“คราวนี้บอกนามของเจ้าได้หรือยัง” เสียงที่เอ่ยถามนั้นแหบแห้งเล็กน้อยเขาจึงหยิบถุงน้ำที่ติดตัวมาให้อีกฝ่ายดื่ม อาจเพราะกินหมั่นโถวไป ซึ่งก็รับไปกินง่าย ๆ
“ข้ามู่เหริน”
เอ่ยตอบพร้อมจ้องมองตอบกลับนิ่ง ๆ ดวงตาดอกท้อหรี่ลงเล็กน้อย คิ้วคมเฉียงเหมือนคมกระบี่เลิกขึ้นสูงก่อนจะยกยิ้มบาง มุมปากมีน้ำไหลออก มู่เหรินยกชายเสื้อเช็ดมุมปากให้อย่างอดไม่ได้ เด็กจริง ๆ แค่กินน้ำก็ยังหก
เสี้ยวเหวินหวางชะงักไปชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้ปัดมือออก มองคนตรงหน้าที่มีกิริยาธรรมชาติจนไม่อยากขัดความปรารถนาดี ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อใบหน้างดงามอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ขอบคุณ”
เสียงตอบอ้อมแอ้มก่อนจะยื่นถุงน้ำคืน มู่เหรินพยักหน้ารับไม่ได้สนใจกิริยาแปลก ๆ ของอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นยืนซึ่งเด็กน้อยก็เงยหน้ามองทันที
“พบเจอวันนี้นับมีวาสนา นี่เป็นปิ่นพิสูจน์พิษซึ่งให้ผลแม่นยำ จงพกติดตัวเอาไว้ หากดื่มกินจงตรวจสอบให้ละเอียด อย่าไว้ใจผู้ใดแม้กระทั่งตัวเอง”
มู่เหรินยื่นปิ่นดอกกล้วยไม้ให้คนตรงหน้าไว้เป็นที่ระลึกซึ่งเด็กน้อยมองตามอย่างเงียบงัน เขาย่อตัวลงหยิบยื่นน้ำใจไว้ในมือของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม พบกันนับมีวาสนา หากเตือนแล้วไม่จำก็เป็นเรื่องของชะตาฟ้า
“ข้าจะถือว่าเป็นของหมั้นหมาย”
มู่เหรินมองหน้าคนพูดที่มีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า ดวงตาดอกท้อมีประกายงดงามจนต้องถอนใจยาว
“สุดแล้วแต่เจ้าจะคิดเสี้ยวเหวินหวาง” เอ่ยตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป
เสี้ยวเหวินหวางมองตามร่างโปร่งที่เดินจากไปอย่างเงียบงัน ดวงตาดอกท้อประกายบางอย่างก่อนจะเลือนหายไป ในมือยังกำปิ่นดอกกล้วยไม้ไว้แน่น ในปิ่นปักนามไว้ว่ามู่เหริน นามที่ผู้คนใฝ่ตามหาแต่กลับได้พบอย่างง่ายดาย
“องค์ชายไม่รั้งตัวไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์เข้ามาเอ่ยถามอย่างร้อนรน คนผู้นั้นมองการณ์ไกลและยังเป็นยอดอัจฉริยะ หากได้มาอยู่ข้างกายองค์ชายเสี้ยวเหวินหวางขวากหนามข้างหน้านับว่าเป็นกระไรได้
“ยังไม่ถึงเวลา”
เสี้ยวเหวินหวางเอ่ยตอบแผ่วเบา มองปิ่นในมือเงียบ ๆ ก่อนจะหยิบหมวกมาสวมแล้วลุกขึ้นเดินไปอีกทาง
พบเจอนับว่าเป็นวาสนาหรือ แต่สำหรับเขามันเป็นพรหมลิขิตต่างหาก...
