ตอนที่ 9 ทวงคืน (5)

2728 คำ
ตอนที่ 9 ทวงคืน (5) ผิวน้ำราบเรียบสะท้อนแสงจันทร์กระจ่างฟ้า สีเงินยวงอาบย้อมทิวทัศน์โดยรอบให้บังเกิดเหลี่ยมมุมอันลึกลับ หม่านหงยืนอยู่ปลายสะพาน เบื้องหน้าของนางคือเส้นทางสู่ตำหนักบูรพา นางข่มใจที่เต้นระทึกตามย่างก้าว ทุกครั้งที่เคลื่อนเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้น กลิ่นอายอันคุ้นเคยคล้ายกำลังตอกย้ำว่านางมาถูกทางแล้ว กำแพงสูงตระหง่านกอปรกับบานประตูเหล็กกล้าทำให้นางรั้งฝีเท้าไว้ เบื้องหน้าคือทหารฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ บัดนี้ต่างก็แผ่กลิ่นอายมารเข้มข้น นางยืนอยู่หน้าประตู ครู่หนึ่งบังเกิดเสียงเสียดสีของโลหะดังขึ้น ประตูเหล็กพลันเปิดออก สตรีหน้าตางดงามนางหนึ่งเดินออกมาพร้อมด้วยผู้ติดตาม อาภรณ์สีขาวสะท้อนแสงจันทร์สีเงิน ดูราวกับเทพธิดาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า อากัปกิริยาเชื่องช้างดงามจนมิอาจละสายตา “ข้าน้อยลี่กวงยินดีต้อนรับองค์หญิงสู่แดนประจิม” นางย่อกายคำนับ สตรีด้านหลังพลันย่อกายตาม ใบหน้างดงามอ่อนหวานประดับรอยยิ้มอ่อนหวาน ดวงตาแฝงเสน่ห์เย้ายวน ลี่กวง...ชื่อนี้นางจำได้ไม่ลืม หม่านหงฝืนยิ้ม “ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นใครหรือ” ลี่กวงอมยิ้ม “หม่อมฉันเป็นสนมของฝ่าบาทเพคะ” “อ้อ...คนสนิทของข้าอยู่ที่ใด” “ขอประทานอภัย แต่ฝ่าบาทตรัสว่าให้องค์หญิงพักผ่อนสักคืนหนึ่ง ค่อยพบคนสนิทในวันรุ่งขึ้นเพคะ” คิดถ่วงเวลานางก็ถ่วงไป ขอเพียงลั่วเซียงไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว “นางเป็นอะไรหรือไม่” “นางปลอดภัยดีเพคะ” หม่านหงเก็บคำพูดที่เหลือ อยากถามเหลือเกินว่าลูกของนางอยู่ที่ใด แต่นางไม่ทราบว่าคนเหล่านี้ทราบหรือไม่ว่านางคือหญิงตาบอดที่เพิ่งตายไป นางสูดลมหายใจลึก เดินตามสตรีนางนั้นไปยังที่พักของตน กลิ่นดอกไม้ กลิ่นต้นหญ้า ยิ่งก้าวไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของตำหนักบูรพา หม่านหงก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยจนใจสั่น “เจ้า...พาข้าไปที่ใด” ลี่กวงผินหน้ามองนาง “เรือนรับรองเพคะ อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดมารบกวน” หม่านหงซ่อนแววตาเย็นชา “ฝ่าบาทของเจ้าช่างใส่ใจแขกเหรื่อนัก” ผ่านเส้นทางลดเลี้ยว ในที่สุดก็พลันปรากฏเรือนหลังหนึ่งที่มีนางกำนัลและทหารเฝ้าโดยรอบ มุมปากของนางกดลึก แค่นเสียงในใจ “มากคนมากความ ข้าต้องการความสงบ” “ค่ำคืนอันตรายจำต้องมีคนคอยคุ้มกันองค์หญิง” ลี่กวงเอ่ยขัด “เชิญตามอัธยาศัยเพคะ” “ไม่คิดมาก่อนว่าค่ำคืนในตำหนักบูรพาจะอันตรายจนต้องมีคนคอยคุ้มกันมากขนาดนี้” “องค์หญิงมีฐานะสูงส่ง ฝ่าบาทมิอาจปล่อยปละละเลย” “ประเสริฐ เช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบกลับไปก่อนที่จะเป็นอันตรายเถอะ” ลี่กวงย่อกายคำนับ “ประเดี๋ยวจะมีคนยกสำรับมาให้ หม่อมฉันขอตัว” ครั้นลี่กวงจากไปแล้ว หม่านหงเหลียวมองบรรดานางกำนัลและทหารที่อยู่โดยรอบแวบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าคนเหล่านั้นมิได้สนใจนางจึงหลับตาลง นับก้าวจากบันไดขั้นแรกไปยังประตูด้านหน้า นางยื่นมือไปด้านหน้า ค่อยๆ ย่างเดินทีละก้าว นับเพิ่มไปเรื่อยๆ สิบสามก้าว เมื่อมือของนางแตะประตู มุมปากของนางก็ยิ่งกดลึกยิ่งขึ้น นางค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วคลำลวดลายบนประตู ทุกสัมผัสที่ได้รับยิ่งทำให้นางจิตใจสั่นไหว ยามนี้ต้องใช้เรี่ยวแรงอย่างมากกว่าจะผลักประตูเข้าไปด้านใน ในห้องตกแต่งเรียบง่าย สิ่งของประดับตกแต่งน้อยชิ้น นางมองเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงหน้าต่าง พลันระลึกถึงช่วงเวลาที่นั่งรับลมโดยไม่อาจมองเห็นทิวทัศน์ข้างนอก ร่างกายของนางเคลื่อนไหวไปตามแรงผลักดันในใจ ทิ้งสะโพกลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก ทอดสายตาผ่านกรอบหน้าต่างที่เปิดอ้า พลันเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบที่อยู่ไกลออกไป ทิวทัศน์งดงามตรงหน้า กลับไร้ค่าเมื่อไม่อาจถูกผู้คนพบเห็น คนสารเลวผู้นั้นใจดำอำมหิตยิ่งนัก นางลุกขึ้น เดินไปยังเตียงนอนที่บัดนี้ถูกปูด้วยขนจิ้งจอกนุ่ม ดวงตาคู่งามแดงเรื่อ เรียกรอยยิ้มขมขื่นผุดพรายขึ้นมา ประเสริฐ...อย่างน้อยสถานะองค์หญิงแห่งเผ่าสวรรค์ก็ทำให้นางได้นอนเตียงนุ่ม หม่านหงมิอาจเข้าใจสาเหตุที่เขาให้นางมาพักยังสถานที่แห่งนี้ เพียงเพื่อเรียกความทรงจำอันเลวร้ายของนางหรือ เช่นนั้นก็ทำสำเร็จแล้ว เพียงแต่นางไม่มีทางยอมให้เขาได้เห็นความทุกข์ระทมบนใบหน้าเด็ดขาด ราวครึ่งก้านธูปจึงมีคนนำสำรับอาหารมาให้ เพียงหลับตาสูดดมอาหารตรงหน้า ก้อนบางอย่างก็พลันจุกถึงลำคอ นางลองคีบผัดถั่วงอกใส่ปาก รสชาติอันคุ้นเคยทำให้นางต้องรีบคายมันทิ้ง คราวนี้เขาทำสำเร็จแล้ว สามารถเรียกความทุกข์ระทมจากนางโดยไม่ต้องออกแรงให้มากเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายนางก็มิได้แตะต้องอาหารชุดนั้น บอกคนด้านนอกว่านางอยากกินซาลาเปา และอาศัยเก้าอี้ตัวเล็กเพื่อใช้หลับนอน นางไม่มีทางข่มตาหลับบนเตียงหลังนั้น หลังที่คร่าชีวิตนางไป หลังเดียวกับที่ฆ่าศักดิ์ศรีของนางไปด้วย เขายืนอยู่ตรงนั้น ใต้ต้นดอกเหมยที่มีแต่ใบ ร่างสูงโปร่งยืนตระหง่าน อาภรณ์สีดำปักดิ้นสีรุ้งลายเมฆา ศีรษะสวมเกี้ยวสีทอง เส้นผมสีดำเหลือบม่วงถูกกระแสลมบางเบาพัดพลิ้ว แวบแรกเพียงสบตาเขาเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีก็พลันเหือดหาย นางต้องตั้งสติให้มั่นคง กว่าจะปั้นสีหน้าเรียบเฉยเดินไปหาเขาได้ “ลั่วเซียงอยู่ที่ใด” “ไม่ทันได้ทักทาย องค์หญิงกลับถามหาคนสนิทเสียแล้ว” “ข้ามารับนางกลับ” “อ้อ...” เขามองหน้านาง ดวงตาสีเข้มราวกับบ่อลึกอันไร้ก้นบึ้ง “นึกว่ามารับอย่างอื่น” คำพูดของเขากวนตะกอนในอกของนาง หม่านหงช้อนสายตามองเขา มุมปากหยักยิ้มอ่อนหวาน “ฝ่าบาททรงคาดหวังสิ่งใดหรือเพคะ” ท่าทางยโสโอหังของนางทำให้แววตาของเยียนจิ่งแผ่ไอเย็นแวบหนึ่ง รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้ามิได้แผ่ไปยังดวงตาแต่อย่างใด “เจ้าจะได้พบกับนางก็ต่อเมื่อเราเสร็จธุระกันแล้ว” “หม่อมฉันไม่มีธุระอันใดกับฝ่าบาท” ดวงตาของนางแข็งกร้าว ยามนี้ไม่มีอะไรที่นางต้องกลัวอีกต่อใบแล้ว ใบหน้าเย็นชาของเขา แววตาเย็นชาของเขา ล้วนไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อนาง มีเพียงน้ำเสียงของเขาเท่านั้นที่ทำอะไรนางได้บ้าง ความผูกพันระหว่างเขาและนางเปราะบางเกินไป “องค์หญิงเพิ่งมาที่นี่ ให้ข้าพาไปชมเมืองดีหรือไม่” “ฝ่าบาทมีราชกิจมากมาย ไม่รบกวนดีกว่า” “เช่นนั้นข้าจะส่งคนของเจ้าไปสัมผัสกับความรื่นรมย์” น้ำเสียงแข็งกระด้างวางอำนาจจากเขาทำให้นางกำหมัดแน่น หม่านหงไม่อาจซ่อนความหวั่นไหวในแววตาได้อีกต่อไปแล้ว “อย่าทำอะไรนาง” นางไม่ยอมให้ลั่วเซียงต้องทนทุกข์ทรมานจากสิ่งที่นางเคยได้รับอย่างแน่นอน เยียนจิ่งยิ้มอย่างพอใจ “เชิญองค์หญิง” นางพยายามรักษาความสงบนิ่ง ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องพังทลายลงเพราะคำพูดต่อมาของเขา “ไปรับลูกข้าก่อนก็แล้วกัน” เขาเดินนำนางไปยังตำหนักหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของพื้นที่ทั้งหมด ครั้นไปถึงก็พลันพบว่าลี่กวงกำลังอุ้มทารกน้อย นางสาบานว่าเห็นแววตาสมใจของเขา ขณะเดียวกันในอกก็ยิ่งร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว เขาถึงกับ...