“ก็สมควร ดันอุตริกินเข้าไปเพียวๆ แบบนั้น ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี แต่ถ้าจะสงสารฉันว่าคนที่แกอ้วกใส่น่าสงสารกว่า” ชานนท์วกกลับมาเรื่องเดิมอีกทำเอาหิรัญญิการ์ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เพื่อนของเธอคนนี้เป็นคนช่างจดจำรวมทั้งช่างสังเกตเสียด้วยสิ “แล้วท่าทางตอนที่เล่าเหมือนรู้จักคนที่แกอ้วกใส่เลยนะนังพลู ดูท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ พิกลผิดวิสัยคนอย่างแก”
“...”
คนกำลังนึกถึงเรื่องนี้อยู่พอดีถึงกับสะดุ้งโหยง
“อ้าว...แกเป็นอะไรไป จู่ๆ ก็สะดุ้ง ดูท่าทางมีพิรุธนะ” ชานนท์จ้องหน้าเพื่อนเขม็ง “แสดงว่าแกรู้จัก
จริงๆ ใช่มั้ย”
ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันต่อพนิดาก็ถือถาดเครื่องดื่มมาวางบนโต๊ะให้เสียก่อน ทำให้เรื่องที่คุยค้างอยู่
หยุดชะงักลงทันที คนตกเป็นจำเลยถึงกับลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“น้ำอะไรของแกยายพลูสีแปลกๆ” ชานนท์ถามพลางมองแก้วน้ำตรงหน้าอย่างสงสัยซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับมาริสา “ฉันจะถามตั้งแต่ได้ยินแกสั่งเด็กไปแล้ว ชื่อแปลกๆ”
ปิยะชาติลองจิบเป็นคนแรก
“อร่อยดีนะ รสหวานอมเปรี้ยวแต่ชื่นใจชะมัด”
“อืมเห็นด้วย อร่อยดีนะพลู มันน้ำอะไรหรือยะ” ชานนท์ถามพลางดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่
“มะปี๊ด” หิรัญญิการ์ตอบเพื่อนและอธิบายให้ฟังต่อ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็ต้องถูกถามอย่างแน่นอน “ลูก
คล้ายส้มแต่เล็กกว่ามาก ที่คนกรุงเทพฯเรียกว่าส้มจี๊ดยังไงล่ะ” บอกพลางยกแก้วน้ำมะปี๊ดของตัวเองขึ้นดื่ม
เช่นกัน
“อ๋อ ฉันเคยเห็นแล้ว ไม่นึกว่าจะกินอร่อยโดยเฉพาะกับโซดา” มาริสาพูดพลางยกดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว
“รู้ไหมว่าตอนนี้กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมไปเลยนะ” เจ้าของร้านสาวพูดยิ้มๆ
“อย่าบอกนะว่าที่แก้วที่แกดื่มนั่นก็คือน้ำมะปี๊ด”
“ใช่แล้ว น้ำมะปี๊ด อีกหนึ่งเมนูใหม่ของที่ร้าน แกลองชิมสิสา อร่อยนะ”
หิรัญญิการ์บอกแล้วส่งแก้วให้มาริสาลองชิม
“อืม...อร่อยอย่างที่แกบอก เปรี้ยวๆ หวานๆ ติดเค็มนิดๆ”
“ฉันเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะอร่อย ไม่ลองก็ไม่รู้ แล้วที่มานี่มีธุระอะไรหรือเปล่า คงไม่ใช่แค่มาป่วนเด็กอย่างเดียวหรอกใช่ไหม”
“อืม” ปิยะชาติพยักหน้า “พี่กับไอ้พวกนี้ปรึกษากันว่าจะเปิดบริษัทรับตกแต่งภายในน่ะ ที่ออกจากไอดีโอ้ก็เพราะอยากโต ไม่อยากเป็นลูกน้องใครตลอดชีวิต”