มู่เหรินเดินกลับมาโรงเตี๊ยมก็เห็นหลิงหวางรออยู่ก่อนแล้ว เขาเดินไปนั่งบนโต๊ะพร้อมรินน้ำชาใส่จอกยกดื่มอย่างเชื่องช้าก่อนจะหันไปถามคนที่ยืนเงียบ ๆ
“ได้ข่าวหรือไม่”
“ขอรับ หุบเขาปีศาจอยู่ทางเหนือของแคว้นฉิน เดินทางราวเจ็ดวันก็จะถึงแล้วขอรับ”
มู่เหรินพยักหน้ารับ โบกมือไล่ไปพักผ่อนทว่าร่างสูงยังยืนนิ่งไม่ได้ไปไหน เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นสูงมองใบหน้าคมคายหล่อเหลายิ่งกว่าดารานายแบบจากโลกที่แล้วอย่างอึ้ง ๆ เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้สังเกตดูใบหน้าของอีกฝ่าย หากนี่เป็นใบหน้าที่แท้จริงเขาไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงปกปิดใบหน้าตนเองมาโดยตลอดเพราะมันหล่อเหลางดงามราวกับเทพเซียนที่ไม่มีชีวิตอยู่จริง ๆ
“นี่คงไม่ใช่ใบหน้าจริงของเจ้าหรอกนะ” มู่เหรินเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
หลิงหวางยกมือเกาศีรษะเบา ๆ เหมือนเก้อเขิน มู่เหรินมองตามอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าจะเอ่ยถ้อยคำใดดี
“ขอรับ”
มู่เหรินรู้สึกพูดไม่ออก เมื่อครู่เขาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเสี้ยวเหวินหวางนับว่าดูดีและมีเสน่ห์มากพอแล้ว มาเจอตัวจริงขององครักษ์เงาแล้วนับว่ากินกันไม่ขาดจริง ๆ เขารู้สึกเครียดขึ้นมาทันที พวกนี้กินอะไรถึงหน้าตาดูดีขณะที่เขากลับงดงามราวกับสตรี!
“นายน้อย นายน้อยจดจำได้อย่างไรขอรับว่าคนที่เข้าหานายน้อยเป็นข้า”
หลิงหวางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ นี่ลองเผยใบหน้าจริงออกมาทว่านายน้อยกลับไม่สนใจใบหน้าเขาตั้งแต่เข้ามา ที่สำคัญยังรู้ว่าเขาคือหลิงหวางองครักษ์ของตัวเอง ช่างน่าทึ่งจริง ๆ
“ความลับ”
มู่เหรินเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะไล่ไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อ เขามองตามเงาร่างที่ปีนขึ้นไปนอนคานไม้อย่างเหนื่อยอ่อน เขาเลิกสนใจคนหน้ามึนและดื้อเงียบก่อนจะครุ่นคิดไปถึงเด็กน้อยที่เพิ่งแยกกันมา
ปิ่นกล้วยไม้เปรียบเหมือนตัวแทนของเขาซึ่งให้พี่สามทำให้ แต่เมื่อนึกถึงอนาคตเด็กน้อยนั่นแล้วนับว่าน่าเป็นห่วง หากเขาคือฉินเหวินหวางจริง ๆ คงน่าสงสารหากต้องมาจบชีวิตหลังขึ้นครองราชย์ได้สามวันเท่านั้น อนาคตเป็นเช่นไรเขาไม่อาจรู้ แต่ที่แน่ ๆ เขาต้องไปหาท่านอาวุโสกุ้ยกู๋ให้ได้เร็วที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้นมู่เหรินก็ออกเดินทางแต่เช้าและยังแต่งกายเป็นสตรีเช่นเดิมเพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดจดจำได้ จนกระทั่งผ่านไปสามวัน เขาไม่ได้เข้าเมืองหลวงแต่อ้อมมาทางเมืองฉันอัน ทั้งคู่เดินทางด้วยลมปราณจนพลังยุทธ์พัฒนาขึ้นมาอีกสองขั้น นับว่าเป็นการพัฒนาที่ดี สองเท้าชะลอความเร็วลงเมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้อยู่เบื้องหน้า
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ตูม...
มู่เหรินเหยียบยอดไม้มองดูการต่อสู้เบื้องหน้าอย่างระวัง วรยุทธ์ของคนที่อยู่ด้านล่างไม่ได้ต่ำช้า ดูก็รู้ว่าเป็นพวกนักฆ่าที่ถูกจ้างมา และคนที่ตอบโต้อยู่ขณะนี้ฐานะคงไม่ธรรมดาเพราะฉะนั้นอย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า
ฉัวะ!