ให้ลี่กวงดูแลลูกของนาง เสียงเล็กๆ ในอ้อมแขนของลี่กวงสะกดใจนาง หม่านหงก้าวเข้าหา ลี่กวงราวกับไร้สติ เพียงเห็นดวงหน้าเล็กๆ น่ารัก ปากเล็กเผยออ้า เหงือกสีชมพูเต็มไปด้วยน้ำลาย เสียงอ้อแอ้ของทารกน้อยทำให้หัวตาของนางร้อนผ่าว ร่างกายสั่นระริก “ฝ่าบาท” ลี่กวงเงยหน้าขึ้น พยายามจะลุกขึ้นทว่าเยียนจิ่งยกมือห้ามไว้ เขาหันมาพูดกับหม่านหง “มารดาของเขาตายไปแล้ว อนุของข้าจึงรับช่วงต่อ” เขาทำได้อย่างไร พูดราวกับว่าเรื่องการตายของนางเป็นเรื่องเล็กน้อย อ้อ...แท้จริงแล้วก็เรื่องเล็กน้อยๆ จริงๆ นั่นแหละ หม่านหงฝืนยิ้ม ซ่อนเร้นความรู้สึกจากสายตาของเขา “น่ารักน่าชังนัก” “อยากอุ้มหรือไม่” ไหล่ของนางสะท้าน “ข้าไม่เคยมีลูก ไม่เคยอุ้มเด็ก อย่าเลยดีกว่า” ยอดเยี่ยม...นางสามารถพูดได้โดยที่เสียงไม่สั่นเครือแล้ว ประกายเกรี้ยวกราดพาดผ่านดวงตาคม เยียนจิ่งเดินไปรับทารกน้อยเข้าสู่อ้อมอก กล่าวเสียงเรียบ “น่าเสียดายที่อีกไม่นานเขาก็จะตาย” หม่านหงลมหายใจสะดุด ฝืนยิ้มเยือกเย็น “เช่นนั้นเองหรือ” ไม่มีทาง นางไม่มีทางให้เขาได้เห็นน้ำตาของนางอย่างแน่นอน หากลูกของนางตาย นางก็จะตามเก็บดวงจิตเขาไว้ ใช้เถ้าถ่านของนางเพื่อปลุกชีพเขาขึ้นมาอีกครั้ง แท้จริงแล้วหัวใจของนางมิได้แข็งกระด้างปานนั้น เพียงคิดว่าทารกน้อยในอกของเขากำลังจะสิ้นลมหายใจ นางก็ไม่อาจทำเป็นไม่แยแสได้อีกต่อไป “เขาชื่ออะไร” ลี่กวงไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังเล่นอะไรกัน นางจึงตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “เยียน...” “ลี่เยียน” “ฝ่าบาท” ลี่กวงงุนงง ทว่ากลับถูกแววตาแข็งกระด้างสะกดไว้ นางจึงรีบหลุบตาลงต่ำ มิได้กล่าวอันใดอีก “เขาชื่อลี่เยียน” ฟังดูก็รู้ว่าเป็นชื่อเล่นของทารกน้อย อาจหาญให้นามอนุตัวเล็กๆ นำหน้าชื่อของจอมมาร ช่างรักใครเอ็นดูลี่กวงยิ่งนัก เขาทำถูกต้องแล้ว ลูกของนางถูกเหยียบย่ำด้วยชื่ออันต่ำต้อยของสตรีนางหนึ่ง... หม่านหงกำหมัดแน่น เหลือบมองลี่กวงสลับกับชายตรงหน้าแวบหนึ่ง ความคับแค้นสุมอกจนแทบกระอัก “ชื่อไพเราะนัก” นางก้าวถอยหลัง ขาทั้งสองข้างแทบจะไม่สามารถรองรับตัวนางได้ ที่ยังยืนหยัดอยู่ตอนนี้เป็นเพราะแรงโทสะล้วนๆ แม้แต่ชื่อยังพ้องชื่อเขากับสตรีนางนั้น ไม่หลงเหลือแม้แต่นามของผู้เป็นมารดา คนผู้นี้เลือดเย็นเกินไปแล้ว ราวกับเด็กคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไป สิ่งที่นางได้ยินทำให้นางสำนึกได้ว่าแท้จริงแล้วมารดาของเด็กคนนี้ตายไปแล้ว หม่านหงคนนั้นมิใช่นาง