บทที่ 01
ผมเป็นเจ้าของบริษัท [1]
บริษัท พิทักษ์ทรัพย์ คอร์ปอเรชั่น
“ฮัลโหล ฉันถึงแล้ว”
[ให้ไวเลยยัยหยี คนขับพาแกไปอ้อมถึงดาวไหนถึงเพิ่งจะมาถึงเอาป่านนี้] พาขวัญบ่นมาตามสาย
นี่ขนาดยาหยีตัดสินใจเรียกแท็กซี่แทนการขึ้นรถไฟฟ้าแล้วก็ยังมาถึงที่บริษัทไม่ทันใจ หากเธอขึ้นรถไฟฟ้า กว่าจะมาต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างคงจะยิ่งเสียเวลาและมาถึงช้ากว่านี้แน่ๆ
และที่สำคัญที่สุดนอกจากเรื่องที่เธอมาผิดเวลานัดแล้ว ก็ยังมีปัญหาใหญ่อีกหนึ่งเรื่องนั่นก็คือเสื้อผ้าหน้าผมของเธอที่ไม่มีความพร้อมเลยสักอย่าง ทั้งที่ก่อนออกจากห้องเธอสำรวจทุกอย่างที่หน้ากระจกมาแล้วเป็นอย่างดี ก้าวเท้าซ้ายออกมาพร้อมกับความมั่นใจ แต่ตอนนี้ไอ้ความมั่นใจที่ว่ามันหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้
“ยัยขวัญ ฉันมีเรื่องจะบอกแกเรื่องหนึ่ง”
[อย่าบอกนะว่าแกลืมเอาใบสมัครมา]
“เอามา แต่ว่า...”
[ถ้าอย่างนั้นเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง แกรีบๆ ขึ้นมาเลย ฉันรอแกอยู่ที่หน้าห้องสัมภาษณ์แล้ว ชั้นสองนะ ขึ้นบันไดแล้วมองขวามือ ให้ไว] พาขวัญกำชับเสียงเข้ม พูดเร็วปร๋อแบบไม่พักหายใจและไม่เว้นช่องว่างให้ยาหยีได้อธิบายเลยสักคำ พูดจบเธอก็วางสายไปดื้อๆ ทิ้งให้ยาหยียืนมองเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกเงาบานใหญ่อยู่หน้าบริษัท
เสื้อสูทสีครีมกับกระโปรงสีเดียวกันของเธอเปื้อนคราบกาแฟดวงเบ้อเริ่ม เสื้อเชิ้ตด้านในก็ยับยู่ยี่แถมยังเหม็นเหงื่อ ผมเผ้าแม้จะพยายามจัดทรงมาอย่างดีแต่ตอนนี้มองอย่างไรมันก็ยังไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร โบผูกผมเรียบหรูที่กัดฟันซื้อมาในราคาแพงกว่าตลาดนัดหลายเท่าตัวเพราะคาดหวังให้มันนำความโชคดีและชีวิตหรูหราเหมือนโบมาให้แต่ก็ดันเสียสละใช้เป็นเครื่องมือจับโจรไปแล้วเมื่อครู่ หนักที่สุดก็เหมือนจะเป็นรองเท้าแตะที่สวมอยู่ เพราะเธอดันวางถุงรองเท้าส้นสูงทิ้งไว้ตรงไหนก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ
“เอาน่า วันนี้วันดี ฤกษ์ดี เมื่อเช้าก็ทำความดีมาแล้ว มันจะต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นสักเรื่องสิ!”
