หนึ่งเดือนต่อมา
“คราย” เด็กน้อยที่กำลังเล่นซนด้วยการรื้อค้นตู้เอกสารของผู้เป็นพ่อจนไปเจอรูปถ่ายของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มเด็กทารกอยู่
ด้วยความสงสัยว่าบุคคลในภาพเป็นใคร เด็กน้อยจึงรีบเดินเข้าไปถามผู้เป็นพ่อที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ในครัวพร้อมกับชูรูปถ่ายนั้นไปด้วยขณะที่เดินไป
“ปะป๊า...คราย” เด็กน้อยชูภาพในมือพร้อมกับเอ่ยถามในขณะที่ผู้เป็นพ่อกำลังตักข้าวใส่จานเพื่อไปวางบนโต๊ะอาหาร
“มีอะไรคะน้องเฟน” พันเอกเขมนันท์เดินเข้ามาหาลูกสาวแล้วหยิบรูปถ่ายจากมือของลูกสาวพร้อมกับอุ้มเด็กน้อยเข้ามานั่งบนตัก
“เด็กน้อยคนนี้คือน้องเฟนไงลูก” พันเอกเขมนันท์ชี้ไปที่เด็กทารกพร้อมกับบอกลูกสาว
“ส่วนคนนี้คือแม่ของน้องเฟน” พันเอกเขมนันท์เลื่อนนิ้วชี้ไปยังผู้หญิงที่อุ้มเด็กทารกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“แม่??” เด็กน้อยมองภาพตรงหน้าพร้อมกับพูดออกมาอย่างไม่เข้าใจเพราะเธอไม่เคยเห็นผู้หญิงในรูปถ่ายมาก่อน พร้อมกับคำถามต่อมาว่าแล้วแม่เธออยู่ที่ไหนในตอนนี้
“ใช่ค่ะ นี่คือแม่น้องเฟน แม่ที่น้องเฟนออกมาจากท้อง แม่ที่ให้ชีวิตของน้องเฟน” พันเอกเขมนันท์พยายามอธิบายคำง่ายๆ ให้ลูกสาวเข้าใจ
“น้องเฟนรู้มั้ยลูก ชื่อของหนู แม่เค้าก็เป็นคนตั้งให้ด้วยนะ เขมจิรา แปลว่าผู้มีความสบายใจตลอดกาล แล้วชื่อ เฟน ก็แปลว่าความสุข” พันเอกเขมนันท์พูดถึงช่วงนี้ก็น้ำตาร่วงลงมาทันที เพราะที่ผ่านมาความสุขของลูกโดนเขาทำลายเสียย่อยยับ
“เฟน...คือ...ความสุข” เด็กน้อยพูดตามคำพูดของผู้เป็นพ่อพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับพ่อพร้อมกับยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาอย่างอ่อนโยน จนผู้เป็นพ่อถึงกับปล่อยโฮออกมา
“พ่อขอโทษ ถ้าพ่อเข้มแข็งกว่านี้ ไม่หลงไปสิ่งชั่วร้ายนั่น หนูคงมีความสุขมากกว่านี้แล้ว พ่อขอโทษนะลูก พ่อขอโทษจริงๆ” พันเอกเขมนันท์กอดลูกทั้งน้ำตา โดยที่เด็กน้อยถือรูปถ่ายในมือแล้วมองดูผู้หญิงในภาพเพื่อจดจำใบหน้านี้ไว้ก่อนนะเอ่ยออกมา
“แม่...ของ...เฟน” รอยยิ้มเกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีแม่ที่สวยและใจดี ไม่ใช่แม่คนที่แล้วที่ทำร้ายเธอมาตลอด
สองปีต่อมา
“ขออนุญาตขอเข้าพบผู้พันเขมนันท์ครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นตรงหน้าประตูทำให้สองพ่อลูกที่กำลังง่วนกับสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ต้องเงยหน้าหันไปมองตามเสียง
“พี่พัฒน์!!” พันเอกเขมนันท์เรียกคนตรงหน้าอย่างดีใจก่อนจะโผเข้ากอดอย่างคิดถึง
“มากันได้ยังไงครับพี่” พันเอกเขมนันท์เอ่ยถามผู้มาใหม่อย่างตื่นเต้นดีใจที่ไม่คาดคิดว่าคนทั้งสองที่ตนเองสนิทมากที่สุดจะปรากฏกายอยู่ตรงหน้าตอนนี
“พอจบภารกิจนักการทูตที่เยอรมันแล้วเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย ก็เลยได้มาหานี่แหละ ยังกลัวอยู่เลยว่าจะมาแล้วไม่เจอซะอีก” ชญาพัฒน์บอกกับน้องชายคนสนิทหลังจากกอดทักทายกันเสร็จ โดยมีภรรยาสาวยิ้มอย่างดีใจที่ได้เจอผู้มีพระคุณของสามี
“แล้วนี่อยู่กันสองคนพ่อลูกเหรอคะ แล้วยัยพรอยู่บ้านเหรอคะหรือว่าไปทำงาน พี่เขมถึงพายายหนูมาที่ทำงานด้วย” นารีวรรณเอ่ยถามถึงเพื่อนรักในเวลาต่อมาเมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยของเพื่อนอยู่ในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ
“ช่วงนี้ยายหนูปิดเทอมครับ ผมเลยต้องพามาอยู่ที่นี่ด้วย” เขมนันท์ตอบกลับอีกฝ่ายโดยเลี่ยงการพูดถึงภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้ว
“แบบนี้นี่เอง แสดงว่ายัยพรกลับไปทำงานสินะคะ ว่าแต่ยัยพรไปทำงานอะไรเหรอคะพี่เขม” นารีวรรณยังถามต่อในขณะที่สายตามองสลับไปมาระหว่างพ่อและลูกสาวตัวน้อยที่ตอนนี้ลูกชายของเธอเดินเข้าไปหา
“แม่ของยายหนูเสียแล้วครับ” คำตอบของพันเอกเขมนันท์ทำเอาคนทั้งสองที่ได้ยินต่างพากันตกใจ โดยเฉพาะนารีวรรณที่ไม่คาดคิดว่าการมาหาเพื่อนรักครั้งนี้เธอจะพบกับข่าวเศร้า
“เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกกล่าวพี่เลย” ชญาพัฒน์เอ่ยถามอย่างตกใจและสงสารคนตรงหน้าทันที
“ตั้งแต่ที่ยายหนูอายุได้หนึ่งขวบครับ” เขมนันท์บอกออกไปด้วยน้ำเสียงเศร้าก่อนจะมองไปยังลูกสาวที่ตอนนี้มีเด็กชายวัยสิบขวบยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก
“เสียใจด้วยนะคะพี่เขม วรรณไม่คิดว่าวันที่พวกพี่ไปส่งเราที่สนามบิน จะเป็นครั้งสุดท้ายที่วรรณได้คุยกับยัยพร” นารีวรรณเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า
“เออ ยังไม่ได้แนะนำกันเลยครับ” เขมนันท์เปลี่ยนบทสนทนาทันทีเมื่อเห็นสีหน้าและน้ำเสียงของภรรยาของพี่ชายคนสนิท
“น้องเฟนครับ”
“ขา...ปะป๊า” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมาจากรูปวาดที่ตัวเองกำลังบรรจงทำอยู่แล้วก็พบกกับเด็กชายที่ยิ้มให้ตรงหน้า
“สวัสดีคุณลุงกับคุณป้าแล้วก็พี่กานต์ก่อนค่ะ” เขมนันท์บอกกับลูกสาว เมื่อเด็กหญิงได้ยินดังนี้จึงพนมมือยกขึ้นไหว้บุคคลดังกล่าว
“ตากานต์จำอาเขมได้มั้ยลูก” ชญาพัฒน์บอกกับลูกชายก่อนจะยิ้มไปทางเด็กหญิงที่อยู่ข้างๆ ลูกชาย
“สวัสดีครับอาเขม” เด็กชายพนมมือยกขึ้นไหว้พันเอกเขมนันท์ทันทีอย่างนอบน้อม
“ถ้าเจอกันข้างนอกอาจำไม่ได้เลยนะ ตอนนั้นตากานต์เพิ่งจะห้าขวบเอง คงจำอาไม่ได้หรอกมั้ง” พันเอกเขมนันท์ยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กชายอย่างเอ็นดู ส่วนเด็กหญิงก็มองอย่างไม่พูดอะไรเพราะกำลังงงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่
“นี่คือลุงพัฒน์พี่ชายที่พ่อรักมากที่สุด ส่วนนี่ป้าวรรณเป็นเพื่อนรักของแม่ แล้วนี่ก็พี่กานต์ลูกของลุงพัฒน์ค่ะ” เด็กหญิงมองบุคคลตามที่ผู้เป็นพ่อแนะนำพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“แล้วนี่พี่พัฒน์กับคุณวรรณพักกันที่ไหนครับ”
“พักรีสอร์ตในตัวเมือง แล้วก็อยากชวนแกกับยายหนูไปพักด้วยกัน”
“ไปนะคะพี่เขม รีสอร์ตเปิดใหม่ของวรรณเองค่ะ พี่เขมพายายหนูไปพักด้วยกันนะคะ”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ เด็กๆจะได้รู้จักกันไงคะพี่เขม พี่น้องมีโอกาสได้เจอกันแบบนี้ เราจะให้พวกเขาเห็นหน้ากันไม่กี่ชั่วโมง สงสารเด็กๆนะคะ”
“ก็ได้ครับ น้องเฟนพาพี่กานต์ออกไปเล่นสนามเด็กเล่นข้างนอกมั้ยคะ” พันเอกเขมนันท์หันไปบอกลูกสาวตัวน้อยก่อนจะหันไปมองเด็กชายที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“ดีค่ะ ไปมั้ยคะพี่ชาย”
“ผมไปกับน้องได้มั้ยครับคุณแม่”
“ไปกับน้องสิจ๊ะลูก”
เวลาต่อมา
“พี่ชายรู้จักแม่หนูมั้ย” เด็กหญิงเอ่ยถามเด็กชายที่ยืนไกวชิงช้าให้อยู่ข้างๆ อย่างอยากรู้เรื่องราวของผู้เป็นแม่จากปากคนอื่นบ้าง
“...” เด็กชายพยายามนึกก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ
“เหรอคะ” เด็กหญิงก้มหน้าเศร้าทันทีหลังจากที่ได้ยินคำตอบ
“ทำไมถึงชื่อเฟน” เด็กชายเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าของเด็กหญิงจึงหาเรื่องชวนคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้เศร้าไปมากกว่านี้
“แม่ของหนูตั้งให้ค่ะ” เด็กหญิงตอบอย่างภาคภูมิใจ ทำให้เด็กชายอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นอาการยิ้มดีใจมากของเด็กหญิง
“ชื่อแปลกดีนะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน” เด็กชายพูดออกไปตามความจริงที่รู้สึกว่าชื่อนี้ดูแปลกๆแต่ฟังดูก็น่ารักดี
“เพราะมั้ยคะ” เด็กหญิงหันมาถามด้วยรอยยิ้มในขณะที่นั่งอยู่บนชิงช้าโดยมีพี่ชายตัวโตไกวชิงช้าให้อย่างช้าๆ
“เพราะดีครับ” เด็กชายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อยืนยันให้เด็กหญิงภาคภูมิใจกับชื่อนี้
“ปะป๊าบอกว่า เฟน แปลว่าความสุขค่ะ”
กลับมาที่ปัจจุบัน @ห้องพักเขมจิรา คอนโดหรู
“เฟนจะมีความสุขให้มากที่สุด เหมือนชื่อที่แม่ตั้งให้นะคะ เฟนสัญญาค่ะ” เขมจิราพูดออกมากับตัวเอง ในขณะที่มือถือเชือกถักข้อมือที่เด็กชายรุ่นพี่เคยให้ไว้เป็นสิ่งแทนใจในวัยเด็ก