บทที่ 01
ผมเป็นเจ้าของบริษัท [2]
“มะ ไม่รู้จักค่ะ ขอโทษค่ะ ฉันจำคนผิด”
ในเมื่อเขาตั้งใจจะทำเหมือนไม่รู้จักเธอ มองเธอราวกับไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แล้วเธอจะทำอะไรได้นอกจากก่นด่าและสาปแช่งเขาในใจ
แกร๊ก!
ประตูบานนั้นถูกปิดลงอย่างไร้เยื่อใย ยาหยีรู้สึกเจ็บจี๊ดในอก ตอนนี้นอกจากความรู้สึกเสียหน้าแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเสียดายเวลา เสียดายน้ำใจที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับคนอื่น
“เอาล่ะ ผมว่าเราเริ่มคำถามแรกกันเลยดีกว่านะครับ” พุฒิพงศ์ย้ำเตือน
ยาหยีหันกลับมาส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วดึงสมาธิกลับมาที่เหตุการณ์ตรงหน้า ตั้งใจรับฟังและคำตอบถามทุกคำถามอย่างดีที่สุดตามตามที่เตรียมตัวมา แม้ว่าเซนส์ของเธอจะบอกว่าเธอคงไม่มีโอกาสจะได้งานนี้แน่ๆ แต่อย่างน้อยเธอก็ได้พยายามและตั้งใจทำอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ
ใช้เวลาไม่นานในการตอบคำถามที่มีเพียงแค่ห้าคำถาม เรียบร้อยยาหยีก็เดินออกมาจากห้องสอบสัมภาษณ์ ทว่าเมื่อเห็นหน้าพาขวัญ เธอก็รู้สึกหมดแรงลงดื้อๆ ราวกับว่าเพิ่งถูกสูบพลังไปจนหมด
“เป็นยังไงบ้างแก” พาขวัญที่ยืนรออยู่หน้าห้องรีบเดินเข้ามาถามพลางตบบ่าให้กำลังใจ
“แย่”
“ทำไมล่ะ คำถามยากเหรอ มันไม่ตรงกับที่ฉันไกด์ไลน์ไปให้แกบ้างเลยหรือไง”
“ก็ตรงนั่นแหละ แต่ก็อย่างที่แกเห็น สภาพฉันไม่พร้อม แถมป้าคนนั้นยังดูไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไร” ยาหยีบอกอย่างรู้ตัว
“ป้าอมรแกก็เป็นแบบนั้นแหละน่า แต่จริงๆ แล้วแกใจดีนะ พี่พุฒิอีกคน ตอนสัมภาษณ์เขาได้พูดอะไรกับแกบ้างไหม” พาขวัญยังถามไม่เลิกเพราะเธอเองก็ตั้งความหวังกับยาหยีเอาไว้มากทีเดียว
“ฉันว่าเขาก็พยายามช่วยฉันเต็มที่นั่นแหละ แต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็คงผิดที่ฉันเอง” ยาหยีตอบเสียงเศร้าเพราะรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง
เธออยากจะพูดต่อเหลือเกินว่าหากรู้ว่าทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ เมื่อเช้าเธอจะไม่เสียเวลาช่วยศรัณย์เลยสักเสี้ยววินาที ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจเพราะสายตาที่เขามองเธออย่างดูแคลนมันกลายเป็นภาพจำติดตา น้ำเสียงและคำถามของเขาติดอยู่ในหัวของเธอตลอดการสัมภาษณ์ จนถึงตอนนี้ก็ยังลืมไม่ลง
“เออๆ ฉันจะลองสืบให้ก็แล้วกัน วันสองวันก็น่าจะรู้ผลแล้ว เดี๋ยวรีบโทรบอก”
“ขอบใจมากนะแก”
“ไม่ต้องคิดมากน่า นี่ได้เวลาพักพอดี ไปหาอะไรกินกัน ฉันเลี้ยงปลอบใจแกเอง เดี๋ยวบ่ายค่อยกลับมาทำงานต่อ”
“ได้เหรอวะ”
“ได้สิ” พาขวัญบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจเพราะต้องการจะปลอบใจเพื่อน ยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนรักที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วพากันเดินออกมาจากบริษัท
“นี่ยัยขวัญ ถ้าฉันไม่ได้งานที่นี่...”
“ก็หาใหม่สิ บริษัทมีตั้งเยอะแยะมากมาย คนเก่งแถมยังขยันอย่างแกจะไม่ได้สักที่ก็ให้มันรู้ไป” พาขวัญเอาอกเอาใจ เธอรู้ดีว่ายาหยีเป็นคนมีความสามารถแถมยังขยันมาก จะว่าไปแล้วยาหยีทำงานเก่งกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ หากบริษัทไหนรับเข้าทำงานรับรองว่าได้งานที่คุ้มเกินค่าจ้างแน่ๆ
ติดตรงที่ยาหยีเป็นคนไม่มีดวงในด้านดีสักเท่าไร แต่หากเป็นเรื่องดวงในด้านที่เรียกว่าความซวย ยาหยีเพื่อนเธอคนนี้ครองตำแหน่งชนะเลิศมาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่น การสุ่มปลดพนักงานออกจากบริษัทเดิมตามนโยบายเลิกจ้างเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัท นั่นคือเหตุผลทำให้ยาหยีต้องร่อนใบสมัครหางานใหม่อย่างที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ และมีแววว่าจะต้องทำต่อไป
“แต่แค่ขยันมันไม่พอนะแก ต้องเส้นใหญ่ด้วย แถมยังต้องดวงดีอีก เฮ้อ ทำไมกับอีแค่หางานทำมันถึงยากจังวะ”
“เอาน่า นี่ก็ยังไม่รู้สักหน่อยว่าผลเป็นยังไง แกอย่าเพิ่งคิดไปก่อนเลย บอกแล้วไงว่าจะช่วยดูๆ ให้”
“แกไม่ต้องมาปลอบใจฉันหรอกยัยขวัญ แกเองก็รู้ผลตั้งแต่เห็นสภาพฉันแล้วไม่ใช่หรือไง”
“แหม มันก็ไม่แน่หรอก”
“เหอะ ถ้ารู้ว่าทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์แล้วได้บาปนะ ฉันจะ...”
“คุณยาหยีใช่มั้ยครับ”
ระหว่างที่ยาหยีกำลังตั้งอกตั้งใจที่จะระบายความคับแค้นใจออกมา อยู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตามลงมาจากชั้นบนก้าวเข้ามาขวางทางเธอกับพาขวัญเอาไว้
“อ้าว พี่เจตต์ มีอะไรกับเพื่อนขวัญเหรอคะ” พาขวัญถามยิ้มๆ เธอกับเจตต์พัฒน์รู้จักกันดี แม้จะทำงานคนละแผนกแต่แผนกก็อยู่ใกล้ๆ กัน
“เพื่อนน้องขวัญหรอกเหรอครับ”
“ค่ะ ยัยยาหยี เพื่อนขวัญเองค่ะ ฮั่นแน่ จะจีบเหรอคะ” พาขวัญแกล้งแซว
“เปล่าครับ แต่คุณศรัณย์ฝากนี่มาให้เพื่อนน้องขวัญต่างหาก นี่ครับน้องยาหยี” เจตต์พัฒน์ยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางยื่นถุงกระดาษในมือส่งให้กับยาหยีตามคำสั่งที่รับมา
“หา!” พาขวัญที่ได้ยินถึงกับเบิกตาโพลง ตรงกันข้ามกับยาหยีที่แม้จะตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเห็นถุงกระดาษที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ เธอก็จำได้ในทันทีว่าเป็นถุงรองเท้าส้นสูงของเธอนั่นเอง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปอยู่ที่ศรัณย์ได้อย่างไร
“ขอบคุณนะคะ” รับคืนมาเสร็จสรรพก็ขอบคุณคนที่นำมันมาส่งแล้วยิ้มให้เขาไปหนึ่งที
เจตต์พัฒน์ยิ้มตอบแล้วจึงเดินกลับไป ดึงสายตาของยาหยีให้มองตามเขาไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่ามันกลับทำให้เธอได้พบกับสายตาของศรัณย์ที่มองลงมาจากชั้นสอง