ให้กำลังใจตัวเองอย่างนั้น ยิ้มให้กับเงาสะท้อนบนกระจก รวบรวมสติและความกล้าแล้วจึงก้าวเข้าไปด้านในบริษัท
นาทีนี้ยาหยีขอแค่มีโอกาสให้ได้เข้าไปในห้องสัมภาษณ์ เธอมั่นใจว่าเธอจะทำอย่างเต็มที่ หากผู้สัมภาษณ์มีคำถาม หรือสงสัยเกี่ยวกับบุคลิกภาพหรือแม้แต่เรื่องการแต่งกายของเธอในวันนี้ เธอสามารถที่จะอธิบายได้อย่างละเอียด
แต่อย่างที่เกริ่นนั่นแหละว่าอันดับแรกเลยก็คือขอให้ได้มีโอกาสก้าวเข้าไปในห้องสัมภาษณ์เสียก่อน ตอนนี้เพียงแค่คิดถึงใบหน้าของพาขวัญขึ้นมา เสียงตวาดไล่ให้เธอกลับไปก็ลอยมาติดๆ ทำเอาใจฝ่อ เหตุผลที่หัวใจเต้นโครมครามนี่ไม่ใช่เพราะเหนื่อยจากการเดินขึ้นบันได แต่ตื่นเต้นที่จะโดนพาขวัญด่าต่างหาก
“หืม นี่แกไปวิ่งหนีหมาที่ไหนม้า!”
หากไม่ติดว่าที่นี่เป็นบริษัท เสียงของพาขวัญจะต้องสูงมากจนกระจกทุกบานสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
“เรื่องมันยาวน่ะ อะ นี่ใบสมัคร กรอกแล้วเรียบร้อย” ยาหยีบอกแบบย่อความพร้อมกับยื่นใบสมัครที่เตรียมมาและรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีให้กับพาขวัญ ยิ้มแห้งแล้วยืนเงียบๆ อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
ก่อนหน้านี้พาขวัญเป็นคนแนะนำและจัดการทุกอย่างให้ รวมถึงโทรนัดแนะวันเวลาที่จะสอบสัมภาษณ์กับเธอเสร็จสรรพเรียบร้อยเพื่อให้เธอได้เตรียมความพร้อม ซึ่งก่อนหน้านี้เธอก็มั่นใจอยู่หรอกว่าตัวเองเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดีแล้ว จนกระทั่งเกิดเรื่องเมื่อเช้า ก้มมองคราบกาแฟบนเสื้อผ้าและนิ้วเท้าทั้งสิบบนรองเท้าแตะแล้วรู้สึกท้อแท้หัวใจเหลือเกิน
“แล้วแกจะเข้าไปสัมภาษณ์สภาพนี้เนี่ยนะ”
คำถามจี้ใจดำที่สุด แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ
“มันสุดวิสัยจริงๆ นะแก เมื่อเช้าฉันแต่งตัวออกมาจากห้องอย่างสวยเลย”
“เอาปัจจุบันโว้ย ตื่นเต้นมือไม้สั่นจนเทกาแฟหกใส่ตัวเองมาหรือไง แล้วไหนจะยังรองเท้าแตะอีก นี่ฉันจะทำยังไงกับแกดีเนี่ย” พาขวัญบ่นไม่หยุด มองตาขวางใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยกใบสมัครขึ้นขู่เตรียมจะฟาดอยู่หลายรอบจนยาหยีหดหัวหลบแทบจมบ่า
“เอาน่า ขอแค่มีโอกาสได้เข้าไป ถ้าคนสัมภาษณ์เขาถาม ฉันอธิบายได้แน่” ยาหยีตอบอย่างคนพยายามมองโลกในแง่ดีทั้งที่ไม่ได้มีความมั่นใจอยู่เลยสักเศษเสี้ยว
“แกกินยามั่นไปกี่เม็ดก่อนออกจากห้อง เฮ้อ ไอ้เรื่องไปน้ำขุ่นๆ น่ะฉันก็พอรู้หรอกนะว่าแกถนัด แต่แหกตาดูกาลเทศะด้วยเว้ย นี่มันสงครามชีวิต ไม่ใช่การ์ตูนวันหยุดเสาร์อาทิตย์” น้ำเสียงเครียดขึงของเพื่อนรักทำให้ยาหยีได้แต่ยิ้มแห้ง
ยาหยีรู้ดีว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้พาขวัญเองพยายามช่วยเธอมาตลอด แถมยังแอบฝากฝังเธอไว้กับหัวหน้าให้แล้วอย่างดิบดี เธอเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้งานนี้ นั่นทำให้เธอรู้สึกผิดกับพาขวัญเต็มประตูแบบที่ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรจะมาลบล้างได้
“ขอโทษจริงๆ นะแก ถ้าทำให้แกรู้สึกแย่ งั้นฉันกลับเลยก็ได้”
“ขวัญ เพื่อนเรามารึยัง” คำถามดังมาจากหน้าห้องสัมภาษณ์
พาขวัญสะดุ้งเฮือกแล้วรีบเอาตัวเองบังยาหยีเอาไว้ในทันที
“มาแล้วค่ะพี่พุฒิ ให้เข้าไปเลยไหมคะ” พาขวัญถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พยายามส่งสัญญาณให้ยาหยีซ่อนตัวเพราะเธอยังไม่กล้าพอจะให้ ‘พุฒิพงศ์’ หัวหน้าของเธอเห็นสภาพของเพื่อนรักในตอนนี้จริงๆ
“อืม เร็วหน่อย ทุกคนรออยู่”
“ค่ะๆ จะรีบให้เข้าไปค่ะ”
น้ำเสียงเข้มๆ ที่ได้ยินทำให้พาขวัญหลับตาปี๋เพราะนึกหวั่นในใจ รอจนพุฒิพงศ์กลับเข้าไปในห้องแล้ว เธอจึงรีบหันกลับมามองหน้ายาหยีอีกครั้ง
“ฉันไม่เข้าไปก็ได้นะแก” แม้จะเสียดาย แต่ถ้าหากเข้าไปแล้วจะทำให้พาขวัญต้องพลอยลำบากไปด้วย เธอก็ยอมที่จะไปหางานใหม่ดีกว่า
“มาถึงขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องสู้สิ”
“แกแน่ใจนะว่าฉันจะไม่ทำให้แกจะซวยไปด้วยน่ะ”
“ไม่หรอก รีบไปเหอะ แต่ฉันก็คงช่วยแกได้แค่นี้นะยัยหยี” พาขวัญย้ำพลางบีบไหล่ให้กำลังใจ แม้ลางสังหรณ์จะบอกว่าไม่รอดแน่ๆ แต่ก็ต้องลากกันไปให้ถึงที่สุด
“ขอบใจมากนะ ฉันจะทำให้เต็มที่เลย”
“เออ มีอะไรไว้ค่อยออกมาคุยกัน ฉันรอหน้าห้องนี่แหละ พอรู้ว่าแกจะมาก็รีบเคลียร์งานไว้หมดแล้ว”
ด้วยความเป็นห่วง พาขวัญจึงยังไม่อยากจะทิ้งยาหยีไปไหน ส่งยิ้มให้กำลังใจกันและกันทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปส่งถึงหน้าห้อง
“สู้นะแก” อวยพรย้ำอีกรอบแล้วยกมือขึ้นเคาะประตู
ก๊อกๆๆ
สัญญาณที่ดังขึ้นทำให้ยาหยีรีบตั้งสติ สูดหายใจเข้าพร้อมกับยืดลำตัวขึ้นตรงดิก รวบรวมสมาธิและความมุ่งมั่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ในเวลาที่ทุกอย่างดูไม่เป็นใจสักเท่าไร ก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปเผชิญหน้ากับความจริง
ทันทีที่เธอก้าวเท้าเข้าไปด้านใน สายตาของผู้สัมภาษณ์ทั้งสามคนก็พุ่งตรงมาที่เธอทันที
หากสถานการณ์ทุกอย่างเป็นปกติ ยาหยีคงจะไม่รู้สึกอะไรกับสายตาของทุกคนที่จ้องมา แต่กับสถานการณ์ตรงหน้าในเวลานี้ ความเชื่อมั่นในตัวเองที่เธอเคยมีมาตลอดได้ถูกรองเท้าแตะทำลายไปจนหมดแล้ว
ยาหยีเดินมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะสัมภาษณ์ ต่อหน้าผู้สัมภาษณ์ทุกคนพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีเมื่อเช้าเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางนิดหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งตัวไม่สุภาพจริงๆ ค่ะ”
“เอาล่ะ เราเสียเวลามามากแล้ว ฉันว่าเราเริ่มกันเลยก็แล้วกัน” หญิงวัยกลางคนเอ่ยตัดบทโดยไม่ถามอะไรเกี่ยวกับการแต่งกายของเธอต่อเลยสักคำถาม ทั้งที่เธอเตรียมคำอธิบายเอาไว้ในใจอย่างดิบดี
เมื่อไม่ได้รับโอกาสให้อธิบาย ยาหยีจึงต้องทิ้งเหตุผลทุกอย่างไว้ด้านหลังแล้วยิ้มสู้ต่อไป
พลั่ก!
ทว่ายังไม่ทันที่ผู้สัมภาษณ์จะได้เริ่มคำถามแรก บานประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ชายรูปร่างสูงที่ใบหน้าคุ้นตา ยาหยีเบิกตาโพลงขึ้นทันทีที่ได้สบสายตากับเขา เช่นเดียวกับเขาที่ทำหน้าตาประหลาดใจเมื่อเห็นเธอ
เธอจำเขาได้ตั้งแต่วินาทีแรก ในใจนึกขึ้นทันทีว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“คุณศรัณย์จะใช้ห้องประชุมหรือเปล่าครับ” พุฒิพงศ์รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยถาม มันทำให้ชื่อของเขาก็ติดหูยาหยีตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน
คนหล่อที่เธอเจอเมื่อเช้าชื่อ ‘ศรัณย์’ เท่าที่เธอสังเกตจากการแต่งกายรวมถึงการที่ทุกคนในห้องนี้ดูนอบน้อมกับเขา เธอก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขาน่าจะมีตำแหน่งใหญ่โตพอสมควร
“สัมภาษณ์งานอยู่เหรอ” ศรัณย์เอ่ยปากถาม น้ำเสียงของเขายังคงนุ่มทุ้มน่าฟังเหมือนกับที่ได้ยินครั้งแรกไม่มีผิด
ยาหยีเริ่มรู้สึกมีความหวัง และมั่นใจว่าอย่างไรเสียเขาจะต้องช่วยเธอแน่ๆ เธอจึงรีบส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยเมื่อบังเอิญสบสายตากันเพราะเขาเองก็ดูตั้งใจจะมองมาที่เธออย่างเปิดเผย
“ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่เลยเวลาใช้ห้อง เดี๋ยวดิฉันจะ...”
“ไม่เป็นไร จัดการต่อไปเถอะ” ศรัณย์บอกเสียงเรียบ พูดจบก็ละสายตาของจากรอยยิ้มของยาหยีแล้วทำท่าจะถอยกลับออกไปในทันที
“เดี๋ยวค่ะคุณ”
แต่ยาหยีที่รวบรวมความกล้ามาตั้งแต่ต้นก็ตัดสินใจจะรั้งเขาเอาไว้
เสียงเรียกของเธอทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงอีกครั้งจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงาน ความสนใจของทุกคนพุ่งกลับมาที่เธอ รวมไปถึงศรัณย์ที่มองกลับมาที่เธออีกครั้งด้วยสายตาเรียบเฉยจนยาหยีเริ่มยิ้มไม่ออก
ดวงตาคมของเขามองเธอตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงปลายเท้า และจดจ้องอยู่ที่นิ้วเท้าของเธอที่ขยับไปมา สร้างความกดดันและทำให้เธอยิ่งรู้สึกประหม่า
“คุณรู้จักผมด้วยเหรอ” ศรัณย์ถามเรียบๆ น้ำเสียงเย็นชา แววตาห่างเหินจนยาหยีทำอะไรไม่ถูก ยืนอึ้งอยู่สักพัก ความรู้สึกเหมือนถูกผลักให้ตกลงมาจากหน้าผาสูงชัน กระแทกกับพื้นดังอั่ก!