาม ผมอึกอัก อยากจะรู้อยู่หรอกแต่ก็กลัวว่าถ้าถามไปแล้ว คำตอบจะทำให้ผมบ่อน้ำตาแตกเหมือนวันนั้นอีก ใจแป้วไปขั่วขณะ แวบหนึ่งก็คิดว่าไม่ถามแล้ว ไม่อยากรู้ก็ได้ แต่พี่อินทร์ก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“เอ้า ไหนว่าจะถาม ไม่เห็นถามเลย”
ผมมองหน้าเขา สูดหายใจเข้าลึกๆ
เอาวะ ถามก็ได้!
“คือ...ผมอยากรู้ว่า...”
“ว่า?”
“พี่บุศย์ไม่ได้เป็นผัวพี่อินทร์จริงๆ ใช่ไหมครับ”
พี่อินทร์นิ่งไปครู่ ก่อนที่ใบหน้านิ่งเรียบของเขาจะดูควบคุมได้ลำบาก
ก็แหงล่ะ แม่งกำลังกลั้นหัวเราะอยู่นี่หว่า!
ถามไปแล้ว ผมก็รู้สึกอิหลักอิเหลื่อพอสมควร ขณะที่พี่อินทร์กลั้นหัวเราะได้แล้วก็เชิดหน้าขึ้น ถามผมกลับ
“ทำไมถึงไม่มั่นใจล่ะ บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าพี่ล้อเล่น”
“ก็...”
ถ้ามึงไม่ใช่อิเหนากลับชาติมาเกิด กูก็มั่นใจอยู่หรอกเว้ย แต่นี่...ไอ้อิเหนา ไอ้ตัวร้าย เจ้าเล่ห์เพทุบาย ใครมันจะไปเชื่อคำพูดได้สนิทใจล่ะวะ!
แต่สิ่งที่ผมตอบกลับเป็น...
“ผมก็แค่อยากถามให้ชัวร์เฉยๆ”
ยิ่งถามก็ยิ่งเสียงเบาลง ขณะที่พี่อินทร์ยิ้มเผล่ขึ้นมา
“ฮั่นแน่ ชอบไอ้บุศย์จริงๆ ด้วย”
ผมไม่เถียงแล้ว ไม่ปฏิเสธด้วย รู้ก็ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่พี่บุศย์อย่าเพิ่งรู้ก็พอ ผมยังไม่พร้อมจะบอกตอนนี้
“แล้วตกลงพี่บุศย์เป็นผัวพี่อินทร์จริงปะครับ”
ผมกลับเข้าเรื่องก่อนที่จะโดนล้อเลียนไปมากกว่านี้ พี่อินทร์เอียงคอน้อยๆ
“อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ”
“อยากได้ความจริงครับ”
เพราะรู้ว่าเดี๋ยวจะต้องโดนเล่นลิ้นแน่ ผมเลยแสร้งว่าเสียงแข็งไปน้อยๆ พี่อินทร์มองหน้าผม คงรู้ว่าผมจริงจัง เขาเลยขยับเข้ามาใกล้ โน้มหน้าลงมาใกล้ กระซิบเสียงแผ่ว
“บอกแล้วอย่าไปบอกใครนะ”
“อืม”
“ไอ้บุศย์...”
“...”
“เป็นผัวพี่”
ผมเหลือบมองหน้าหล่อๆ นั่น ใจสั่นหวิวขึ้นมาน้อยๆ รู้อยู่หรอกว่าโดนแกล้งอีกแล้ว แต่พอเห็นดวงตาคมที่ดูจริงจังของพี่อินทร์แล้ว ผมก็ชักไม่มั่นใจ ขณะที่พี่อินทร์เริ่มสาธยายสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินออกมา
“เห็นไอ้บุศย์มันเนิร์ดๆ แบบนี้นะ แต่ตอนอยู่บนเตียง หูย...โคตรเผ็ด ทำพี่ครางแบบนี้เลย”
แล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ผมอีก ก่อนจะส่งเสียงประหลาดๆ
“อ๊ะ...อือ อ๊า บุศย์ เบาๆ หน่อย อูย...เสียวจังเลยผัวจ๋า อื้อ...เอ๋งๆ”
กูว่าเอ๋งๆ นี่มันไม่ใช่แล้ว!
ตอนนี้คำตอบชัดเจนมากกว่าที่พูดๆ มา แม่งเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด ผมก้าวถอยหลังออกมา พอได้จังหวะก็เอานิ้วแหย่ปากพี่อินทร์ทันที พี่อินทร์ชะงักทันควัน ทำหน้าปูเลี่ยนเมื่อสัมผัสได้ถึงความเค็มจากปลายนิ้วของผม
“เล่นอะไรเนี่ย โคตรเค็มเลย ถุ่ด!”
ถุยน้ำลายออกมาเป็นการใหญ่ ผมได้ทีก็เอาคืนบ้าง
“สม อยากเล่นดีนัก แทนที่จะตอบดีๆ แกล้งอยู่ได้”
พี่อินทร์ทำหน้ามุ่ย เขาก็ยังดูหล่อแหละ แต่ผมเหม็นขี้หน้า ยิ่งพอตอนนี้ผมเป็นต่อด้วยแล้ว ผมก็เลยรีบเอาคืนทันควันด้วยการชูมือข้างซ้ายที่เอาป้ายปากเขาเมื่อกี้ขึ้นมาแล้วว่าด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ
“ลืมบอกไปว่าเมื่อกี้ผมเพิ่งไปเข้าส้วมมา มันจะเค็มกว่าปกตินิดนึงนะครับพี่อินทร์”
เท่านั้นพี่อินทร์ก็ชี้หน้าผมทันที
“ไอ้...!”
แล้วผมจะอยู่ทำไมล่ะ รีบเผ่นด้วยการวิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องสมุด ปล่อยให้พี่อินทร์ยืนอยู่ที่เดิม พอแอบมองดูก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเสียเต็มที่ ก่อนจะกระดกขวดน้ำที่อยู่ในกระเป๋าเป้มาบ้วนปากทิ้งเป็นการใหญ่
ดี! สมน้ำหน้า บังอาจมาแกล้งจรกาคนนี้ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ
จรกาขี้แพ้ที่หัวหดกลัวอิเหนาไม่มีอีกแล้ว จรกาจะไม่อ่อนโยน จะก้าวร้าวแล้วนะ!
กระหยิ่มยิ้มย่องเป็นที่พอใจแล้วว่าได้เอาคืนสักทีหลังจากรอมาชาติเศษ ก่อนที่ผมคิดจะกลับหอซึ่งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไปมากพอสมควร พูดง่ายๆ ก็คือต้องนั่งรถเมล์กลับนั่นแหละ ผมไม่มีปัญญามากพอจะเช่าหอแถวนี้อยู่หรอก แพงจะตาย ครอบครัวผมในชาตินี้ไม่ได้รวยขนาดนั้น...ชาติก่อนก็เช่นกัน เป็นแค่โอรสของเจ้าเมืองเล็กๆ ไม่ได้ร่ำรวยเท่าเมืองกุเรปันและผองเพื่อน เลยต้องอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
ผมออกจากห้องสมุด เดินไปขึ้นรถเมล์ที่ แต่ทว่าเมื่อป้ากระเป๋ารถเมล์เดินไล่เก็บตังค์ผู้โดยสารมาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงผม ผมก็ชะงักงันไปพร้อมกับเหงื่อกาฬที่ไหลพรากเมื่อเอื้อมมือไปล้วงกระเป๋าตังค์ในกระเป๋ากางเกง
มะ...ไม่มี!
กระเป๋าตังค์หาย!
หายไปไหน!? หายได้ยังไง!?
ผมเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูก เลยรีบขอลงจากรถก่อนที่จะถูกเก็บตังค์ อ้างเพื่อไม่ให้เสียหน้าว่าขึ้นผิดสาย แต่จริงๆ แล้วไม่มีตังค์จะจ่ายค่าโดยสารต่างหาก
ลงมาได้ ผมก็ยืนตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง
คิดให้ดีๆ เผลอเอาไปวางทิ้งไว้ที่ไหนหรือเปล่า...
แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าผมไม่ได้หยิบกระเป๋าตังค์ออกมาเลย แม้แต่ตอนอยู่ในห้องสมุดนั่นก็ด้วย
หรือว่าจะทำตกไปโดยไม่รู้ตัว?
ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะไม่งั้นจะหายไปไหนได้
ผมถอนหายใจออกมาด้วยระอากับความซุ่มซ่ามของตัวเอง มิหนำซ้ำพอหยิบโทรศัพท์ออกมาจะโทรขอความช่วยเหลือจากพี่บุศย์...แบตฯ ก็ดันหมดอีก
โอ๊ย! ซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรอย่างนี้ แล้วจะไปขอให้ใครที่ไหนช่วยได้ล่ะเนี่ย!
ผมยีหัวตัวเองตรงป้ายรถเมล์ จนปัญญาถึงขั้นคำนวณเส้นทางเดินกลับไปหอด้วยตัวเองแล้วนะ ประมาณสิบห้ากิโล...
คงเดินไม่ไกล...
เสียที่ไหนกันเล่า! ใครมันจะไปเดินได้วะ! ถนนสายหลักอย่างนั้นมันไม่มีฟุตปาธให้เดิน!
เริ่มยีหัวตัวเองอีกครั้ง อับจนหนทาง ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ แต่แล้ว...ภาพใบหน้าของใครบางคนก็โผล่ขึ้นมา
สงสัยคงต้องไปขอความช่วยเหลือแล้วล่ะ...
ใครบางคนคนนั้นก็คือ...อิเหนา