“แกไปรู้จักกับคุณศรัณย์เขาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” พาขวัญรับบทป้าข้างบ้าน รีบสัมภาษณ์เพื่อนรักในทันที
“ศรัณย์ไหน ไม่รู้จัก” ยาหยีเลี่ยงจะตอบ แอบเหลือบมองกลับขึ้นไปที่ชั้นสองอีกครั้งก็พบว่าคนที่ถูกพูดถึงยังยืนมองเธอเหมือนกำลังจ้องจับผิด ไม่รู้ว่ากำลังคิดหาวิธีจับเธอโยนออกจากบริษัทหรือเปล่าเหมือนกัน
“เอ้า อะไรของแกวะ ไม่รู้จักแล้วเขาจะฝากของมาให้แกได้ยังไง ในถุงนั่นอะไร บอกมานะเว้ย แกจะมามีความลับกับฉันไม่ได้นะยัยหยี”
“เรื่องไร้สาระน่ะ ไปหาอะไรกินก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง” พูดจบยาหยีก็ยกแขนขึ้นพาดบ่า ล็อกคอพาขวัญเบาๆ แล้วพากันเดินออกมาจากตรงนั้นเพราะเธอไม่อยากจะถูกจ้องอีกแล้ว
ทว่าก้าวพ้นประตูทางเข้าบริษัทมาได้เพียงไม่กี่ก้าว สายตาของยาหยีก็สะดุดเข้ากับรถยนต์คันหนึ่งที่ขับมาจอดบริเวณลานจอดรถหน้าบริษัทพอดี
“มีอะไรวะ”
“ยังไม่แน่ใจ” ยาหยีบอกทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากรถคันนั้น กระทั่งมีหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินตามหลังพวกเธอออกมาจากบริษัทกำลังเดินตรงไปที่รถคันนั้นด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ
มันจะไม่โป๊ะขนาดนี้เลยถ้าหากว่าคนขับรถไม่แสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเพื่อเปิดประตูให้กับผู้หญิงคนนั้น
“ซวยแล้วไหมล่ะ!”
“แกรอตรงนี้นะ”
“เดี๋ยวๆ ยัยหยี แกใจเย็นๆ ก่อน”
“ไม่เย็น แกรอตรงนี้ หรือถ้าไม่อยากเดือดร้อนแกก็กลับเข้าไปก่อนเลย ไม่ต้องบอกใครว่าเรารู้จักกัน โอเคนะ แล้วเอาไว้เราค่อยนัดกันใหม่” ยาหยีกำชับพร้อมกับแกะมือของพาขวัญที่พยายามจะรั้งเธอเอาไว้ออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวตรงไปที่รถคันนั้นทันที
“ไหนนายบอกฉันว่าไม่ว่างไงกอล์ฟ” ยาหยีตะโกนถามเสียงดังเพื่อดึงความสนใจจากชายหญิงสองคนนั้นให้หันมามองเธอ ทำเอารอยยิ้มกว้างๆ ของ ‘กรวิทย์’ หายวับไปทันตา ทั้งยังรีบปิดประตูรถที่หญิงสาวอีกคนเพิ่งจะก้าวไปนั่งด้านในลงแล้วเอาตัวเองบังเอาไว้ทันที
“หยี”
“นั่นใคร”
“หยีใจเย็นๆ ก่อนนะ”
“ตอบ!” ยาหยีถามย้ำอีกรอบ น้ำเสียงพร้อมจะอาละวาด ดวงตาวาววับจ้องมองไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถอย่างท้าทายจนอีกฝ่ายต้องก้าวเท้ากลับลงมาเผชิญหน้า
“นี่มันอะไรกันกอล์ฟ”
“เหอะ” ยาหยีแค่นหัวเราะในลำคอ มือทั้งสองข้างกำแน่นเมื่อเห็นกับตาว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ถามเฉยๆ แต่ยังกล้าหยามเธอด้วยการคล้องแขนของเขาเอาไว้ราวกับกำลังประกาศให้คนอื่นๆ ที่กำลังมองมาในตอนนี้รู้ว่าหล่อนคือผู้ชนะ
“ขอโทษนะฝ้าย ไม่มีอะไรหรอก ยาหยีเป็นเพื่อนสมัยเรียนน่ะ”
“เพื่อนเหรอ ใครเพื่อนนาย” ยาหยีถามด้วยความโกรธแล้วก้าวเข้าไปหวังจะเอาเรื่อง
“ฉันถามว่าใครเพื่อนนาย!”
หมับ!
แต่ไม่ทันจะถึงตัวฝ่ายชาย ฝ่ามือที่เงื้อขึ้นกลางอากาศหมายมั่นที่จะตบหน้าคนทรยศสักฉาดก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
“คุณศรัณย์” ฝ่ายหญิงที่ยืนยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อครู่เอ่ยเรียกด้วยความตกใจ และชื่อที่เธอเพิ่งจะเอ่ยออกมาก็ทำให้ยาหยีต้องรีบหันไปมองคนที่รั้งข้อมือเธอเอาไว้ทันที
ทีแรกเธอคิดว่าจะเป็นพาขวัญที่เข้ามาห้ามเธอจึงไม่คิดจะหันกลับไปมอง แต่เมื่อตอนนี้เห็นแล้วว่าเป็นศรัณย์จริงๆ เธอก็ถึงกับเบิกตาโพลงแล้วรีบสะบัดข้อมือออกจากมือของเขาอย่างรวดเร็ว
“คุณ!”
“ที่นี่บริษัทของผม ถ้าจะทะเลาะวิวาทกันก็เชิญที่อื่น” ศรัณย์บอกเสียงเรียบ
แม้จะไม่ได้มีท่าทีจะโอ้อวดแต่คำว่า ‘บริษัทของผม’ ก็มากพอจะทำให้ยาหยีใจหายวาบ นึกในใจว่าไม่ต้องไปหาหมอดูก็พอจะรู้แล้วว่าเธอจะได้งานที่นี่หรือเปล่า
“คุณศรัณย์คะ คือว่าฝ้าย...”
“ฝ้ายไม่มีปัญญาหาแฟนเองก็เลยต้องแย่งแฟนคนอื่น”
“หยุดนะหยี”
“ไม่หยุด ฉันไม่ได้พูดอะไรผิด”
“ยัย...”
“ก็มาดิ”
“ออกไป” ศรัณย์เอาตัวเองเข้ามากั้นระหว่างสองฝ่ายเอาไว้เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหา
ยาหยีเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความโกรธ ทีแรกเธอก็แค่เสียดายที่ช่วยเขา แต่ตอนนี้นอกจากจะเสียดายแล้ว เธอก็ยังรู้สึกว่าการพบเจอกับเขาคือความซวยที่สุดในชีวิต
ดวงตาของยาหยีวาววับด้วยความไม่พอใจ แต่เธอรู้ดีว่าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรองหรือเอาชนะเขาได้ เพราะคนตรงหน้ามีอำนาจมากพอจะเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยมาจับเธอโยนออกไปบนถนนข้างนอกได้ด้วยซ้ำ
“ยัยหยี ไปๆ กลับก่อนนะแก”
“ยังกลับไม่ได้” ยาหยีแย้งเสียงดังเมื่อพาขวัญรีบวิ่งมาดึงเธอออกจากวงล้อม พูดจบก็หันขวับกลับไปที่ผู้ชายที่เธอเคยไว้ใจอีกครั้ง แม้ศรัณย์จะยังยืนขวางเอาไว้ก็ตาม
“ถอยไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“ที่นี่บริษัทของผม”
“รู้แล้ว คุณบ้าอำนาจมากหรือไงถึงต้องพูดซ้ำๆ ฉันแค่จะบอกให้มันเอาเงินที่ยืมไปมาคืนด้วย หรือถ้าแฟนใหม่ของมันรวยมากก็เอามาคืนแทน หกพันแปดร้อยสามสิบสี่บาท ได้ยินมั้ยไอ้คนเฮงซวย!” ยาหยีตะโกนใส่หน้าศรัณย์ด้วยความโมโห พูดจบเธอก็ฟาดถุงกระดาษในมือใส่คนตัวโตตรงหน้าแล้วหมุนตัวเดินกลับออกมาทันที
“ยัยหยี”
“แกกลับไปทำงานเถอะ ฉันจะกลับห้อง กินอะไรไม่ลงแล้วว่ะ”
“แกใจเย็นๆ นะเว้ย เย็นนี้เลิกงานแล้วแวะไปหา”
“เออ โทรบอกก่อนก็แล้วกัน ไปนะ”
ตกลงกับพาขวัญได้ยาหยีก็แยกตัวออกมาทันที เธอไม่ได้อายที่คนอื่นกำลังมองแต่กลัวว่าจะทำให้พาขวัญต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยเท่านั้นเอง
ทั้งที่อุตส่าห์พูดแต่สิ่งดีๆ มาตั้งแต่เช้า ทำความดีมีน้ำในกับคนอื่น แล้วทำไมทุกอย่างถึงไม่เข้าข้างเธอเอาเสียเลย เธอทำบุญกับคนไม่ขึ้นเลยหรือไง