เป็นเพียงเสี้ยวดวงจิตหนึ่งที่จุติ ไม่มีเหตุผลอะไรที่นางจะต้องรับตัวเขากลับสวรรค์ ไม่มีเหตุผลอะไรที่นางจะต้องอยู่ให้เขาเหยียบย่ำน้ำใจ นางพยายามสูดหายใจลึก ฝืนยิ้มยินดี “น่าสงสารที่เขาอาจอยู่ได้ไม่นาน” “หากองค์หญิงเอ็นดูเด็กคนนี้ มิสู้ถ่ายทอดพลังเซียนให้กับเขาเพื่อรักษาชีพจรเขาไว้เล่า” คิดใช้ลูกเป็นเครื่องมือบังคับนางหรือ หม่านหงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ขอบังอาจถามฝ่าบาท สตรีนางนั้นมีความหมายอย่างไรกับฝ่าบาทเพคะ ลูกของนางจึงทำให้ฝ่าบาทสามารถแสดงความห่วงหาอาทร ผิดกับคำร่ำลือที่ว่าพระองค์โหดเหี้ยมไร้จิตใจได้” เยียนจิ่งมองหน้านาง ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อย ราวกับว่าจับพิรุธจากนางได้ เพียงฉับพลันก็แปรเปลี่ยนเป็นดวงตาว่างเปล่าเช่นเดิม “นางเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เพียงให้กำเนิดทารกคนแรกแก่ข้าเท่านั้น” “อ้อ” นางมิได้มีค่าอะไรเลย “เช่นนั้นพระองค์ก็ปล่อยให้ทารกนี้ตามมารดาของเขาไปเถิดเพคะ บุตรที่ไร้ความรักจากบิดามารดา ไม่อาจเติบโตอย่างโดดเดี่ยวได้” “เขายังมีลี่กวงคอยอบรมสั่งสอน” หม่านหงเลิกคิ้ว ให้คนทรยศนางนี้ดูแลลูกของนาง มิสู้ให้เขาตายไปเถิด อย่าให้ลูกของนางต้องเจ็บปวดเมื่อทราบความจริงว่ามารดาที่เลี้ยงเขามาเป็นคนเดียวกับที่หักหลังมารดาที่แท้จริงของเขาเลย “สรรพชีวิตล้วนสามารถแตกดับ หากเขาไร้วาสนา พระองค์ก็อย่าฝืนไปเลยเพคะ” หม่านหงรวบรวมเรี่ยวแรง มองเมินสายตาเย็นชาจากเขา กล่าวเสียงเรียบ “หม่อมฉันไม่สบาย ไม่รบกวนให้ฝ่าบาทพาเที่ยวแล้วเพคะ” นางหมุนตัวกลับ บังคับไม่ให้แผ่นหลังสั่นเทิ้ม “หากองค์หญิงไม่ช่วยเหลือโอรสของข้า เห็นทีว่าจะต้องใช้ตบะของเซียนน้อยผู้นั้นเสียแล้ว” นางสะบัดหน้ามองเขา ดวงตาแดงเรื่อราวกับจะเค้นโลหิตออกมาได้ ทว่ามิอาจยอมให้น้ำตาหลั่งรินต่อหน้าเขาเป็นอันขาด “สารเลว” ประเสริฐ นางกล้าด่าจักรพรรดิมารต่อหน้านางกำนัลและสตรีของเขา หากเป็นดังที่เล่าลือ เขาย่อมลงมือกับนางสักยกหนึ่ง ทว่าใบหน้าของเขากลับประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย “คำนี้ข้าได้ยินจนชาชิน องค์หญิงช่วยสรรหาคำใหม่ๆ มาบ้างเถิด” นางแค่นเสียง ยามนี้ไม่จำเป็นต้องปั้นสีหน้าสงบนิ่งได้อีกต่อไป แม้จะไร้คำพูด ทว่าความเงียบจากนางก็แทนคำตอบได้เป็นอย่างดี เยียนจิ่งมองตามแผ่นหลังบอบบางจนนางเดินออกไป แววตาเย็นชาเหลือบมองลี่กวง กล่าวเสียงเย็น “หากยังอยากมีลิ้นไว้พูด อย่ากระทำนอกเหนือคำสั่งข้า” ลี่กวงก้มศีรษะลง แผ่นหลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว นัยน์ตาคู่งามซ่อนความปวดร้าว “เพคะ” นางขยุ้มชายกระโปรง ถ่ายทอดความเจ็บปวดที่ได้รับจนยับย่น กระทั่งเขาเดินจากไปพร้อมกับทารกในอ้อมอก นางกำนัลคนสนิทจึงรีบเข้ามาประคองนางด้วยความเป็นห่วง “นายหญิง” หม่านหงหลบหลังพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง ซุกศีรษะลงกับเข่าพลางสะอื้นไห้อย่างเงียบงัน พึ่งสังวรไว้ว่าตัวนางมิได้เข้มแข็งสักนิด อีกทั้งยังอ่อนแอกว่าเดิมมากนัก เขากล้าเอาลูกนางมาเป็นข้อต่อรอง เอาคนสนิทที่นางรักเหมือนน้องสาวมาเป็นตัวประกัน ทำทุกทางเพื่อให้นางเจ็บปวด ราวกับว่าจนกว่านางจะยอมสูญเสียตัวตน เขาจะไม่มีทางรามือ “แม่นาง...เจ้ามาทำอะไรตรงนี้” เสียงนุ่มทุ้มของคนผู้หนึ่งดังขึ้น พานให้หม่านหงรีบเช็ดน้ำตา นางเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นว่าผู้ที่ถามนางเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาสวมอาภรณ์สีฟ้าคราม ใบหน้าสะอาดหมดจด ดูสูงส่งราวกับเทพเซียน ทว่ากลิ่นอายมารกลับเข้มข้นจนนางตัวชา เพียงเขาเดินเข้ามา กลีบบุปผาสีเลือดที่โปรยปรายไม่ขาดสายก็พลันค้างเติ่ง ราวกับว่าคนผู้นี้สามารถหยุดเวลาได้อย่างไรอย่างนั้น กว่าที่นางจะหาเสียงพบ อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาประชิด เขาย่อกายลงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาซับน้ำตาให้นาง หม่านหงผงะเล็กน้อย “ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงอยากช่วยคนงาม” เขายิ้ม นางรีบดึงผ้าเช็ดหน้าจากมือเขามาซับน้ำตาเอง กล่าวเสียงสั่น “ขอบคุณ” “เจ้าเป็นใคร” เขาถาม “ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน” นางนิ่งไปพักหนึ่ง คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนผู้นี้กับเยียนจิ่ง ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับผงะถอยหลัง ชี้หน้านางพร้อมกับกล่าวละล่ำละลัก “มะ...มิใช่ว่าเจ้าเป็นชายาของเยียนจิ่งหรอกนะ” ชายา? “ไม่ใช่!” หม่านหงลุกขึ้นกล่าวเสียงห้วน “ข้ามิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา” อีกฝ่ายเลียริมฝีปาก แววตากลับมากรุ้มกริ่ม “อ่า...นับว่าเจ้าโชคดีแล้ว” เขาลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เกาะอาภรณ์พลางขยับเข้าใกล้นาง “เช่นนั้นมาเป็นชายาของข้าดีหรือไม่”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม