เช้าวันต่อมา @ห้องพักในโรงแรม
เขมจิราตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดเมื่อยที่เกิดจากการร่วมรักอย่างหนักหน่วงกับคนที่นอนอยู่ข้างกายที่ตอนนี้ยังคงหลับใหลไม่รู้สึกตัว หญิงสาวที่เห็นอย่างนั้นจึงพยายามพยุงร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนเองเข้าไปยังห้องน้ำเพื่อทำการชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบไคลเหงื่อและคราบน้ำรักที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ในร่างกายของเธอเป็นจำนวนมาก
เมื่อทำธุระในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็เดินออกมาด้วยสภาพที่พร้อมเดินออกไปจากห้องอย่างไม่มีใครสงสัย ซึ่งก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากห้องพักที่มีคู่นอนคืนเดียวยังนอนหลับอยู่นั้น เขมจิรามองภาพตรงหน้าอยู่นานเหมือนกำลังทำการจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทั้งหมดไว้ ก่อนจะพูดออกไปกับตัวเองเบาๆ
“แล้วเจอกันอีกครั้งนะคะ...คุณสามี” เขมจิราพูดจบก็ยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะเดินออกไปจากห้องพัก
เธอไม่ได้ทิ้งหลักฐานอย่างอื่นไว้เลย นอกจาก รอยคราบเลือดที่ติดบนที่นอน ซึ่งมันเกิดจากการร่วมรักกันอย่างหนักหน่วงระหว่างเธอและเขา
ย้อนกลับไปเมื่อตอนวัยเด็ก
“ผกาอย่าทำแบบนี้กับพี่และลูกเลยนะ” พันเอกเขมนันท์เอ่ยอ้อนวอนหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่เพื่อเดินตรงออกจากไปยังประตูบ้านที่มีรถแท็กซี่ที่ติดเครื่องยนต์จอดอยู่หน้าบ้าน
“ลูกเหรอ มันเป็นลูกฉันที่ไหน พี่ก็อยู่กับลูกของพี่ไปสิ ส่วนฉันก็จะไปตามทางของตัวเอง” ผกาสินีบอกออกไปอย่างเสียงแข็งก่อนจะชำเลืองมองเด็กน้อยวัยสองขวบที่กำลังเดินเตาะแตะเข้ามาหาคนเป็นพ่อ
“แล้วพี่กับลูกจะอยู่ยังไง” พันเอกเขมนันท์พูดออกมาอย่างเว้าวอนขอร้องให้อีกฝ่ายเห็นใจแล้วเปลี่ยนความคิดที่กำลังจะทำ
“อยู่ยังไงน่ะเหรอ เหอะ ก็อยากจะเลี้ยงมันมากนัก ก็อยู่กันไปสองคนพ่อลูกนั่นแหละ หรือไม่พี่ก็หาเมียใหม่มาเลี้ยงลูกให้พี่สิ ส่วนฉัน...ฉันไม่มีทางอยู่ร่วมกับอีเด็กคนนี้เป็นอันขาด”
“ปะ...ป๊า” เสียงเรียกของเด็กน้อยทำให้พันเอกเขมนันท์ต้องหันไปมองพร้อมกับค่อยๆ ปล่อยมือจากกระเป๋าใบใหญ่ที่ผกาสินีถือไว้อยู่
“อยู่กันไปเถอะ...เหอะ” ผกาสินีรีบเดินไปขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่หน้าบ้านอย่างทันที โดยไม่เหลียวหลังไปมองสองพ่อลูกที่กอดคอกันอยู่ภายในบ้านแม้แต่หางตาก็ไม่เหลียวมองเลยสักนิด
“พ่อขอโทษนะลูก” พันเอกเขมนันท์บอกกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อยก่อนจะกระชับกอดร่างน้อยอย่างหวงแหน
“เฟน...อยู่...ปะ...ป๊า” เด็กน้อยพยายามพูดปลอบผู้เป็นพ่อพร้อมกับกอดตอบ
หลังจากที่ผู้เป็นภรรยาได้จากไปอย่างไม่เหลียวแล พันเอกเขมนันท์จึงต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังและนำลูกสาววัยสองขวบไปยังที่ทำงานด้วยในทุกวันและแทบทุกสถานที่ที่สามารถพาไปได้ เพราะเขาไม่ไว้วางใจจะจ้างคนมาดูแลลูกสาว ส่วนจะหาภรรยาใหม่มาช่วยเลี้ยงดูลูกสาวนั้น มันไม่อยู่ในความคิดของเขาอีกต่อไปแล้ว
หนึ่งปีต่อมา
“เดือนหน้าลูกสาวคนสวยของพ่อก็จะไปโรงเรียนแล้วนะคะ” พันเอกเขมนันท์กำลังตื่นเต้นในขณะที่ลองชุดนักเรียนอนุบาลให้กับลูกสาวตัวน้อยที่ยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาให้คุณพ่อแต่งตัวให้
“น้องเฟนอยากไปโรงเรียน” เด็กหญิงวัยสามขวบพูดออกมาอย่างชัดเจน
