สิบห้าปี...

907 คำ
15 ปีต่อมา… @ ศาลเจ้าที่เหมันต์ ฟิ้วว~ สายลมยามดึกพัดผ่านไปมาพลอยให้ยอดไม้ไหวเอนไปตามแรงลม เบื้องหน้าของศาลเจ้าที่หลังน้อยคือลานจอดรถประจำผับหรูแห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้มีผู้คนมากมายแวะเวียนมาใช้บริการไม่ขาดสาย มีเพียงเวลากลางวันเท่านั้นที่ผับแห่งนี้จะเงียบสงบไร้ผู้คน “ท่านเหมันต์ยังไม่ออกจากสมาธิอีกเหรอไพลิน” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกของดวงวิญญาณหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยถามเพื่อนสาวที่นั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า “แกยังไม่ชินอีกเหรอนาวา” ดวงวิญญาณสาวเอ่ยกับเพื่อนบริวารด้วยกัน “ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญท่านเหมันต์คงไม่ออกจากสมาธิหรอก สงสัยแข่งกันทำสมาธิกับท่านวายุล่ะมั้ง ไม่ก็รอท่านวายุมาหาโน่นแน่ะถึงจะออกมา” ดวงวิญญาณสาวเอ่ยต่อเมื่อนึกถึงเจ้าที่อาวุโสอีกท่านที่เป็นเพื่อนรักของนายตน “สิบกว่าปีแล้วนะที่ท่านเหมันต์จะออกมาช่วงหน้าหนาวไม่ก็ตอนท่านวายุมาหาน่ะ” นาวาหันไปคุยกับเพื่อนสาว “ พวกเจ้าที่นี่เขาไม่เมื่อยกันบ้างหรือไงวะ กูนั่งแค่ไม่กี่ชั่วโมงยังเมื่อยเลย” เสียงทุ้มบ่นอุบก่อนจะเอนหลังพิงเสาศาลเจ้าที่มองดูเพื่อนสาวที่นั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ใหญ่ เป็นเวลาสิบห้าปีมาแล้วที่เหมันต์ทำสมาธิโดยจะออกมาแค่ช่วงฤดูหนาวทั้งที่ปกติเขาจะออกจากสมาธิในช่วงเย็นของทุกวันเพื่อมาดูแลพื้นที่ในและนอกผับ เพราะเขตปกครองของเขามีผู้คนพลุกพล่านต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แต่หลังจากวันที่เขาได้พูดคุยกับเด็กสาวตัวน้อยวัยห้าขวบคนหนึ่ง เขาก็ไม่ออกจากสมาธิอีกเลยนอกเสียจากว่าเพื่อนรักที่นาน ๆ ครั้งจะมาหาเขาถึงจะออกมาพบเจอแล้วก็รีบกลับไปทำสมาธิต่อ - เรื่องกวนใจ... - “วันนี้แม่มันพามาอีกหรือเปล่า” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกของดวงวิญญาณแกร่งเอ่ยถามบริวารสาวขณะปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าศาลเจ้าที่ “ไม่ค่ะ ว่าแต่ถามแบบนี้ท่านเหมันต์จะเอาขนมไปให้เด็กคนนั้นเหรอคะ” บริวารสาวถามผู้เป็นนายเมื่อเห็นถุงขนมในมือใหญ่ที่เหมันต์ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน “อือ มันรกศาล กูไม่อยากเก็บไว้” “งั้นให้ลินกินแทน…” บริวารสาวรีบหุบปากแทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตาดุ ๆ ของเจ้าที่แกร่งตวัดมองอย่างไม่ชอบใจ “ถ้าแม่มันพามาแล้วก็ไปเรียกกู กูจะไปทำสมาธิ” “ค่ะ” วูบ~ ว่าจบเรือนร่างกำยำของเจ้าที่แกร่งก็หายวับกลับเข้าศาลไป กระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงดึกดื่น บริวารสาวที่ทำหน้าที่ดูแลบริเวณด้านนอกของผับก็ได้ข่าวคราวของเด็กน้อยจากปากของเพื่อนชายที่ดูแลพื้นที่ด้านในของผับ “ท่านเหมันต์คะ” เสียงหวานเย็นยะเยือกของบริวารสาวเรียกผู้เป็นนายที่เข้ามาทำสมาธิในศาลตั้งแต่เช้าแล้ว “แม่มันพามาแล้วเหรอ ดึกดื่นป่านนี้ทำไมถึงพาลูกมาที่แบบนี้อีก” เจ้าที่แกร่งลืมตาขึ้นพร้อมบ่นถึงเจ้าของผับไปด้วย “เปล่าค่ะ แต่ลินจะมาบอกท่านเหมันต์ว่าไม่ต้องรอเด็กคนนั้นแล้ว” “...” ร่างใหญ่ที่กำลังก้าวขาลงจากแท่นบำเพ็ญเพียรชะงักกึกเมื่อได้ยินแบบนั้น “นาวามันได้ยินพนักงานในผับคุยกันว่าครอบครัวของเด็กคนนั้นย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้วค่ะ เมื่อวานแค่แวะมาคุยเรื่องค่าใช้จ่ายกับคนจัดสวนแล้วก็มอบหมายงานด้านนอกให้ลูกน้องก่อนจะไป” “...” “แต่เห็นว่าจะกลับมาปีละครั้งนะคะ น่าจะกลับมาดูผับแล้วก็บ้านที่ซื้อทิ้งไว้” “มึงออกไปได้แล้วกูจะทำสมาธิต่อ” “เขาจะกลับมาช่วงหน้าหนาว… / เมื่อกี้กูบอกมึงว่ายังไง” เสียงหวานของบริวารสาวเงียบลงทันทีที่น้ำเสียงดุดันเอ่ยแทรก ไพลินหายออกไปจากศาลอย่างเงียบ ๆ ตามคำสั่งของวิญญาณอาวุโสก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของดวงวิญญาณแกร่ง นับตั้งแต่นั้นมา เหมันต์จะออกจากสมาธิในวันแรกของฤดูหนาวและกลับไปทำสมาธิต่อในคืนวันสุดท้ายของฤดูหนาว เป็นแบบนี้มาตลอดเวลาสิบห้าปี… พรึ่บ! “ใกล้ถึงหน้าหนาวทีไรทำสมาธิไม่ได้ทุกที” เสียงทุ้มปนหงุดหงิดของเจ้าที่แกร่งบ่นอุบเมื่อลืมตาขึ้นมา ภาพความทรงจำบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวทำให้เขาไม่สามารถทำสมาธิต่อได้อีก “เจอตัวอีกเมื่อไหร่จะตีให้ตูดลายเลย กวนใจมาสิบกว่าปีแล้วไม่หายสักที” เสียงทุ้มบ่นต่อเมื่อนึกถึงใครบางคนก่อนจะพยายามหลับตาลง แต่ก็มีอันต้องหลุดออกจากสมาธิอีกครั้ง และจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อฤดูหนาวใกล้เวียนมาถึง สติของเจ้าที่แกร่งอายุนับพันปีไม่เคยอยู่กับเนื้อกับตัวเลยสักครั้งราวกับว่าเขารอคอยอะไรสักอย่าง “ไม่ได้รอโว้ย แต่มันหงุดหงิด!” **********
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม