“จะไปไหนครับ” ยังไม่ทันที่เธอจะได้ก้าวไปกดลิฟท์ก็มีเสียง รปภ. คนหนึ่งท้วงขึ้นมาซะก่อน
“เอ่อ! จะขึ้นไปข้างบนค่ะ” เธอตอบเสียงกุกกัก
“มีบัตรรึเปล่าครับ ถ้าไม่มีก็ขึ้นไม่ได้นะครับ” รปภ.คนเดิมแจ้งให้ทราบ
“เอ้อ! แต่ฉันเป็นพนักงานของบริษัทนี้นะคะ” เธอแสร้งว่าไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ว่ามันไม่ช่วย
“เป็นพนักงานก็ขึ้นไม่ได้ครับ บริษัทแบรนเดอร์กับพาราดีสคลับเป็นคนละส่วนกัน ถ้าไม่มีบัตรก็ขึ้นไปไม่ได้ครับ” รปภ. ที่ทำหน้าที่ตรวจตราคนเข้าออกที่นี่อย่างเข้มงวดบอกเสียงเข้ม
“เอ้า! นี่ข้างบนนี้เป็นพาราดีสคลับหรอกเหรอ ฉันก็นึกว่าเป็นของบริษัทด้วย พอดีฉันเป็นพนักงานใหม่ เพิ่งมาทำงานที่นี่เมื่อวานนี้เอง ก็เลยไม่ค่อยรู้อะไร พี่ที่แผนกสิคะบอกให้ฉันไปเอาเอกสารที่ฝ่ายออกแบบ ฉันก็นึกว่าต้องไปทางนี้ ต้องขอโทษด้วยนะคะพี่ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ไนต์คลับที่นี่คงเป็นอะไรที่สุดยอดมากแน่ๆ แล้วถ้าฉันอยากจะเข้าไปฉันต้องทำยังไงบ้างอะ เผื่อเลิกงานแล้วจะได้ชวนเพื่อนเข้าไปเที่ยวบ้าง” ชมพูแพรยังชวนคุยเพื่อเก็บข้อมูลต่อไป
“โอ๊ย! เศรษฐีเท่านั้นแหละที่จะเที่ยวที่แบบนี้ได้ คนธรรมดาอย่างเราๆ จะเอาเงินที่ไหนเข้าไป หาเงินรวมกันทั้งปียังเข้าที่นี่ไม่ได้เลย พี่ว่าน้องเลิกหวังลมๆ แล้งๆ เถอะ คนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเราๆ ได้เข้ามาทำงานที่นี่ก็ดีถมไปแล้ว พี่ว่าน้องรีบกลับไปทำงานเถอะ เดี๋ยวจะถูกหักเงินเดือนซะเปล่าๆ” รปภ. เตือนด้วยความหวังดี ด้วยเห็นว่าเธอเป็นชนชั้นเดียวกันที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวอะไร
“ขอบคุณมากค่ะพี่ แต่ฉันขอถามอะไรอีกสักอย่างสิ แต่ละวันมีแขกมาเที่ยวที่นี่เยอะไหมอ่ะ เอ่อ! ไม่ใช่อะไรหรอกนะ คือ ฉันแค่อยากรู้ว่าคนรวยเขาชอบเที่ยวที่แบบนี้กันเหรอ” ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหาว่าเธอมาสอดแนม เธอจึงต้องเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่นแทน
“ส่วนใหญ่ก็ลูกค้าประจำทั้งนั้นแหละ เห็นเขาว่าข้างในสะดวกสบาย มีพร้อมทุกอย่าง คนรวยๆ เขาก็เลยชอบ ก็มีหน้าใหม่เข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่เยอะหรอก อย่างที่บอกว่าค่าเมมเบอร์ที่นี่ราคาสูงลิบ อีกอย่างเจ้าของที่นี่เขาก็ไม่รับแขกเยอะด้วย” ชมพูแพรเก็บข้อมูลพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจไปด้วย
“เอ่อ! แล้วพี่พอจะรู้ไหม ว่าเจ้าของที่นี่เป็นใคร” ชมพูแพรยังคงหาข้อมูลที่อยากรู้ต่อไป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีมนุษยสัมพันธ์
“ก็ท่าน” ยังไม่ทันที่รปภ. จะได้พูดจบ ก็มีเสียงแหลมๆ ดังขึ้นซะก่อน
“มาอู้งานอยู่ที่นี่เอง ฉันตามหาเธอให้ทั่วเลยไม่รู้รึไง ทำไมชอบทำตัวเป็นภาระให้ฉันอยู่เรื่อยเลยนะแม่คนนี้เนี่ย เอ้า! ยังจะยืนบื้ออยู่ได้ รีบไปสิ ท่านประธานเขาเรียกพบแน่ะ แต่ฉันขอเตือนอะไรเธอไว้สักอย่างนะว่า อย่าหวังสูง” เมเบลทำหน้าไม่ชอบใจนัก ด้วยกลัวว่าท่านประธานที่เธอพยายามทอดสะพานให้หลายครั้งหลายคราแต่ไม่สำเร็จ จะไปหลงเสน่ห์เด็กอ่อนหัดอย่างชมพูแพรเข้า
“โธ่ พี่คะ อย่างฉันจะหวังอะไรได้ล่ะ นอกจากหวังว่าตัวเองจะผ่านช่วงทดลองงานนี้ไปได้เท่านั้นเอง “ เธอเดินตามอีกฝ่ายไปห่างๆ อดเสียดายไม่ได้ นี่ถ้าแม่เลขาหน้างิ้วไม่มาขัดจังหวะซะก่อน ป่านนี้เธอคงได้รู้ไปแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของสวรรค์บนดินแห่งนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ทันทีที่สองสาวเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของท่านประธาน เมเบลจึงหันไปมองหน้าน้องใหม่อย่างชมพูแพรอย่างเข่นเขี้ยวอีกครั้ง ก่อนที่จะยกมือขึ้นเคาะประตูตามมารยาทที่พึงกระทำ ถึงแม้ว่าความจริงแล้วใจจริงไม่อยากให้ชมพูแพรเข้าไปในนั้นเลยด้วยซ้ำ จะเรียกว่าหมาหวงก้างก็คงไม่ผิดหรอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ท่านประธานคะ ผู้ช่วยคนใหม่มาแล้วค่ะ” เมื่อเห็นว่าคนด้านในไม่ส่งเสียงตอบรับใดๆ กลับมา เมเบลจึงลองเคาะใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังเงียบเหมือนเดิม ดังนั้นเธอจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไป และก็ได้เจอกับความว่างเปล่า แต่เมื่อลองมองดีๆ อีกครั้ง จึงได้เห็นว่า ท่านประธานที่ตนหมายปองเอาไว้ แท้จริงกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตรงมุมหนึ่งของห้อง แต่ให้ตายเถอะ เขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวน่ะสิ
“อุ๊ย!” เมเบลเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจและอิจฉาไปในคราวเดียวกัน เมื่อต้องทนมองสาวทรงโตนั่งทาบทับอยู่บนตักของชายในฝันของหลายๆ คน และเสียงของเธอนี่เองที่ทำให้ชมพูแพรสนอกสนใจอยากรู้อยากเห็นด้วยอีกคน เธอจึงชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย
“เฮ้ย!” แล้วเธอก็เป็นอีกคนที่ต้องอุทานออกมา ก็ภาพที่ชายหญิงกำลังนัวเนียกันอย่างเมามัน โดยไม่สนใจว่ามีใครกำลังมองอยู่ ทำเอาคนไม่ประสาอย่างเธอถึงกับอายหน้าแดงซ่าน แล้วผู้ชายคนนั้นก็ยัง ยัง ยังเป็นเจ้านายเธอด้วย
“บัดสีบัดเถลิงที่สุด เป็นถึงประธานบริษัททำตัวแบบนี้ได้ยังไง แย่มาก ถ้าจะขนาดนี้ทำไมไม่ไปเปิดโรงแรมให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปวะ ทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้ใครที่ไหนเขาจะนับถือ ถึงว่า ทำไมใครๆ ถึงได้ชอบนินทากันนัก” ถึงกับทนมองภาพอุจาดตาไม่ไหว เธอจึงถอยกรูดออกมา แต่ก็ยังไม่วายแอบว่าผู้เป็นเจ้านายด้วยอีก
“เพราะเธอคนเดียวยัยจุ้น” เมเบลก็เป็นอีกคนที่ริษยาจนทนมองต่อไม่ได้ จึงถอยออกมาด้วยเช่นกัน
“เอ้า! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ” ชมพูแพรทำหน้างง ที่เขานัวเนียกัน เธอเองรู้เรื่องด้วยซะที่ไหน อย่าว่าแต่จะรู้ แค่หน้าท่านประธาน เธอยังไม่รู้เลยว่าหน้าตาเป็นยังไง พูดแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ เพราะเมื่อกี้นี้เธอยังไม่ทันได้มองหน้าท่านประธานให้ชัดๆ ก็รีบถอยออกมาซะก่อน อยากรู้นักว่าผู้ชายหื่นๆ ที่เขาพูดถึงกัน มันจะหน้าตายังไง (เอิ่ม! ก็หน้าเหมือนไอ้โรคจิตที่เธอเจอวันนั้นไง)
“ก็เพราะว่าฉันต้องไปตามเธอ แม่นั่นเลยฉวยโอกาสเข้าไปอ่อยท่านประธานถึงในห้องแบบนั้นไงล่ะ” เมเบลกระแทกเสียงใส่อย่างพาลๆ
“เอ้า!” ชมพูแพรเบ้หน้าแบบงงๆ
“เพราะเธอมันไม่สำคัญพอไง ไม่อย่างนั้นเขาคงรอเจอเธอก่อน แล้วเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
“เอ้า!” คงเป็นคำเดียวที่เธอพูดได้ในตอนนี้ ซึ่งเธอก็อยากจะถามกลับไปเหลือเกินว่า ‘ถ้าเขาเห็นฉันสำคัญ เธอไม่กินหัวฉันเลยรึไง นี่ขนาดฉันไม่สำคัญ เธอยังคำรามใส่ฉันตั้งหลายครั้ง สับสนอะไรรึเปล่าเนี่ยยัยป้าหน้างิ้ว’
“ไม่ต้องมาอ้งมาเอ้า ยังไงทั้งหมดก็เป็นความผิดของเธอ ยังจะมองหน้าอีก จะไปไหนก็ไปสิ ฉันเบื่อหน้าเธอเต็มทีแล้วยัยจุ้น” เมเบลเอ่ยปากไล่อีก ทำเอาคนถูกไล่ต้องกัดฟันกรอด แต่ก็ยออมเดินออกมาโดยดี เพราะยังอยากทำงานที่ต่อ
“เลือดจะไป ลมจะมา เอายังไงกันแน่เนี่ยยัยป้าหน้างิ้ว ป้าเองไม่ใช่เหรอยะที่ไปตามฉันมา ถ้าไม่เพราะป้า ป่านนี้ฉันคงรู้เรื่องที่อยากรู้ไปแล้ว ฮึ่ย! น่าโมโหที่สุด” เธอเดินไปบ่นไปด้วยใบหน้าหงิกงอ จนกระทั่งชนกับใครคนหนึ่งเข้าพอดี
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” เธอต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น ในขณะที่อีกฝ่ายยังยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม