เมื่อรถแล่นเข้ามาจอดที่บ้านหลังใหญ่ บ้านที่ฉันอยู่อาศัยตั้งแต่อายุ 8 ขวบ บ้านหลังนี้แม้ไม่ได้ให้ความอบอุ่นเท่ากับบ้านหลังเก่าในวัยเด็ก แต่ก็มีเรื่องดี ๆ อยู่ที่นี่ให้ฉันได้หวนคิดถึง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะคุณพริ้ง” แม่บ้านเป็นคนเอ่ย ป้าแม่บ้านคนนี้เป็นคนที่คอยดูแลฉันตั้งแต่ฉันอายุ 8 ขวบจนถึงอายุ 12 ปี
“สวัสดีค่ะป้าปลี” ฉันยกมือไหว้ด้วยความเคารพ ป้าปลีน่ะดีกับฉันมาก ๆ ป้าเป็นผู้ใหญ่ที่ฉันให้ความเคารพ
“หิวหรือยังคะ ป้าทำอาหารไว้รอคุณพริ้งมากมายเลย”
“พริ้งทานก่อนออกมาแล้วค่ะ”
“คุณเตอยู่ห้องทำงาน คุณพริ้งไปทักทายคุณเตก่อนนะคะ ส่วนของคุณพริ้งป้าจะให้คนยกไปเก็บที่ห้องคุณพริ้งนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะป้า” ฉันยิ้มพลางเดินเข้าบ้าน เดินขึ้นชั้นสองมาที่ห้องทำงานของคุณเต คุณเตที่พูดถึงเขาคือผู้มีพระคุณของฉัน
‘ไม่ร้องเศร้าไปนะหนูพริ้ง ต่อไปนี้อาจะเป็นบ้านให้หนู จะให้ทุกอย่างที่หนูควรได้ อาจะปกป้องหนูเอง’
คำที่คุณเตเคยบอกฉันเมื่อตอน 8 ขวบฉันยังจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ จากความชื่นชมความรู้สึกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
ต้องเริ่มตั้งแต่แนะนำตัวสินะ ฉันชื่อพริ้งเพรา ชื่อเล่นว่าพริ้งเพรา หรือจะเรียกพริ้งเฉย ๆ ก็ได้ ตอนนี้ฉันอายุ 18 ใกล้จะ 19 ปี ฉันเพิ่งกลับจากโรงเรียนประจำ ฉันน่ะไปอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่จบประถมศึกษาปีที่ 6 อยู่โรงเรียนประจำ 6 ปี ช่วงเวลาหกปีที่ผ่านมาฉันกลับมาที่นี่น้อยมากเนื่องจากไม่อยากรบกวนคุณเต หรือถ้าพูดความจริงก็คือคุณเตไม่อนุญาตให้ฉันกลับฉันก็ไม่ได้กลับ
คุณเตเขาเป็นใครน่ะเหรอ เขาเป็นผู้ปกครองของฉันเอง เท่าที่ฉันรู้เขาเป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ฉัน ตอนที่ฉันอายุ 8 ขวบฉันสูญเสียพ่อแม่เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณเตรับฉันมาเลี้ยงดูเนื่องจากแม่ฉันขอร้องคุณเตก่อนตาย พูดง่าย ๆ แม่ฝากฉันไว้กับคุณเต ทำให้คุณเตต้องรับผิดชอบชีวิตฉัน นี่ก็เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้วที่ฉันเป็นเด็กในปกครองของคุณเต เป็นช่วงเวลาที่ฉันเจอคุณเตน้อยมาก
เดินมาถึงห้องทำงานของคุณเตฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกความกล้าจากนั้นจึงเคาะที่ประตูห้องทำงาน
เสียงดังก๊อก ก๊อก สองครั้งเสียงจากประตูก็ปลดล็อค เป็นการอนุญาตให้เข้าไปด้านใน ฉันจึงจับลูกบิดเปิดประตูเข้ามาและปิดประตูไว้เหมือนเดิม
ฉันมองไปที่โต๊ะทำงาน ตรงนั้นเป็นตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ประจำเวลาที่เรียกฉันเข้ามาคุยหรือเวลาที่ฉันมาทักทาย คุณเตวันนี้สวมใส่ชุดลำลองสีดำนั่งอยู่ที่เก้าอี้ คุณเตไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยซ้ำ คุณเตมักเป็นแบบนี้เสมอ เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาไม่สนใจฉัน
เป็นฉันที่คอยสนใจเขาตลอด แม้ไม่ได้ออกมาจากโรงเรียนประจำ ทว่าฉันตามข่าวเขาจากข่าวสังคมไฮโซเสมอ เขาน่ะมีข่าวได้ไม่เว้นวัน แม้ว่าจะเป็นข่าวที่ไม่อยากอ่าน แต่ได้รู้ว่าเขาสบายดีฉันก็สบายใจ
“สวัสดีค่ะคุณเต พริ้งกลับมาแล้วค่ะ” เพราะเป็นเด็กฉันจึงเอ่ยทักคุณเตก่อน
คุณเตเงยหน้าจากแฟ้มเอกสาร ดวงตาคมเข้มมองมาที่ฉัน เสียงทุ้มเอ่ย “โตขึ้นเยอะเลย”
“...” ไม่ใช่คำถามฉันจึงเงียบ
“กินข้าวมาหรือยัง”
“ยังค่ะ” ฉันโกหก ก่อนหน้านี้บอกแม่บ้านว่ากินมาแล้วและก็ใช่ฉันกินข้าวมาแล้ว ฉันยังอิ่มอยู่เลย แต่ที่ตอบไปแบบนี้ก็เพราะคิดเอาเองว่าคุณเตจะชวนกินข้าว ฉันอยากนั่งกินข้าวกับคุณเต อยากมีคนสำคัญที่คิดว่าเป็นครอบครัวนั่งกินข้าวด้วยกันบ้าง
“ไปกินข้าวกันไหม”
“ค่ะ” นั่นไง ฉันคิดถูกที่ตอบแบบนี้ ฉันกำลังจะได้กินข้าวกับคุณเตในรอบหลายปี