ตอนที่ 12 บุปผาโลหิต (3)

2912 คำ
ตอนที่ 12 บุปผาโลหิต (3) ดวงตาของนางเบิกกว้าง อยากคิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเพียงถ้อยคำหยอกเย้าดังเช่นคำพูดของสือเฟิง ทว่าสิ่งที่แสดงออกมาจากสายตาดูแคลนนั้นได้ตอบนางทั้งหมดแล้ว ที่แท้แล้วเขาเพียงอยากเหยียบย่ำนาง ปั่นหัวนางราวกับสัตว์ตัวน้อย ทำราวกับว่านางมิได้มีค่าอันใดเลย นางมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มตรงหน้า พยายามมองหาสัญญาณบางอย่างที่จะช่วยให้นางหลุดพ้นจากการกระทำของเขา ทว่าแท้จริงแล้วมันกลับว่างเปล่า แท้จริงแล้วเขาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ยามนี้นางจึงตระหนักได้ว่าแม้นางจะมีดวงตาหรือไม่มี เมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ก็มิได้ต่างกันเลย “เสด็จปู่ของข้าไม่อยู่แล้ว เขาได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสมแล้ว ท่านยังต้องการอะไรอีก” นางกล่าวเสียงเรียบ ยอมรับแต่โดยดีว่าตนเองคือสตรีที่เขาเคยย่ำยี เยียนจิ่งมองใบหน้างามที่ซีดเผือด ซ่อนเร้นแววตาปรารถนาไว้อย่างแนบเนียน “ข้าสามารถปล่อยเจ้าได้” เขากล่าว มองเห็นประกายความหวังในแววตานาง “เพียงแค่เจ้าคืนหนฺวี่อวี้มาให้ข้า” นัยน์ตาของนางหม่นแสง ปีกจมูกขยับไหวเพื่อควบคุมโทสะ เขามองใบหน้าของนางด้วยความสนใจ ยามนางมีโทสะกลับทำให้สีสันบนใบหน้าเปลี่ยนแปลง ดูแล้วเจริญตาเจริญใจกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง นางเผยอปากคล้ายจะด่าทอ ทว่าเพียงพริบตาก็กลับมาสำรวมดังเดิม วางมาดองค์หญิงผู้สูงศักดิ์จากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สิ่งนี้กระตุ้นความสัญชาตญาณดิบของเขาได้เป็นอย่างดี ยิ่งนางทำตัวสูงส่ง เขาก็ยิ่งอยากกระชากนางลงมาขย้ำ ยิ่งนางเจ็บปวดแค้นเคือง เขายิ่งอยากทำให้นางร่ำไห้เพื่อคุกเข่าอ้อนวอน “ในเมื่อคืนนางให้ข้าไม่ได้ ก็เตรียมใจไว้เถิด หึ...ได้องค์หญิงเผ่าสวรรค์มาช่วยอุ่นเตียง ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าจะชอกช้ำจนตายเหมือนร่างมนุษย์ น่าตื่นเต้นไม่น้อย ตอนเย็นข้าจะให้เจ้าไปพบคนสนิท ร่ำลากันให้พอใจแล้วข้าจะส่งคนมารับ” เขาหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้หม่านหงคั่งแค้นจนแทบกระอักเลือด นางหลับตาลง พยายามควบคุมโทสะที่ลุกโชนในอก ยามนี้เขากำลัง ยั่วยุให้นางสูญสิ้นการควบคุมตนเอง นางจะต้องพยายามรักษาสติอารมณ์ให้มั่นคงไว้ เยียนจิ่งมีนิสัยชอบเอาชนะ เรื่องนี้นางตระหนักได้เป็นอย่างดี หม่านหงคิดถึงเรื่องราวตอนเป็นมนุษย์ เมื่อนางไม่ยินยอมเขาใช้กำลังเข้าหักหาญ เมื่อนางปล่อยวางเขากลับละทิ้งนางจากไป กระทั่งรับสาวใช้ที่คอยดูแลนางขึ้นเตียงเพื่อเหยียบย่ำให้นางตกต่ำลงยังกระทำได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่นางกลับมาอีกครั้ง นางไม่มีทางยอมให้เยียนจิ่งใช้กำลังเข้าหักหาญน้ำใจของ ลั่วเซียงเด็ดขาด หากคนผู้นั้นกระทำการเลวทรามต่ำช้าเช่นนั้นได้ เห็นทีว่าคราวนี้นางคงต้องทุ่มเทตบะทั้งหมดไปเพื่ออาละวาดจนแดนมารวอดวายเป็นแน่ กลิ่นหอมของดอกหมู่ตานสีเลือดพัดโชย กลีบดอกสีแดงปลิวโปรยทั่วท้องฟ้า กระแสลมตะวันตกพัดพากลิ่นหอมประหลาดมาหอบหนึ่ง หม่านหงเปิดเปลือกตา นัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบ มือที่กำแน่นพลันคลายลง นางเบี่ยงฝีเท้ากลับเรือนของตน หับประตูเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง “องค์หญิง!” ลั่วเซียงถูกขังอยู่ในคุกน้ำแข็งใต้ทะเลสาบเซวี่ยไป๋ แม้ว่าผมเผ้าของนางจะกระเซอะกระเซิง ทว่าดวงตาก็ยังคงมีประกายอย่างที่เคยเป็น หม่านหงถอนหายใจอย่างโล่งอก นางสั่งให้คนถอยออกไปจากคุกน้ำแข็งเพื่อสนทนากับลั่วเซียง “อาเซียง...เมื่อกลับสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เจ้าจงมอบของสิ่งนี้ให้เสด็จอา” นางมอบนกกระเรียนพับตัวหนึ่งให้กับลั่วเซียง “องค์หญิงเพคะ แล้วท่านเล่า?” ลั่วเซียงส่ายหน้า น้ำตาพร่างพรายราวกับม่านมุก “หม่อมฉันจะไม่ทิ้งองค์หญิงไปไหนเด็ดขาด” หม่านหงกุมมือลั่วเซียงไว้ น้ำเสียงอ่อนโยน “อาเซียง...มีเพียงเจ้าที่จะสามารถช่วยให้ข้ารอดพ้นจากที่นี่ได้” อีกฝ่ายส่ายหน้าหวือ น้ำตาอาบใบหน้าจนน่าเกลียด “มะ...หม่อมฉันไม่มีทางทิ้งพระองค์เด็ดขาด” นางยืนยันเสียงแข็ง “ลั่วเซียงรับคำสั่ง!” ลั่วเซียงคุกเข่า โขกศีรษะลงบนพื้นหินอย่างน่าเวทนา ปากก็พร่ำบอกคำเดิมซ้ำๆ ไม่ยอมทิ้งองค์หญิงไปไหน หม่านหงกลั้นน้ำตา พยายามกลืนก้อนสะอื้นในอก “นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่ข้าจะรอดพ้นไปได้ เจ้าต้องรักษาตัวให้ดีเข้าใจหรือไม่” ลั่วเซียงส่ายหน้าอย่างไม่ยินยอม เสียงสะอื้นไห้โหยหวนเสียจนหม่านหงหน่วงหนึบในใจ น่างเอื้อมมือผ่านช่องว่างของคุกน้ำแข็ง ลูบไล้แก้มของ ลั่วเซียงเบาๆ “อาเซียง...เจ้าเป็นความหวังเดียวของข้านะ” ลั่วเซียงช้อนตาขึ้น นัยน์ตาเรียวหม่นลงอย่างน่าอดสู กลีบปากสั่นระริก “องค์หญิง...” ทหารมารตนหนึ่งเดินมาด้านหลัง หม่านหงจึงรีบลุกขึ้น “หมดเวลาแล้ว รักษาตัวให้ดี” หม่านหงหันหลังกลับ หลับตาลงเพื่อสะกดกลั้นความเศร้าโศก เสียงร่ำไห้ของลั่วเซียงดังแว่ว สะอื้นไห้ราวกับสายพิณที่ขาดสะบั้น นางจับมือตนเองเพื่อมิให้สั่นเทา ได้แต่หวังว่าคนผู้นั้นจะรักษาสัญญา เก๋งไม้แดงเบนยอดหุบมังกรม่วงเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับมารทุกตน สถานที่แห่งนี้เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นเพียงยอดเขาสูงชัน ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นเก๋งแปดเหลี่ยมที่มีเถาจี้ฮวาสีแดงเลื้อยพันรอบเสา ยามนี้มีต้นจี้ฮวาประจำทั้งสิ้นสี่เสา นอกจากเสาต้นแรกแล้ว...แต่ละต้นคือความทรงจำอันล้ำค่าของเขาทั้งสิ้น เยียนจิ่งใช้ตบะปราณกว่าสามส่วนเพื่อสร้างตาข่ายไร้หวนกลับเพื่อสร้างขอบเขตอันไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ใดก็ตามที่มิได้รับเชิญเมื่อเข้าสู่เขตแดนนี้ก็จะไม่มีโอกาสกลับออกไป นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นผู้พบเห็นและยามนั้นยังคงความปรานีอยู่บ้าง เยียนจิ่งเดินไปยังเถาจี้ฮวาเสาแรก ปลายนิ้วเรียวแตะไล้กลีบบุปผาสีแดงช้ำซึ่งแตกต่างกับจี้ฮวาอีกสามต้น เพียงพริบตาภาพเบื้องหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน สตรีที่เขารักใคร่ประดุจพี่สาวแท้ๆ ปรากฏกายขึ้น นางสวมอาภรณ์สีม่วงอ่อน ผมสีดำเหลือบม่วงมวยครึ่งศีรษะอย่างเรียบง่าย คิ้วเรียวพาดเหนือดวงตาคู่งาม นัยน์ตากระจ่างใสดุจประกายน้ำในทะเลสาบเซวี่ยไป๋ ปลายจมูกเล็กแดงเรื่อเล็กน้อย ริมฝีปากบางกระซิบเสียงแผ่วทว่ากลับชัดเจนในความรู้สึกของเขาเป็นอย่างยิ่ง “จิ่งเอ๋อร์...นี่คือสาเหตุว่าทำไมเสี่ยวหวงไร้บิดา พี่สาวมิได้บริสุทธิ์ไร้ราคีอย่างที่เจ้ามองหรอกนะ” เยียนจิ่งกำหมัดแน่น นัยน์ตาคมแดงเรื่อ ริ้วอารมณ์ซัดสาดบนใบหน้าจนสิ้นซึ่งความเยือกเย็นที่มี ครั้งแรกที่เขาเห็นภาพนี้คือตอนที่เขาสูงเท่าเอวพี่สาว ยามนั้นเยียนจิ่งซุกซนตามประสาเด็ก เพราะมีความเกี่ยวข้องกันทางจิตวิญญาณ ความเจ็บปวดที่หนฺวี่อวี้จึงถ่ายทอดมายังตัวเขาราวกับน้ำหลาก หนฺวี่อวี้กำลังนั่งทำอะไรบางอย่างในห้องของนาง ดวงตาคู่งามเปล่งประกายราวกับหมู่มวลดารายามค่ำคืน ท่าทางเอาการเอางานของนางจุดประกายเขาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร กระทั่งคนสารเลวผู้นั้นเข้ามาช่วงชิงความสดใสจากนางไป อิ๋นหย่งคนสารเลวผู้นั้นใช้มนตร์สะกดมารกับนาง อาศัยจังหวะที่นางพลั้งเผลอเข้ามากระทำการหยาบช้า เส้นเอ็นบนใบหน้าของเยียนจิ่งปูดโปน ไม่อาจกะพริบตาเพื่อลบภาพนั้นออกจากใจได้ คนผู้นั้นชื่นชมร่างงามราวกับนางเป็นเพียงหุ่นไม้ ดวงตาของนางว่างเปล่า ตอบรับสัมผัสหยาบช้าอย่างเต็มใจ ขณะเดียวกันเขากลับได้ยินเสียงกรีดร้องของนางดังออกมาจนต้องรีบปิดหูด้วยความตกใจ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ นางกรีดร้อง สาปแช่ง ร่ำไห้อย่างจนปัญญา ทว่าทางร่างกายแล้วกลับถูกคนผู้นั้นกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า คืนวันผันผ่าน ทุกราตรีหนฺวี่อวี้จะถูกคนผู้นั้นกระทำเช่นนี้ จากเสียงกรีดร้องของนางก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงัด ราวกับว่าตัวนางได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว สายสัมพันธ์ระหว่างเยียนจิ่งและนางสะบั้นลงตอนนั้น กระทั่งยามที่นางถูกทัณฑ์สวรรค์จากลานเฉิงฝา เขากลับมิได้ทราบเรื่องราวอันใดเลย น้ำตาหยดหนึ่งรินรดกลีบบุปผาแดง ภาพตรงหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสตรีนางเดิมที่ยังคงรอยยิ้มงดงาม หนฺวี่อวี้เดินมาหาเขา ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยร่องรอยน้ำตาให้ พลังจากดวงจิตที่อ่อนแอเสียยิ่งกว่าดวงวิญญาณของมนุษย์นั้นทำให้เกิดกระแสลมพลิ้วแผ่ว ขณะเดียวกันเยียนจิ่งก็หลับตาลงรับสัมผัสนั้นราวกับว่าไม่ต้องการให้มันหายไปตลอดกาล เศษเสี้ยวดวงจิตของหนฺวี่อวี้ถูกมหาเทพไป๋หู่รวบรวมไว้ที่ยอดเขามังกรม่วงแห่งนี้ เพราะนี่เป็นสถานที่แรกที่นางสร้างขึ้น จึงช่วยรักษาเศษเสี้ยวดวงจิตของนางไว้ได้ ทุกครั้งที่เขาสับสนในสิ่งที่ตนเองกระทำ จำต้องกลับมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อดูภาพเหล่านั้นซ้ำๆ “จิ่งเอ๋อร์ พี่สาวเห็นความเศร้าในแววตาเจ้า” เศษเสี้ยวดวงจิตนั้นเอ่ยเสียงแผ่ว เยียนจิ่งลืมตาขึ้น เห็นประกายเศร้าโศกในดวงตาของนาง เพราะมีความเกี่ยวโยงกัน เขาจึงเป็นคนเดียวที่สามารถสนทนากับนางได้ แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม “ข้าเปล่า” นางส่ายหน้า “จิ่งเอ๋อร์ สิบกว่าวันก่อนเจ้าสร้างจี้ฮวาต้นที่สามไว้ มีเรื่องอะไรที่ไม่อยากจดจำอย่างนั้นหรือ” เขานิ่งอึ้งไป หนฺวี่อวี้ไม่เคยพูดมากเช่นนี้มาก่อน ทุกครั้งที่เขามาเยือนนางมักจะปรากฏตัวและส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขาเท่านั้น “เจ้าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน” นางยิ้มหวาน “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังส่วนหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่จริงแล้วตอนที่เจ้าบอกว่าเสี่ยวหลิงช่วยประสานดวงจิตให้อาหวงข้ายังคิดว่าเป็นเรื่องเกินจริง ทว่าสองวันก่อนเสี่ยวหลิงพาเขามาหาข้า” ดวงตาของนางเป็นประกาย “ตบะของเขาลดไปมาก ทว่าอา...เสี่ยวหยวนน่ารักนัก” “พวกเขาเข้ามาได้อย่างไรกัน” เยียนจิ่งมั่นใจว่าเขามิได้อนุญาตให้สองคนนั้นเข้ามา อีกอย่างตัวกวนสองคนนั้นคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป มิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย เสี้ยวดวงจิตของหนฺวี่อวี้หัวเราะ นางตบแก้มเยียนจิ่ง ทว่ากลับทำได้เพียงสร้างกระแสลมเช่นเดิม กระนั้นแล้วประกายตาของนางก็เปี่ยมสุขมากกว่าเคย “เขาเป็นลูกข้า...จิ่งเอ๋อร์ เจ้าทำร้ายสตรีนางหนึ่งใช่หรือไม่” เรื่องนี้นางก็ทราบ? เยียนจิ่งก้าวถอยหลัง เขากำหมัดแน่น คิดจะไปจัดการกับสองคนนั้นให้เด็ดขาด ทว่าน้ำเสียงหม่นเศร้าของหนฺวี่อวี้กลับทำให้เขาต้องหยุดชะงัก “จิ่งเอ๋อร์...คนผู้นั้นได้รับโทษทัณฑ์แล้ว นางมิได้เป็นคนริเริ่มสิ่งเลวร้ายอันใด เรื่องนี้เจ้ากระจ่างแจ้งแก่ใจดีมิใช่หรือ” เขามองหน้านาง ไม่อาจรักษาความสงบเยือกเย็นได้อีกต่อไป “นางเกลียดแค้นข้าไปแล้ว” “คิดดูให้ดีว่านางเกลียดเจ้า หรือเป็นเจ้าที่ไม่ยอมลดทิฐิลง แต่ไหนแต่ไรมาจิ่งเอ๋อร์ของข้าขึ้นชื่อได้ว่าวางไม่ลง มิเช่นนั้นแล้วกระทั่งความทรงจำเมื่อสิบกว่าวันก่อนเจ้าก็คงไม่ทิ้งมันไว้ที่นี่!” “เจ้าจะรู้อะไร” เขาตวาดนาง ดวงตาวาววามราวกับสัตว์ป่า “นางเป็นเพียงคนเดียวที่คนผู้นั้นแทบประคองในอก นางควรต้องรับรู้สิ่งที่เจ้าได้รับมิใช่หรือ เสียงกรีดร้องของเจ้าดังก้องอยู่ในหัวข้ามากี่หมื่นปี กระทั่งข้าตายแล้วเกิดใหม่มันก็มิได้หายไปไหน แล้วยามนี้เจ้ามาบอกให้ข้าวางมันลง ง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวรึ?” “แต่ยามนี้เจ้าก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นแล้ว” นางกล่าวเสียงเย็น สังเกตสีหน้าและอารมณ์ของเขา “เจ้าไม่อาจยอมรับว่ารู้สึกกับนางมากกว่าเรื่องความแค้นใช่หรือไม่ เป็นเพราะไม่อาจละทิ้งศักดิ์ศรีลงได้เจ้าจึงต้องทิ้งความทรงจำทั้งหมดลงไปที่เสาต้นนั้น” นางชี้ไปยังเสาต้นล่าสุดที่มีดอกจี้ฮวาแดงเลื้อยพันอยู่ สายตาพลันอ่อนลง “ข้าเคยผ่านจุดที่คับแค้นใจ ต้องอุ้มท้องลูกที่ข้ามิได้รักบิดาเขา ทว่าสายใยที่ข้ามีต่อลูกมิได้ลดน้อยลง อย่าลืมว่าคนที่ทำร้ายข้ามิได้อยู่แล้ว เจ้าจะสามารถละทิ้งความหยิ่งทะนงทั้งหมดลงเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่าไว้หรือไม่” นัยน์ตาคมทอประกายหวั่นไหววูบหนึ่ง แต่เพียงพริบตาก็กลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้ง “อี้หลิงกล่าววาจาเหลวไหลอะไรกับเจ้าอีก แส่ไม่เข้าเรื่องนัก” เขาหันหลังคิดจากไป “หากว่าเจ้าแค้นนางนัก เหตุใดไม่สังหารนางเสีย” ฝีเท้าของเยียนจิ่งชะงัก ดวงตาคมหลับตาลงเพื่อควบคุมความรู้สึก “ข้าปล่อยนางไปไม่ได้” “แต่กลับทำให้นางเคียดแค้นเจ้า รังเกียจเจ้า” เขาลืมตาขึ้น “เมื่อถึงวันที่นางต้องอยู่กับเสี่ยวเยียนเพียงลำพัง อย่างน้อยก็ยังสามารถหัวเราะอย่างเบิกบานได้กระมัง” “เช่นนั้นก็ยกนางให้สือเฟิงเสีย