ตอนที่ 10 บุปผาโลหิต (1)

1184 คำ
ตอนที่ 10 บุปผาโลหิต (1) “สนมสามพันนางในตำหนักตะวันตกยังไม่เพียงพอให้เจ้ามีความสุขหรอกหรือ” น้ำเสียงเย็นเยียบของเยียนจิ่งดังขึ้น พานให้ชายหนุ่มที่กำลังหยอกเย้าหม่านหงยืดกายขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาฉายความเหนื่อยหน่าย “เพิ่มมาอีกหนึ่งคนก็ไม่เป็นไร ข้าเลี้ยงพวกนางไหว” เขาหันกลับไป แย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าในอ้อมแขนของเยียนจิ่งมีเด็กทารกอยู่ “หืม...ก้อนกลมๆ นี่เป็นอะไรกับเสด็จพี่ น่ารักน่ากินนัก” เสด็จพี่? เขามีน้องชายด้วยหรือ “หากเจ้าแตะต้องเขาแม้เพียงปลายเล็บ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสของการถูกห้าม้าแยกร่าง ชิ้นเนื้อแต่ละชิ้นแยกกันอยู่เสียบ้างจะเป็นอย่างไร” เยียนจิ่งกล่าวเสียงเย็น หม่านหงได้ยินแล้วอดสะท้านไม่ได้ สวรรค์! เขากล้ากล่าววาจาร้ายกาจต่อหน้าลูกของนางได้อย่างไร ด้วยความลืมตัวหม่านหงรีบเดินเข้าไปแล้วคว้าทารกจากอกของเยียนจิ่งเข้ามาแนบอก ไม่ยอมให้เขากล่าววาจาเหลวไหลให้เด็กน้อยคนนี้ฟังอย่างแน่นอน เยียนจิ่งถูกการกระทำของนางทำเอาชะงักค้าง นึกประหลาดใจว่าเหตุใดนางจึงแย่งลูกไปจากอกเขาได้ง่ายดายอย่างนี้ อีกทั้ง...เขาเบิกตามองทารกน้อยในอกนาง ทารกน้อยหลับตาพริ้มราวกับว่าเมื่อครู่มิได้เกิดอะไรขึ้น สงบเสงี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันชายหนุ่มอีกคนก็ลอบสังเกตสีหน้าของเยียนจิ่งยามจ้องมองสตรีนางนั้น พลันเบิกตากว้าง “นางเป็นมารดาของทารกน้อยนี่หรือ” “ไม่ใช่” ทั้งสองปฏิเสธพร้อมกัน ทว่านั่นยิ่งทำให้แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “อืม...เช่นนั้นนี่ลูกใคร” “ลูกข้า” “มารดาของเขาล่ะ” “ตายไปแล้ว” “นี่ท่านถึงกับสังหารภรรยาของตน?” “สือเฟิง อยากฝากลิ้นไว้ที่ข้าสักพันปีไหม” สือเฟิงกระแอมไอ เก็บความสงสัยไว้ในอก เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ใช้เล่ห์กลเล็กน้อยไต่ถามหาความจากสาวงามในตำหนักบูรพาก็สามารถเข้าใจเรื่องราวได้แล้ว “เช่นนั้นข้าขอยืมตัวคนงามสักประเดี๋ยวได้หรือไม่” “นางไม่ว่าง” “ข้าว่าง” หม่านหงเอ่ยขึ้น แม้จะรู้สึกถึงสายสัมพันธ์จากทารกตัวน้อยในอก ทว่านางไม่อยากอยู่กับเยียนจิ่งแม้แต่น้อย “ท่านช่วยพาข้าชมทิวทัศน์ในเมืองนี้ได้หรือไม่” “เสี่ยวเยียนต้องการเจ้า” เยียนจิ่งใช้สายตาดุเข้มมองนาง บรรยากาศกดดันโดยรอบพลอยทำให้สือเฟิงหายใจติดขัดไปด้วย “อ่า...ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน ข้าไม่ได้มาที่นี่หลายร้อยปี เห็นทีต้องเดินสำรวจเสียหน่อย ครั้งหน้าค่อยพาเจ้าไปเดินชมดอกไม้ดีหรือไม่ อันที่จริงตำหนักตะวันตกของข้าก็มี...” “สือเฟิง” “เอ้อ...ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ ขอตัว” กล่าวจบสือเฟิงก็กลายเป็นกลุ่มควัน ยามนี้เหลือหม่านหงและเยียนจิ่งอยู่ด้วยกัน โดยมีทารกน้อยในอ้อมอกของนางช่วยระงับโทสะของทั้งคู่ไว้ อยู่กับเขาสองต่อสองในระยะเพียงไม่กี่ก้าวทำให้นางอึดอัดคับข้อง ไม่อยากกล่าววาจากับเขาแม้ครึ่งคำ “เสี่ยวเยียนต้องการพลังตบะของเจ้า” เขากล่าว หม่านหงชะงัก “ต้องทำอย่างไร” “ปกติทารกต้องดื่มนมจากอกมารดา” ใบหน้าของนางขึ้นสี “ข้าไม่ใช่มารดาเขา” “หึ...ข้ามิได้บอกให้เจ้ารีดเต้านมให้เขากินนี่” “เจ้า!” นางอยากจะด่าทอเขา ทว่าเสียงหัวเราะจากทารกน้อยในอ้อมอกเรียกความสนใจจากนาง ใบหน้ามึนตึงจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เพียงแค่ตวัดหางตาใส่เขาแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการลั่วเซียง” “เจ้าจะไม่ได้พบนางจนกว่าจะทำให้เขาแข็งแรงอย่างที่ควรเป็น” นางกัดฟัน “ข้าสามารถถ่ายทอดตบะครึ่งหนึ่งให้เขา หลังจากนั้นท่านจงปล่อยลั่วเซียงให้กลับไปกับข้า” “เสี่ยวเยียนอายุน้อย ไม่สามารถรับตบะเซียนได้มาก ยังต้องสลับกับตบะมารของข้า มิเช่นนั้นแล้วเขาจะต้องตาย” “หึ...ท่านก็ยังสามารถประคองชีวิตเขาไว้ได้มาจนถึงตอนนี้” นางแค่นเสียง “ทารกที่อายุไม่ถึงเดือนยังสามารถรับตบะมารของท่านได้ เขาไม่ตายง่ายๆ หรอก” “เจ้าทราบได้อย่างไรว่าเขามีอายุยังไม่ครบเดือน” หม่านหงซ่อนสีหน้าตระหนก นางเชิดหน้าขึ้น “ข้าเดา” แววตาของเยียนจิ่งอ่อนลงเล็กน้อย มิได้ซักไซ้ไล่เลียงอีก “ถ่ายพลังให้เขาได้แล้ว” “ท่านกลับไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะพาเขาไปส่ง” “ไม่จำเป็น ให้ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะไม่สังหารเขา” นางถลึงตาใส่เขา “ข้ามิได้ชั่วช้าเช่นท่าน อย่างน้อยก็ไม่คิดสังหารลูกตัวเอง” “เจ้าพูดเหมือนเคยมีลูก” หม่านหงสูดลมหายใจ ยิ่งพูดเหมือนยิ่งเข้าตัวเอง จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ ยามเป็นมนุษย์นางไม่เคยพูดกับเขาเช่นนี้ ทั้งยังไม่เคยต่อปากต่อคำ หากเป็นเช่นนี้อีกต่อไปเกรงว่าเขาจะสมใจที่เห็นนางจดจำเรื่องราวในอดีตได้ “ข้าพูดเหลวไหล ท่านอย่าใส่ใจ” หากไม่เห็นแก่ว่าเด็กคนนี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของนางในยามเป็นมนุษย์ หม่านหงคงลงมือสังหารเขาไปแล้ว นางเลิกสนใจเขา กัดปลายนิ้วเล็กน้อย โลหิตสีแดงไหลผ่านปลายนิ้วจนก่อเกิดเป็นน้ำนมสีขาวขุ่น หยดเข้าไปในปากของเสี่ยวเยียน นัยน์ตากลมโตทอประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า เสียงอ้อแอ้ของทารกในอกทำให้นางฝืนกลั้นน้ำตาไว้ นางต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้เยียนจิ่งเห็น เขาไม่มีค่าพอจะเห็นมุมอ่อนแอของนาง สัญชาตญาณความเป็นมารดาทำให้นางกระทำเช่นนั้นโดยไม่รู้ตัว เยียนจิ่งมองภาพตรงหน้าอย่างพอใจ อย่างน้อยนางก็มิได้ใจร้ายกับลูก อย่างน้อยความรังเกียจที่นางมีต่อเขาก็มิได้ส่งต่อไปยังทารกในอ้อมอก นั่นก็เพียงพอแล้ว นางรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง ทว่าไม่อยากเงยหน้าสบตาเขาจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น รอจนเสี่ยวเยียนอิ่มแล้ว จึงคิดส่งทารกให้เขา เยียนจิ่งกลับส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้ามีราชกิจ เจ้ารับเขาไปดูแลชั่วคราวก็แล้วกัน” กล่าวจบก็หมุนตัวเตรียมจากไป “เขามีมารดาอย่างลี่กวงแล้ว ให้นางดูแลไปสิ” “เจ้าไม่สนใจที่เด็กคนนี้จริงๆ สินะ” เขาหันกลับมามองหน้านางด้วยสายตาเรียบนิ่ง “เขามิใช่ลูกข้า ท่านอย่าลืมสิ” นางปั้นหน้าแย้มยิ้ม ข่มกลั้นความรู้สึกอดสูในใจอย่างยากลำบาก “หาไม่แล้วหากเสี่ยวเยียนติดใจข้าขึ้นมา มิเท่ากับว่าข้าต้องคอยเป็นมารดาให้เขาหรือ” “เช่นนั้นก็เป็นมารดาให้เขาเสียสิ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม