หนึ่งเดือนต่อมา @ห้องประชุมกองบิน 6
“สำหรับภารกิจสัปดาห์นี้มีทั้งหมด 3 ภารกิจด้วยกัน ภารกิจแรกคือบินลาดตระเวนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งหรือเรียกง่ายๆว่าบินตรวจป่าทั้งห้วยขาแข้งนั่นแหละ ภารกิจนี้นอกจากจะตรวจแล้วยังต้องถ่ายรูปภาพมุมสูงพร้อมระบุพิกัดที่พบสัตว์ป่าด้วย ภารกิจที่สองทำฝนหลวง ภารกิจนี้จะทำสองวันด้วยกัน บินในโซนกรุงเทพฯและปริมณฑลแล้วอาจจะเลยไปภาคกลางบางจังหวัดด้วย ส่วนภารกิจสุดท้ายลำเลียงถุงยังชีพไปมอบให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่อ่างทองซึ่งตอนนี้ที่นั่นท่วมสูงจะถึงหลังคาบ้านเรือนของประชาชนแล้ว” ผู้พันกานต์บอกถึงภารกิจการบินที่มักจะเจอทุกสัปดาห์ ซึ่งสัปดาห์นี้ภารกิจดูจะแน่นมากกว่าทุกครั้ง จนต้องเปิดประชุมเพื่อเกลี่ยงานให้เหล่านักบินในฝูงแบ่งรับงานกันไป
“ในสามภารกิจนี้ มีใครสนใจจะบินภารกิจไหนบ้าง” หลังจบคำถามของผู้พันหนุ่ม เหล่าลูกน้องนักบินทั้งห้องประชุมต่างพากันมองหน้ากันเชิงเป็นคำถามว่าจะเลือกกันอย่างไรกัน
“ตอนนี้นักบินของเราในกองบินตอนนี้มีทั้งหมด 10 นาย ไม่นับรวมนักบินหญิงชุดแรกของกองทัพอากาศ ผู้พันจะให้พวกเธอทั้งห้ามาบินร่วมกับพวกเราหรือเปล่าครับ” เรืออากาศเอกเจตนิพัทธ์ หรือผู้กองเจตเอ่ยถามผู้บังคับบัญชาอย่างขอความคิดเห็น เพราะเขาวิเคราะห์สถานการณ์จากภารกิจแล้ว จำนวนนักบินที่มีอยู่ตอนนี้ไม่น่าจะจบภารกิจภายในสัปดาห์นี้ได้
“อืมม ลืมไปเลย” ผู้พันกานต์พูดออกมาเบาๆก่อนจะมองไปยังเหล่าลูกน้องตรงหน้าที่รอฟังคำตอบจากเขา
“พวกเธอทั้งห้าเพิ่งได้รับปีกนักบินมา รอให้ภารกิจที่ได้รับมาไม่หนักขนาดนี้ค่อยมอบหมายไปให้พวกเธอแล้วกัน งานนี้ก็บินแค่นี้ไปก่อน” คำตอบจากผู้พันหนุ่มทำเอาเหล่าลูกน้องถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยใจก่อนทำภารกิจ
“สาวๆเค้าเก่งมากเลยนะครับผู้พัน ผมไปดูตอนพวกเธอสอบมา บินอย่างสวยไม่แพ้พวกเราเลย” เรืออากาศโทขัตติยะ(ขัด-ติ-ยะ) หรือหมวดยักษ์ได้ทำการยกมือออกความคิดเห็นเพื่อหวังให้ผู้บังคับบัญชาเปลี่ยนใจใหม่ เพราะเขาแอบเล็งหนึ่งในห้าสาวไว้เผื่อว่าหากมีภารกิจร่วมกันอาจจะเชื่อมความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันได้
“จริงครับผู้พัน พวกเธอบินเก่งไม่แพ้พวกเราเลยครับ” เรืออากาศโทกฤษฎิ์หิรัญ หรือผู้หมวดกฤษบอกเพิ่มมาอีกเสียงเพื่อให้เพื่อนของพี่ชายซึ่งในกองบินแห่งนี้นั่นคือผู้บังคับบัญชาของเขาได้เปลี่ยนใจขึ้นมา
“พวกนายสองคนต้องการอะไร” ผู้พันกานต์มองหน้าลูกน้องทั้งสองก่อนจะเอ่ยถามอย่างจับผิด
“นายครับ ภารกิจรอบนี้มันมาเยอะขนาดนี้ มีคนช่วยดีกว่าคนขาดนะครับ พวกผมแค่อยากให้งานเสร็จให้ทันตามกำหนดการณ์เท่านั้นเองครับ” ผู้หมวดกฤษบอกออกไปด้วยน้ำเสียงโอดครวญกึ่งหยอกล้อก่อนจะทำสีหน้าขอร้องต่อหน้าผู้พันกานต์
“ไว้รอบหน้าแล้วกัน รอบหน้าผู้กองเจตเรียกผู้หมวดทั้งห้าคนเข้าประชุมด้วยแล้วกันนะ”
“รับทราบ ครับผม”
“เอาล่ะ คราวนี้มาแบ่งหน้าที่กัน ใครจะเอาภารกิจแรกบ้าง...”
ผู้พันกานต์เริ่มแบ่งหน้าที่ในแต่ละภารกิจให้เหล่าลูกน้องนักบินแต่ละนายรับผิดชอบกันไป ซึ่งกว่าจะแจกแจงงานและบอกรายละเอียดของงานเสร็จสิ้นก็ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงเลยทีเดียว
หลังจากจบการประชุม ผู้พันหนุ่มและเหล่าลูกน้องนักบินทั้งหมดก็ต่างพากันไปเตรียมความพร้อมต่างเพื่อการออกบินทำภารกิจ ซึ่งในการเตรียมความพร้อมของผู้กองกานต์ในทุกภารกิจที่จะทำ เขาต้องได้ยินเสียงของคนคนนี้ก่อนไปทำภารกิจเสมอ
Kan’s heart Calling Kan...
(สวัสดีค่ะพี่กานต์)
“ทำอะไรอยู่ครับ”
(เพิ่งได้พักค่ะ วันนี้คนมาเยอะสักหน่อย พี่กานต์มีอะไรหรือเปล่าคะ)
“ไม่มีอะไรครับ พอดีอยากได้ยินเสียง”
(วันนี้มีบินเหรอคะ)
“ครับ”
(วันนี้บินไปไหนเหรอคะ ภารกิจเป็นความลับไหม บอกน้องดาได้หรือเปล่าคะ)
“ภารกิจช่วยประชาชนครับ วันนี้พี่ต้องบินเพื่อลำเลียงถุงยังชีพไปมอบให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่อ่างทองครับ”
(ไปกลับหรือว่าต้องค้างคะ)
“คิดว่าอาจจะต้องค้างครับ เพราะว่านอกจากจะบินไปส่งแล้ว อาจจะต้องช่วยแจกด้วย”
(งั้นก็เดินทางปลอดภัยนะคะ ขออย่าให้มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติภารกิจนะคะ)
“ครับผม พี่รักน้องดานะ”
(น้องดาก็รักพี่กานต์ค่ะ)
ผู้พันกานต์วางสายจากคู่สนทนาเสร็จก็ยิ้มออกมาคนเดียว จนทำให้ผู้หมวดกฤษที่เดินเข้ามาเพื่อตรวจเช็กสภาพเฮลิคอปเตอร์ครั้งสุดท้ายก่อนบินถึงกับแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้บังคับบัญชาก็เลยเดาออกว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของผู้บังคับบัญชาเกิดจากอะไร
“ฮั่นแน่ โทรไปขอกำลังจากคุณหมอมาเหรอครับพี่กานต์” ผู้หมวดกฤษเอ่ยแซวเพื่อนพี่ชายทันที ซึ่งการเรียกขานแบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่ออยู่กันตามลำพังหรือนอกเวลางานเท่านั้น
“ไปทำงานได้แล้ว” ผู้พันกานต์ถึงกับหุบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าล้อเลียนจากลูกน้อง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันให้อีกฝ่ายรีบไปปฏิบัติงานในหน้าที่ก่อนที่เขาจะเดินไปจัดการเอง
เวลา 10.30 น. @ห้างดังในตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา
“คำพูดประมาณนี้โอเคมั้ยคะ” เขมจิรากำลังอธิบายให้เจ้าของแบรนด์สินค้าที่ว่าจ้างเธอเชียร์สินค้าที่เป็นเครื่องดื่มน้ำวิตามินฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบการค้าที่เธอมักทำอยู่เป็นประจำ
“โอเคเลยจ้ะ พี่เอาตามนี้เลย เดี๋ยวห้างเปิดน้องก็บอกเทีมน้องเริ่มเลยนะ” เจ้าของแบรนด์สินค้าบอกออกไป
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะที่ไว้วางใจพวกเรา” เขมจิรายิ้มให้เจ้าของแบรนด์สินค้าก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลังจากสนทนากับเจ้าของแบรนด์สินค้าเรียบร้อยแล้ว เขมจิราจึงทำการแบ่งหน้าที่น้องๆในทีมทันที ซึ่งเหล่าน้องๆในทีมที่มาช่วยโปรโมตผลิตภัณฑ์ให้เธอในวันนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหล่ากลุ่มพริตตี้ที่เขมจิราเคยช่วยเหลือแบ่งงานให้ในช่วงที่พวกเธอเริ่มเข้ามารับงานเป็นพริตตี้ใหม่ๆ จนเขมจิราได้รับฉายาจากเหล่าพริตตี้รุ่นนี้ว่า เจ๊ใหญ่ เพราะด้วยอายุของเธอที่เลยวัยที่จะอยู่ในวงการนี้แต่เธอก็ยังยืนหยัดเฉิดฉายในวงการนี้อย่างภาคภูมิและเป็นเบอร์ต้นๆที่ได้งานมากที่สุดในแต่ละปีที่ผ่านมา
การโปรโมทน้ำวิตามินแบรนด์ใหม่ผ่านไปได้ด้วยดี ผู้คนที่เข้ามายังห้างดังต่างพากันให้ความสนใจเข้ามาทดลองชิมรสชาติรวมถึงซื้อกลับไปลองที่บ้านก็หลายคน
เวลา 13.00 น. @ร้านอาหารอิตาลี่ในห้างดังย่านตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา
“รอนานมั้ยแก” แพรวนภานั่งลงตรงหน้าเพื่อนรักที่กำลังดูดน้ำผลไม้อย่างสบายใจ ในขณะที่เธอมีอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อยเพราะรีบมาหาอีกฝ่ายเมื่อรับรู้ข่าว
“สั่งอะไรทานก่อนมั้ย” เขมจิราเอ่ยถามเพื่อนพร้อมกับยิ้มขำที่เห็นอาการของอีกฝ่ายที่ดูจะตื่นเต้นและรีบร้อนมาก
“ขอดื่มน้ำสักแก้วก่อนแล้วกัน ตอนนี้คิดเมนูที่อยากจะกินไม่ออก” แพรวนภายกแก้วน้ำแร่ขึ้นมาดื่มพร้อมกับมองเพื่อนตรงหน้าที่ดูใจเย็นไม่ทุกข์ร้อนอะไรซึ่งตรงข้ามกับเธอในตอนนี้
“นี่ถามจริง แกไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม” แพรวนภาเอ่ยถามเพื่อนที่ยังนั่งดูดน้ำอย่างไม่มีสีหน้าทุกข์ร้อนอย่างข้องใจ
“อืมม เรื่องจริง แกจะดูที่ตรวจมั้ย ฉันเอามาด้วยนะ” เขมจิราบอกออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับน้ำเสียงเรียบนิ่งเป็นปกติของธอเหมือนกับว่าเรื่องที่ตัวเองกำลังเผชิญไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“ยัยเฟน!!” แพรวนภาร้องออกมาอย่างตกใจปนโมโหเล็กน้อย ตอนแรกก็คิดว่าเพื่อนอำกันเล่นๆ แต่พอมาเจอหน้ากลับยิ้มไม่ออก
“คนในร้านมองกันใหญ่แล้ว” เขมจิราบอกเพื่อนรัก ทำให้แพรวนภาหันไปมองรอบๆร้านแล้วโค้งศีรษะแสดงถึงการกล่าวคำขอโทษที่ทำให้คนในร้านตื่นตกใจ
“เฟนเพื่อนรัก แกจะทำแบบนี้จริงๆเหรอ” แพรวนภานั่งลงหลังจากโค้งขอโทษทุกคนที่อยู่ภายในร้าน แล้วเอ่ยถามเพื่อนทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างห่วงใยอีกฝ่าย
“อืมม” เขมจิราพยักหน้าพร้อมกับตอบกลับคนตรงหน้าสั้นๆก่อนจะดูดน้ำผลไม้ตรงหน้าอีกครั้งแล้วหันไปมองวิวด้านนอกร้านอย่างสบายใจ
“ที่แกไม่ยอมเรียนต่อ ทำงานอย่างหนักจนมีทุกอย่างในวันนี้ เพื่อที่จะทำตามแผนบ้าๆที่แกเคยบอกฉันไว้นี่เหรอ เฟน แกเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ นี่ชีวิตคนเลยนะแก ถ้าทางนั้นเกิดไม่ยอมรับผิดชอบขึ้นมา แล้วเด็กล่ะจะยังไง” แพรวนภาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างห่วงใยเพื่อเตือนสติเพื่อน