เด็กหญิงเขมจิราเป็นเด็กที่พัฒนาการดีเกินเด็กในวัยเดียวกัน จนผู้เป็นพ่อแอบหวั่นกลัวว่าเด็กน้อยจะเข้ากับเด็กในวัยเดียวกันไม่ได้ รอยยิ้มของเด็กน้อยที่ให้กับผู้เป็นพ่ออย่างดีใจกับการจะได้พบเจอโลกใบอีกใบที่เรียกว่า โรงเรียน ทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกผิดทุกครั้งที่ทำให้หนูน้อยต้องมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่น
“รู้มั้ยคะ ไปโรงเรียนน้องเฟนก็จะมีเพื่อนเยอะเลยนะ แล้วมีคุณครูใจดีดูแลหนูด้วย”
“ที่โรงเรียนมีแม่มั้ยคะ”
“ที่โรงเรียนไม่มีแม่ค่ะ แต่น้องเฟนก็มีพ่ออยู่นี่ไง พ่อจะอยู่กับน้องเฟนในทุกช่วงเวลาของหนู ไม่ว่าหนูจะดีใจ เสียใจ ร้องไห้ พ่อคนนี้จะอยู่ข้างๆ หนูเสมอ จะไม่มีวันไปไหน”
“สัญญานะคะ” เด็กหญิงตัวน้อยยกมือขึ้นชูนิ้วก้อยตรงหน้าผู้เป็นพ่อเพื่อแสดงสัญลักษณ์ของคำมั่นสัญญาระหว่างกัน
“จ๊ะ พ่อสัญญา” พันเอกเขมนันท์ชูนิ้วก้อยเกี่ยวก้อยกับลูกสาวก่อนจะสวมรองเท้านักเรียนให้ลูกสาวแล้วทำการหมุนตัวหนูน้อยเพื่อเช็กความเรียบร้อยอีกครั้ง
ตั้งแต่วันที่ผกาสินีออกไปจากชีวิต พันเอกเขมนันท์ก็ใช้ชีวิตคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวเลี้ยงลูกสาวตัวน้อยเพียงลำพัง เขาตั้งมั่นอย่างแน่วแน่ว่าชีวิตต่อไปข้างหน้าของเขาจะมีเพียงลูกสาวตัวน้อยเท่านั้น แม้ว่าในหนึ่งปีที่ผ่านมาจะมีผู้หญิงมากหน้าหลายตา ทั้งสาวโสดหรือแม่หม้ายเข้ามาแวะเวียนมาขายขนมจีบและทำเหมือนเอ็นดูลูกสาวของเขาก็ตาม แต่จากความผิดพลาดเมื่อครั้งนำพาผกาสินีเข้ามาชีวิต ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิตอีกเลย
“มึงไม่คิดจะหาแม่ใหม่มาช่วยเลี้ยงลูกจริงๆ เหรอว่ะ” เพื่อนทหารรุ่นเดียวกันที่แวะเวียนมาเยี่ยมในกองพันเอ่ยทักพันเอกเขมนันท์ทันทีเมื่อหันไปมองห้องทำงานของเพื่อนที่ตอนนี้ไม่ต่างจากห้องเลี้ยงเล็ก ที่ตอนนี้มีเด็กน้อยวัยสามขวบกำลังนอนกลางวันอยู่กลางห้อง
“ไม่ล่ะ ชีวิตต่อไปจากนี้กูจะมีชีวิตเพื่อลูกกูเท่านั้น กูเป็นผัวที่ชั่วกับเมียตัวเองแล้ว ขอเหลือความเป็นคน เป็นพ่อที่ดีให้ลูกต่อไป” พันเอกเขมนันท์บอกกับเพื่อนก่อนจะหันไปมองลูกน้อยที่นอนหลับอย่างน่ารักแล้วอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“เออ กูมีข่าวนังแพศยาคนนั้นมาบอกมึงด้วย”
“กูไม่อยากรู้เรื่องผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว”
“กูว่ามึงรู้หน่อยก็ดี เพราะว่าเธออยู่ใกล้พวกเราแล้ว”
“ยังไงวะ”
“มึงจำรุ่นพี่ปกรณ์ได้มั้ย”
“พี่ปกรณ์??”
“อดีตหัวหน้ามึงและเป็นรุ่นพี่ที่กูสนิทไง”
“อ๋อ นึกออกแล้ว ทำไมวะ”
“ตอนนี้พี่แกสอบติดได้เป็นผู้ช่วยทูตทหารที่เยอรมัน”
“เออ แกเก่งนี่หว่า เอ๊ะ ผู้ช่วยทูตทหารต้องแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าตอนนี้เปลี่ยนระเบียบใหม่”
“นี่แหละประเด็นที่กูจะบอกมึง เมียของพี่ปกรณ์ก็คืออดีตชู้รักมึงที่ทำให้แม่ยัยหนูเฟนต้องตรอมใจตายนี่ไง”
“อืมม”
“กูเคยเชื่อนะโว้ยว่าคนดีต้องได้ดี แต่ตอนนี้กูเห็นแต่มีคนชั่วแล้วได้ดีทั้งนั้น”
“กูก็หวังว่าเค้าจะไม่ทำกับพี่กรณ์เหมือนที่ทำกับกู เลิกพูดเรื่องนี้เถอะวะ ว่าแต่วันนี้ที่มาหากูคงไม่ได้มาบอกกูแค่เรื่องนี้นะ”
“มาเรื่องงาน กูอยากให้มึงช่วยคือว่าตอนนี้กูได้งานลับเกี่ยวกับตรงพื้นที่ชายแดนที่มึงรับผิดชอบอยู่ เลยอยากให้มึงช่วยหาข่าวให้กูหน่อย”
“ได้ มึงต้องการข่าวยังไงบ้างว่ามาเลย” หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ปรึกษาหารือกันเรื่องงานแล้วพันเอกเขมนันท์ก็พับเรื่องหญิงแพศยาที่เคยทำร้ายตนไป ไม่คิดแค้นแล้วขออโหสิกรรมอย่าได้พบเจอกันอีกในชาตินี้