เด็กคนนั้นมีวาสนากับนาง ตอนที่เจ้าหายไปนางจะได้มีคนคอยปลอบโยน อย่างน้อยนางก็จะมีความสุขกับคนที่เห็นคุณค่าของนาง” “เช่นนั้นนางก็สบายเกินไปแล้ว” เสี้ยวดวงจิตของหนฺวี่อวี้หัวเราะเสียงกังวาน “ขนาดบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับนาง แล้วผู้ใดกันที่หอบน้ำตามาที่นี่เพื่อทิ้งความทรงจำ” เยียนจิ่งคล้ายกับสูญเสียความเป็นตัวตนไปชั่วขณะ หางตาเหลือบมองต้นจี้ฮวาต้นนั้นพลันกล่าวเสียงเรียบ “ทิ้งความทรงจำไปแล้ว ลืมสิ่งนั้นไปแล้ว ยามนี้ข้าไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป” “ในเมื่อเจ้าแค้นนางเพราะเรื่องของพี่สาว เช่นนั้นแล้วพี่สาวจะไม่มารบกวนเจ้าอีก” นางกดเสียงเย็น เยียนจิ่งหันขวับ “ข้ายอมเสียศักดิ์ศรีส่งคนไปขอร้องไป๋หยางสุ่ย ขอเตาหลอมโอสถวิเศษ กระทั่งส่งคนไปช่วงชิงจนต้องทิ้งชีวิตพวกมารมากมายเพื่อพยายามรั้งชีวิตเจ้าไว้ แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ เรื่องของนางสำคัญกว่าข้าสินะ!” “ไม่เลย” แววตาของนางจริงจัง รอยยิ้มยังคงอบอุ่นเช่นเดิม “เพราะเจ้าเป็นน้องชายข้า เพราะข้าไม่อาจทนเห็นเจ้ากระทำการหยาบช้ากับผู้อื่น ความสุขของเจ้าต่างหากคือสิ่งที่ข้าปรารถนา จิ่งเอ๋อร์...ความสุขของผู้ที่มีชีวิตนิรันดร์นั้นสั้นนัก เหตุใดเจ้าจึงละทิ้งมันไปอย่างง่ายดาย นางเป็นมารดาของเสี่ยวเยียน เป็นสตรีเพียงคนเดียวที่เจ้ายอมให้นางตั้งครรภ์แทนที่จะสังหารนาง หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงการเล่นสนุกของเจ้าเท่านั้น” ดวงตาคู่งามทอประกายเศร้าโศก “จิ่งเอ๋อร์ เวลาของพี่สาวหมดลงนานแล้ว ที่ยังไม่จากไปไหนเพราะไม่อยากให้เจ้าอมทุกข์ตลอดเวลา ยามนี้มีสตรีนางอื่นที่สามารถเปลี่ยนแปลงสีสันบนใบหน้าเจ้าได้แล้ว เหตุใดจึงไม่คว้านางไว้ อย่าได้บอกว่าเจ้าหลงลืมความทรงจำทั้งหมดที่มีต่อนาง ที่เจ้ามาที่นี่ทุกสามวันมิใช่ว่ามาเพื่อระลึกถึงสิ่งเหล่านี้หรือ เกสรของดอกจี้ฮวาเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ความรู้สึก เจ้าอาจสามารถโกหกคนทั้งโลกได้ ทว่าข้าเลี้ยงดูเจ้ามา เหตุใดจึงจะมองไม่ออก” เยียนจิ่งนั่งงัน ผินหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบตาหนฺวี่อวี้ ทว่านางกลับลอยขวางทั้งยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขา แววตาเคร่งขรึมจริงจังราวกับมารดากำลังสั่งสอนบุตร “อย่าให้เวลาอันยาวนานไร้สิ้นสุดสร้างบาดแผลให้กับคนที่เจ้ารัก ไม่อย่างนั้นแล้วนิรันดรของเจ้าก็จะเป็นโทษทัณฑ์อย่างหนึ่ง เจ็บปวดไม่รู้จบ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม