หลังจากทั้งสองคนขุดหน่อไม้ได้จำนวนหนึ่ง ลี่หลินจึงชวนอ้ายฉิงเดินลัดเลาะไปตามลำธาร เดินมาเพียงไม่นานแค่หนึ่งเค่อ (15 นาที) ก็เจอเข้ากับต้นน้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่ลำธารสายเล็ก หลังบ้าน น้ำในลำธารใสสะอาดมาก มองเห็นฝูงปลาตัวเล็กตัวใหญ่แหวกว่ายอย่างสนุกสนาน พวกมันทำให้ลี่หลินดีใจจนเนื้อเต้น ปลาเยอะแยะขนาดนี้นางรอดตายแล้ว อย่างน้อยก็มีปลาให้กิน ทุกวัน ลี่หลินนึกถึงเมนูปลาเผาที่เคยเห็นในโลกนั้นแล้วน้ำลายไหล นางจะจับปลาตัวใหญ่มาทำปลาเผากินให้ได้เลยคอยดู
“อ้ายฉิงเอาตะกร้ามาข้าอยากจับปลา เจ้าช่วยข้ายกก้อนหินพวกนี้ขวางทางน้ำไว้ด้วย” ลี่หลินวางแผนจับปลาโดยการนำหินมาขวางทางน้ำไว้ทำเหมือนบ่อเลี้ยงปลา ปลาที่อยู่ในบ่อจะไม่สามารถหนีออกไปไหนได้ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยลี่หลินจึงใช้ตะกร้าช้อนตักปลาขึ้นมา
“พี่สะใภ้ ทำแบบนี้สามารถจับปลาได้จริงหรือเจ้าคะ” แม้ว่าไม่มั่นใจแต่อ้ายฉิงก็ยังช่วยลี่หลินยกก้อนหินขวางทางน้ำไว้ตามคำสั่ง ปลาว่ายน้ำเร็วมากมีน้อยคนนักที่จับพวกมันได้ แม้แต่พี่ใหญ่ที่เป็นพรานป่าเองก็เช่นกัน เขาทำได้เพียงไม่กี่ครั้ง
อ้ายฉิงตกใจจนพูดไม่ออกเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นพี่สะใภ้ใหญ่จับปลาได้แถมพวกมันยังไม่ตายอีกต่างหาก
“พวกเจ้าไม่กินปลากันหรือทำไมถึงมีเยอะแยะขนาดนี้ ไปเอาถังน้ำมาใส่ปลาหน่อย ถ้าได้เยอะข้าจะเก็บไว้ทำกับข้าววันอื่นด้วย” อ้ายฉิงรีบวิ่งกลับบ้านเพื่อนำถังมาใส่ปลา ส่วนลี่หลินยังวุ่นวายอยู่กับการจับอย่างเมามัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นปลาเต็มถังเรียบร้อยแล้ว
“พี่สะใภ้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า พวกเราแบกกลับไม่ไหวแล้วเจ้าคะ” อ้ายฉิงบอกลี่หลินด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า วันนี้จับปลาได้เยอะมากนางจะทำกับข้าวให้พี่ใหญ่กับพี่รองกินจนอิ่มเลยหล่ะ แค่คิดก็มีความสุขสุดๆ จนหุบยิ้มไม่ได้
“แหม ยิ้มหน้าบานเชียวนะดีใจอะไรขนาดนั้น วันต่อไปข้าจับปลาให้เจ้าได้มากกว่านี้อีก ข้าขอลองขุดหลุมดักปลาไว้ก่อนเผื่อดักปลาได้ เสร็จแล้วพวกเราค่อยกลับบ้านกัน” เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มจนปากจะฉีกถึงรูหูของอ้ายฉิงลี่หลินก็อดเอ่ยแซวออกมาไม่ได้ พออีกฝ่ายไม่ได้ตอบโต้อะไรลี่หลินจึงลงมือขุดหลุมดักปลาต่อ
“เจ้าค่ะ” อ้ายฉิงได้แต่รับคำพลางจ้องมองการกระทำของพี่สะใภ้ใหญ่ หลังจากฟื้นไข้ขึ้นมาก็รีบเข้าป่าหาอาหารทันที
ปกติแล้วพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ยอมทำงานสิ่งใดเลย แม้กระทั่งเสื้อผ้าของตัวเองก็ไม่เคยซัก นางคงไม่ถูกผีสิงหรอกใช่ไหม อ้ายฉิงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจอย่างไม่อาจเอ่ยถามออกมาให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ ดีแล้วที่พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่างน้อยพี่ใหญ่กับพี่รองก็ไม่ต้องลำบากเหมือนเมื่อก่อน
“อ้ายฉิง เจ้ารู้จักหอมป่า กระเทียมป่า หัวขิงหรือไม่ อ้อ พริกด้วย ข้าอยากได้ต้องไปหาจากที่ใด” ภายในครัวมีเครื่องปรุงรสแค่เกลือ น้ำตาล และน้ำมันอีกเล็กน้อย เครื่องปรุงอย่างอื่นไม่มีเลยคงทำอาหารได้ไม่กี่อย่าง
“หอมป่า กระเทียมป่า กับหัวขิง ข้าขึ้นไปเก็บตรงตีนเขาได้เจ้าค่ะ แต่พริกนี่คือสิ่งใดข้าไม่รู้จัก”
“ช่างเถอะ เจ้าไปเก็บพวกมันมาให้ข้าหน่อย ข้าจะเตรียมของทำอาหาร” พูดจบลี่หลินก็หันไปปอกหน่อไม้ในตะกร้าอย่างชำนาญ นางจัดการล้างปลา ผ่าเอาเครื่องในออก เตรียมพร้อมไว้สำหรับทำอาหารเย็น
“พี่สะใภ้ของทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะแล้วเจ้าค่ะ ท่านต้องการสิ่งใดอีกไหม” อ้ายฉิงใช้เวลาเพียงครึ่งเค่อก็ได้ของกลับมาครบตามที่ลี่หลินสั่ง ยกเว้นแค่พริกที่นางไม่รู้จัก
“ทำไมเจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้ แล้วพี่ชายเจ้าหล่ะ ยังไม่กลับกันอีกหรือเลยยามเว่ยแล้วนะ”
“บ้านเราอยู่ใกล้ตีนเขา ข้าเดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ พี่สะใภ้วันนี้พี่ใหญ่กับพี่รองคงล่าสัตว์ไม่ได้แน่เลย หากวันไหนล่าไม่ได้จะอยู่บนเขานานจนถึงยามเซินเจ้าค่ะ”
“อืม เจ้ามาช่วยข้าจุดไฟต้มหน่อไม้ก่อน หน่อไม้พวกนี้ต้องต้มให้จืดแล้วค่อยนำไปทำอาหาร วันนี้พวกเราเก็บมาได้เยอะมากข้าจะแบ่งบางส่วนไปตากแห้งเพื่อเก็บไว้กินหน้าหนาว” ทั้งสองคนช่วยกันจัดการกับหน่อไม้ที่เก็บมาจนถึงยามเซิน (15.00–16.59 น.) ก็ได้ยินเสียงผู้ชายสองคนเดินเข้ามา
“อาฉิง พวกข้ากลับมาแล้ว” ลี่หลินหันไปมองตามเสียงเรียกนั้นก็เจอเข้ากับหนุ่มน้อยรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาเกลี้ยงเกลา นามว่าหยางอี้เฉิน กำลังเดินเข้ามาในบ้าน ส่วนผู้ชายร่างใหญ่โต บึกบึน หน้าตาคมคาย จมูกโด่งคม ผิวสีแทนอีกคนที่แบกหมูป่าตามมาทีหลังคงเป็น หยางหนิงเฉิง สามีของนาง
“พี่ใหญ่พี่รอง วันนี้พวกท่านล่าหมูป่าได้” อ้ายฉิงอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้ว ตอนแรกพวกเราโชคไม่ดีเอาเสียเลย ทั้งวันล่าได้แค่ไก่ป่าตัวเดียวกับกระต่ายป่าอีกสองตัวเท่านั้น แต่พอจะลงจากเขาดันได้ยินเสียงสัตว์ป่าต่อสู้กัน พวกข้าตามไปดูเห็นหมูป่าตัวนี้นอนจมกองเลือดอยู่จึงรีบแบกลงมา” อี้เฉินบรรยายอย่างละเอียดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า หมูป่าตัวหนึ่งราคาไม่น้อย
“หมูป่าตัวนี้คงเอาไปขายไม่ทันแล้วหล่ะ เวลานี้ไม่มีเกวียนเข้าเมืองเลย หากนำไปขายพรุ่งนี้เช้าเนื้อหมูก็ไม่สดได้ราคาต่ำมาก ข้าว่าพวกเราเก็บไว้กินดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยไปตรวจดูกับดักอีกรอบ” เมื่อหยางหนิงเฉิงพูดจบทุกคนได้แต่ทำหน้าเศร้าสร้อยออกมา หากดูจากสภาพหมูป่าที่มีรอยฟันเต็มตัวแถมเนื้อไม่สดเก็บไว้กินเองคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ
“ข้ากับอี้เฉินขอตัวไปจัดการหมูก่อน อ้ายฉิงเจ้าเตรียมอาหารเย็นเถอะเสร็จแล้วจะได้กินข้าวพักผ่อนกัน” หยางหนิงเฉิง พูดกับอ้ายฉิงก่อนจะปรายตามองลี่หลินที่ยืนถัดไปอีกเล็กน้อยเพียงแวบเดียวหนึ่งแล้วเดินจากไปพร้อมอี้เฉิน
เมื่อเห็นว่าทุกคนในบ้านทำเหมือนนางเป็นธาตุอากาศ ลี่หลินก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร นางยืนอยู่ตรงนี้ยังกล้าเสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ได้ แต่ช่างเถอะ นางขี้เกียจหาเรื่องชวนทะเลาะกับพวกเขาตอนนี้ลี่หลินเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว โจ๊กที่กินเข้าไปตอนเที่ยงแทบนับเม็ดข้าวได้จะไปอยู่ท้องได้ยังไง นางเดินเข้าครัวไปทำอาหารเย็นต่ออย่างอารมณ์ดี วันนี้มีวัตถุดิบเป็นเนื้อหมูเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างช่างน่าดีใจจริงๆ