ชานนท์พูดเสริมขึ้นมาว่า “และจะมาชวนแกเข้าหุ้นด้วยเพราะฉันไม่อยากได้คนอื่น ทั้งที่มีคนอยากจะมาเข้าหุ้นด้วยหลายคนนะโว้ย”
หิรัญญิการ์ ชานนท์ และปิยะชาติ นั้นร่วมงานกันมาตั้งแต่ไอดีโอ้ดีไซน์ยังเป็นเพียงบริษัทรับตกแต่ง
ภายในเล็กๆ จนกระทั่งโด่งดังมีชื่อเสียงอย่างในปัจจุบันจึงรักใคร่สนิทสนมกันมาก ส่วนมาริสาเป็นเพื่อนเก่า
สมัยเรียนมัธยมของหิรัญญิการ์จึงพลอยสนิทสนมกับทั้งคู่ไปด้วย
“ฉันอุตส่าห์ลาออกจากบริษัทเพื่อมาร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วยเลยนะพลู” มาริสาพูดขึ้นยิ้มๆ ทำเอา
หิรัญญิการ์มองหน้าผู้เป็นเพื่อนแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“แกไม่เสียดายงานดีๆ เงินงามๆ ที่บริษัทเก่าหรือสา เห็นแกชอบพูดละเมอเพ้อพกถึงเจ้านายให้ฟังจนฉันคร้านจะฟัง” คนถามหลีกเลี่ยงใช้คำว่าบริษัทของทักษกร โดยใช้คำว่าบริษัทเก่าแทนด้วยไม่อยากเอ่ยถึงชื่อ
“เสียดายสิ แม้จะงานหนักแต่ก็เงินเดือนงาม และที่แกว่าฉันละเมอเพ้อพกถึงเจ้านายนั่นก็ทำไปอย่างนั้นเอง จะว่าไปแล้วคุณทักษกรเขาก็ไม่ใช่เจ้านายฉันโดยตรง คุณกฤตนัยพี่ชายเขาต่างหากที่เป็นเจ้านายของฉัน”
“นี่ขนาดไม่ใช่เจ้านายโดยตรงแกยังชื่นชมเขาขนาดนี้”
แม้หิรัญญิการ์จะพยายามบอกตัวเองว่าให้เลิกพูดถึงทักษกร แต่ก็ห้ามความคิดตัวเองไม่ได้เสียอย่างนั้น
“ฉันก็ได้แต่ชื่นชมเฝ้ามองเขาอย่างห่างๆ เท่านั้นแหละพลู คงไม่แตกต่างจากแฟนคลับดาราที่ได้แค่มองแต่จับต้องไม่ได้” มาริสาพูดด้วยน้ำเสียงเจือแววเศร้านิดๆ จนชานนท์ที่ฟังอยู่ต้องพูดโพล่งขัดจังหวะขึ้นมา
“เฮ้ย! นอกเรื่องกันไปใหญ่แล้ว ตกลงว่าแกจะว่าไงเรื่องเข้าหุ้นทำบริษัท”
คนถูกชวนเข้าหุ้นนิ่งไปชั่วครู่อย่างใช้ความคิด ก็ดีเหมือนกันเพราะเธอเองก็กะจะใช้ตึกแถวที่ว่างอีก
สองห้องเพื่อเปิดบริษัทอยู่แล้ว มีคนช่วยหารค่าใช้จ่ายอีกสามคนก็ไม่เลวนัก แถมยังเป็นเพื่อนสนิทกันอีก
ต่างหากสำนักงานอยู่ใกล้กับร้านกาแฟ เวลานัดลูกค้าก็จะได้นัดที่ร้านของเธอเสียเลย เงินทองไม่รั่วไหล หญิงสาวคิดการณ์ไกลและตัดสินใจตอบตกลงออกไปทันที
“โอเค เพราฉันคิดไว้เหมือนกันว่าจะเปิดบริษัทรับงานเป็นจ๊อบๆ”
“แสดงว่าแกมีสถานที่ในใจแล้วสินังพลู” ชานนท์เอ่ยถามน้ำเสียงตื่นเต้น
“ก็ตึกแถวสองห้องที่ถัดจากร้านกาแฟนั่นไงล่ะเป็นของคุณยายฉันเคยมีคนมาเช่าเปิดสำนักงานอยู่ แต่พอหมดสัญญาคุณยายไม่ให้ต่อ ฉันเลยขอเอาไว้” หิรัญญิการ์บอกพลางชี้ไปยังตึกแถวที่ว่าให้ผองเพื่อนดู
“อืม ตรงนี้ทำเลดีจริงๆ” ปิยะชาติพยักหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ฉันก็เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลง บอกคุณยายแกด้วยว่าอย่าคิดค่าเช่าแพงนักแล้วกัน”