หลังจากนอนพักเอาแรง ลี่หลินก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งในยามอู่ 11.00 – 12.59 น. นางได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่ภายในบ้านจึงเดินออกไปดู
“พี่สะใภ้ใหญ่ท่านฟื้นแล้ว” หยางอ้ายฉิงเมื่อเห็นลี่หลินเดินออกมาก็รีบทักทายพร้อมกับทำสีหน้าตกใจ คล้ายดีใจก็ไม่ใช่เสียใจก็ไม่เชิงแลดูพิลึกชอบกลนัก
“อืม ใช่แล้ว เจ้าไปไหนมาหรือ” ลี่หลินถามออกมาด้วยสีหน้าเฉยชา แต่เมื่อได้ยินคำถามหยางอ้ายฉิงกลับมีสีหน้าหมองคล้ำลงด้วยความตกใจและเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด นางรีบตอบคำถามอย่างรวดเร็ว
“พี่สะใภ้ ข้าพึ่งไปซักผ้ามาเจ้าค่ะ ท่านหิวหรือไม่ข้าจะไปต้มโจ๊กให้” หลังจากพูดจบอ้ายฉิงก็รีบหายเข้าไปในครัวทันที
“นางเห็นข้าเป็นผีสางหรือยังไงถึงได้รีบวิ่งหนี” ลี่หลินย่นจมูกพร้อมกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินกลับไปรอที่ห้องโถง
หลังจากวิ่งหนีเข้ามาในครัวได้อ้ายฉิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางดีใจอยู่หรอกที่พี่สะใภ้ฟื้นขึ้นมาเพราะด้วยฐานะทางบ้านการแต่งพี่สะใภ้สักคนแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีความเสียใจอยู่บ้างเนื่องด้วยพี่สะใภ้ของนางเรียกได้ว่าแทบจะไม่ทำอะไรเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ยอมก้าวขาออกจากบ้าน งานทุกอย่างอ้ายฉิงจึงต้องเป็นคนทำทั้งหมด ยิ่งเมื่อเวลาพี่สะใภ้เรียกหาแล้วไม่เจอใครอ้ายฉิงก็จะโดนด่าทอเสมือนสาวใช้ของเหล่าคุณหนูในเมืองไม่มีผิด นางไม่อยากกวนใจให้พี่สะใภ้ใหญ่อารมณ์เสียอีกจึงรีบออกมาต้มโจ๊กต้มยาอย่างรวดเร็ว
“พี่สะใภ้โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ” ลี่หลินมองถ้วยโจ๊กกับถ้วยยาในมือของอ้ายฉิงด้วยความหวาดหวั่น โจ๊กแทบนับเมล็ดข้าวได้กับยาสมุนไพรสีดำปี๋กลิ่นชวนอาเจียนนั้นนางจะกลืนลงไปได้อย่างไร อาหารมื้อแรกช่างน่าหดหู่ใจมาก
“พี่สะใภ้ใหญ่ ตอนนี้ข้าวสารในบ้านเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย พี่ใหญ่กับพี่รองรีบขึ้นเขาล่าสัตว์ตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ยามเว่ย (13.00 – 14.59 น.) ถึงจะกลับลงมา เดี๋ยวข้าจะไปขอแบ่งเนื้อมาไว้ทำกับข้าวให้ท่าน กินโจ๊กรองท้องไปก่อนนะเจ้าคะ” อ้ายฉิงพูดเสียงเบาหวิวในลำคอ นางกลัวพี่สะใภ้ไม่พอใจแล้วพาลดุด่า
“ก็ได้ข้าจะกิน ในบ้านไม่มีอย่างอื่นเหลือเลยหรือ” ลี่หลินอยากรู้ว่าที่บ้านมีอะไรพอทำกับข้าวกินได้บ้าง หากให้นางกินแต่ข้าวต้มปรุงรสด้วยเกลือแบบนี้ทุกวันคงไม่ไหว ลี่หลินรีบกลั้นใจกระดกโจ๊กและยาสมุนไพรเข้าปากให้หมดภายในครั้งเดียว
“ไม่มีเจ้าค่ะ พอดีวันนี้ข้าออกไปซักผ้าแต่เช้าเลยไม่ได้ขึ้นเขาเก็บผักป่า เวลานี้ชาวบ้านคงเก็บไปกินหมดแล้ว” อ้ายฉิงตอบเสียงเบาหวิวพร้อมกับก้มหน้าลง ที่นางกล้ายืนพูดคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ตอนนี้เพราะหากไม่อารมณ์เสียหรือโมโหพี่สะใภ้ของนางก็ไม่ได้ดุด่าแต่อย่างใด แค่เพียงต้องระวังไม่ให้นางโมโหเท่านั้น
“ข้าหลับไปนานเท่าไหร่” ลี่หลินพึ่งนึกได้ นางอยากรู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่เพราะในความฝันนางมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 40 ปี
“อะ เอ่อ ท่านหลับไปสี่วันเลยเจ้าค่ะ”
“อ้อ ข้าหลับไปนานขนาดนั้นเชียว มิน่าข้าถึงรู้สึกว่าแขนขาไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ เจ้าพาข้าเดินเล่นรอบบ้านได้หรือไม่ ข้านอนเยอะเกินไปอยากเดินเล่นสักหน่อย ร่างกายจะได้สดชื่น” พูดจบก็ไม่รีรอให้อ้ายฉิงตอบรับ ลี่หลินรีบเดินออกมานอกตัวบ้านเพื่อสำรวจพื้นที่ทันที ในความทรงจำของนางแทบจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าภายนอกบ้านเป็นอย่างไร ลี่หลินเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องด้วยความอับอายที่มีสามีเป็นเพียงพรานป่ายากจน เฮ้อ เมื่อก่อนข้าช่างหน้าบางเสียจริง ลี่หลินได้ค่อนขอดตัวเองในใจ เมื่อก่อนนางหน้าบางยิ่งกว่าอะไรแต่ทำไมตอนนี้นางรู้สึกหน้าด้านขึ้นมา
“พี่สะใภ้รอข้าด้วย ท่านยังไม่หายดีอย่าเพิ่งออกมาเดินเล่นข้างนอกเลยเจ้าค่ะ ถ้าเกิดล้มป่วยขึ้นมาอีกครั้งจะแย่เอา” อ้ายฉิง รีบร้องห้าม หากพี่สะใภ้ใหญ่ป่วยอีกรอบครอบครัวนางจะหาเงินที่ไหนพาหมอมารักษา เงินซื้อข้าวกินก็แทบไม่มี การเจ็บป่วยครั้งนี้ของพี่สะใภ้ใช้เงินเก็บทั้งหมดในบ้านเพื่อรักษาเชียวนะ พี่ใหญ่กับพี่รองของนางต้องเข้าป่าลึกเสี่ยงอันตรายเพื่อล่าสัตว์ให้ได้จำนวนมาก นางจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ดีขึ้นมาก เจ้าไม่ต้องกังวลใจ หรือเจ้าอยากให้ข้าโมโหจนล้มป่วยอีก” ลี่หลินเห็นสีหน้าลำบากใจอย่างหนักของอ้ายฉิงเต็มตา นางไม่อยากเสียเวลาอธิบายให้มากความจึงได้แต่ข่มขู่ออกไปเพื่อตัดรำคาญ ลี่หลินต้องการเดินสำรวจพื้นที่รอบบ้านให้เร็วที่สุดมากกว่าเผื่อมีอะไรสามารถนำมาทำกินได้ ชีวิตตอนนี้ยากจนเกินไปนางรับไม่ได้จริงๆ
“อย่าล้มป่วยอีกเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว จะพาเดินชมอย่างเงียบๆ” อ้ายฉิงปฏิเสธเสียงสั่นก่อนเดินตามลี่หลินอย่างสงบเสงี่ยม
เมื่อมองสำรวจรอบตัวบ้านก็พบกับแปลงผักขนาดเล็กอยู่ทางด้านซ้ายมือ สภาพผักดูแคระแกร็น ใบเหลือง ลำต้นเล็ก ผักบางชนิดเหี่ยวเฉาแทบใกล้จะตาย ถัดจากแปลงผักเยื้องไปด้านหลังของบ้านเป็นป่าไผ่ขนาดใหญ่ขึ้นเรียงรายซ้อนกันจำนวนมาก ถัดไปอีกหน่อยด้านข้างมีลำธารสายเล็กไหลผ่าน น้ำตื้นท่วมถึงแค่ข้อเท้า ด้านขวาของบ้านมีต้นไม้น้อยใหญ่ไม่รกทึบมากนัก เหมือนเห็นดอกไม้ขึ้นแซมต้นไม้เหล่านั้นด้วย วันหลังคงต้องไปสำรวจดูให้ละเอียดอีกครั้ง สำหรับลี่หลินแล้วบ้านหลังนี้ถือว่าดีมาก เงียบสงบห่างไกลผู้คน เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ถ้าได้จิบชาชมดอกไม้ข้างลำธารตอนเช้าคงดีไม่น้อย เรียกได้ว่าเป็นชีวิตแบบสโลไลฟ์เหมาะสำหรับหญิงสาวผู้งดงามอย่างนางมาก แต่ตอนนี้เรื่องปากเรื่องท้องของตนเองและคนในบ้านคงสำคัญกว่า ไว้รวยเมื่อไหร่ค่อยเอาเวลามานั่งจิบชายามเช้าแล้วกัน
“อ้ายฉิง ข้าจะเข้าป่าไผ่ เจ้าไปหยิบตะกร้ากับมีดมาเร็วด้วย!!” ลี่หลินเร่งเสียงตอนท้ายเพื่อสำทับเพราะอ้ายฉิงมีท่าทางลำบากใจไม่ยอมก้าวเดินออกไปสักที ลี่หลินอยากเข้าสำรวจดูหน่อยเผื่อมีหน่อไม้เหลือให้เก็บกินบ้าง
หลังจากเดินเข้ามาในป่าไผ่ได้ไม่นานลี่หลินก็ต้องตกใจจนอ้าปากค้าง นางตกตะลึงกับจำนวนหน่อไม้ จากที่คิดว่าแค่มาลองหาดูเผื่อได้กลับบ้านไปทำอาหารสักหน่อสองหน่อกลับไม่ใช่ หน่อไม้มีมากมายเกินไปชาวบ้านที่นี่ไม่กินกันหรือ
“อ้ายฉิงพวกเจ้าไม่กินหน่อไม้กันหรือ ทำไมเหลือเยอะแยะขนาดนี้ ดูสิมีแต่หน่ออวบอ้วนน่ากินทั้งนั้น แถมหน่อไม้ชนิดนี้ยังเป็นหน่อไม้ไผ่หวานที่อร่อยกว่าหน่อไม้ชนิดอื่นอีก”
“พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่มีใครกินหน่อไม้พวกนี้หรอกเจ้าค่ะ มันมีพิษทำให้ป่วยได้ ทุกคนที่เคยกินเข้าไปบอกว่ารสชาติขมมาก ข้าเองก็เคยนำไปทำอาหารเหมือนกันแต่มันขมเกินไปกินไม่ได้”
“พวกเจ้าไม่รู้วิธีกินที่ถูกต้องหน่ะสิ ข้าจะบอกให้นะ หน่อไม้ชนิดนี้มีรสชาติหวานอร่อย รีบขุดกันเถอะข้าจะทำของดีให้เจ้ากิน รับรองว่าดีกว่าโจ๊กใส่เกลือเมื่อกลางวันของเจ้าร้อยเท่าพันเท่า”
“กินได้แน่หรือเจ้าคะพี่สะใภ้ พวกเรารออีกหน่อยก็ได้กินเนื้อกันแล้ว”
“ข้าบอกว่ากินได้คือกินได้ เจ้าจะช่วยข้าขุดต่อไปหรือจะให้ข้าด่าเจ้าก่อน” ลี่หลินเริ่มโมโหเมื่อเห็นสายตาไม่เชื่อมั่นในตัวนางของอ้ายฉิง
“เจ้าค่ะ” อ้ายฉิงรับคำอย่างจำใจ ถึงแม้ไม่เชื่อว่าหน่อไม้อร่อยแต่นางก็ไม่สามารถโต้เถียงอันใดได้