“ฉันถึงได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้เค้าแล้วไง ถึงจะไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่คาดหวังว่าผู้ชายแบบนั้นจะยืดอกยอมรับในสิ่งผิดพลาดนี้ แต่ฉันก็จะไม่มีทางให้ผู้ชายและผู้หญิงคู่นั้นได้ลงเอยกันเป็นอันขาด ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ส่วนเด็กที่จะเกิดมานั้น ฉันจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เค้าเอง ฉันจะเลี้ยงเค้าให้เข้มแข็งและมีพร้อมทุกอย่าง อย่างที่คนเป็นแม่อย่างฉันจะทำได้” เขมจิราพูดออกมาอย่างแค้นเคืองเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆที่ผกาสินีเคยทำร้ายเธอเมื่อสมัยยังเด็ก ทั้งที่ในตอนนั้นเธอคิดมาตลอดว่าผู้หญิงใจร้ายคนนั้นคือแม่ผู้ให้ชีวิตแก่เธอ
“แล้วนี่แกจะบอกทางนั้นวันนี้เลยปะ”
“ยัง เดือนหน้าค่อยบอกพร้อมภาพอัลตร้าซาวด์”
“สุดยอดเลยเพื่อนฉัน มาทั้งภาพและเสียง”
“ถ้ามีภาพเคลื่อนไหวก็จะเอามาให้ดูด้วยนั่นล่ะ เออว่าแต่ว่า แล้วตอนนี้ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”
“ได้รับรายงานมาจากนักสืบมาว่า ทางผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้ฤกษ์หมั้นของทั้งคู่แล้วเป็นเดือนหน้าวันที่ 20 ส่วนกิจกรรมประจำวันของคนทั้งคู่ก็ยังคงเหมือนเดิม ผู้หญิงน่าจะยังไม่รู้เรื่องที่โดนแฟนนอกกาย เพราะผู้ชายมักจะไปหาในเวลาที่ว่างจากงานเหมือนที่เคยทำประจำ กินข้าวด้วยกันหลังเลิกงานของผู้หญิงแทบทุกวัน วันหยุดถ้าตรงกันก็ไปเดทตามประสาคนรักทั่วไป” แพรวนภารายงานความคืบหน้าให้เพื่อนฟังอย่างละเอียด
“เดือนหน้าเหรอ ก็ดีเลย ตอนนั้นก็คงเป็นตัวอ่อนแล้ว อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นจังว่าจะทำหน้ายังไง ถ้ารู้ว่าลูกสาวโดนแย่งคนรัก” เขมจิราเอ่ยออกมาพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งลูบหน้าท้องที่ยังแบนราบอยู่อย่างมีความหวัง
“แกอยากให้ฉันช่วยอะไรอีกนอกเหนือจากนี้ แกบอกมาได้เลยนะ” แพรวนภาบอกกับเพื่อนรักพร้อมกับเอื้อมมือมาจับมืออีกข้างของเพื่อนเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอจะไม่มีวันทิ้งเพื่อนเป็นอันขาด
“อืมม ขอบใจนะแพรว ถ้าไม่มีแก ป่านนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินมาได้ถึงขนาดนี้มั้ย ขอบใจแกจริงๆที่อยู่ข้างๆฉัน ไม่ทิ้งฉันไปไหน”
“นี่ยัยบ๊อง คนที่ควรจะพูดประโยคนี้ควรจะเป็นฉันมากกว่านะ แกอย่าลืมสิ คนที่ช่วยฉันออกมาจากขุมนรกนั่น ก็คือแกนะ ถ้าไม่มีแกในวันนั้น ตอนนี้ฉันคงโดนขายซ่องต่างประเทศแล้วมั้ง ฉะนั้น นอกจากแกคือเพื่อนคนเดียวในชีวิตฉันแล้ว แกยังคือผู้มีพระคุณของฉันด้วย” แพรวนภาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง