ตอนที่ 4 ทารก
เวลาล่วงเลยไปนานเท่าใดแล้ว หม่านหงมิอาจนับได้ คราแรกนางพยายามจะจดจำมันไว้ เนื่องด้วยชายคนนั้นจะเข้ามาหานางเมื่อย่างเข้าสู่ยามราตรี ทว่าไม่รู้นานเท่าใด หลังจากที่นางมิได้ยืนหยัดขัดขืนเขาอีก เขากระทำอะไรกับนาง นางก็ตอบสนองอย่างที่ควรจะเป็น จากทุกครั้งที่เขาต้องสะกดเสียงร้องของนาง หลายเดือนมานี้กลับมิได้ทำเช่นนั้นอีกแล้ว หม่านหงไม่เคยถามเขาว่าเพราะเหตุใดคนผู้นี้จึงทำให้นางตาบอด เพราะหากเขาคิดพูด นางไม่จำเป็นต้องถาม หากนางถามในสิ่งที่เขาไม่อยากตอบ สิ่งที่ได้รับกลับคืนก็คือจุมพิตดุเดือดและจบลงที่เตียงนอน
เรื่องอาหารการกินกลับมิเคยขาดตกบกพร่อง นางเป็นมนุษย์ ย่อมต้องดื่มกินอาหาร แต่เดิมคิดว่าในแดนมารไม่มีอะไรที่นางกินได้ ทว่าแท้จริงแล้วที่นี่ก็มีอาหารเลิศรส
มีครั้งหนึ่งเขามากินข้าวกับนาง บอกว่าเนื้อในจานคือเนื้อมนุษย์ หลังจากนั้นมานางก็ไม่แตะต้องอาหารนับสิบวัน กระทั่งร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะป่วยไข้ ท้ายที่สุดแล้วบรรดาสาวใช้จึงบอกนางว่านั่นมิใช่เนื้อมนุษย์ หม่านหงยังหวาดระแวง พักหลังมาจึงกินแต่ผลไม้และผัก นั่นทำให้คนผู้นั้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่เขามาเยือน จำต้องบังคับให้นางกลืนเนื้อลงท้อง ป้อนนางจนอิ่มแปล้ หลังจากนั่งเงียบครู่ใหญ่ กระทั่งอาหารย่อยพอสมควรแล้ว เขาก็ลากนางขึ้นเตียง ค่อยๆ ปลดอาภรณ์ของนางออก แล้วร่วมรักกับนางจนรุ่งสาง
ช่วงวสันต์ช่างแสนสั้น ผ่านไปหลายเดือน เมื่อเขาทำราวกับว่าเสพติดนางจนนางไม่ระคายใจ เมื่อทุกคืนนางได้แต่นั่งรอคอยเขาอย่างสงบเสงี่ยม ราวกับภรรยาที่คอยปรนนิบัติสามี เมื่อนั้นนางจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวนางมิได้มีศักดิ์ศรีอันใดเลย
“แม่นาง...วันนี้นายท่านติดธุระเจ้าค่ะ”
“อืม ไปนอนเถอะ” นางตอบรับ เอนกายนอนอย่างเงียบเชียบ ได้ยินเพียงเสียงสวบสาบของผ้าและเสียงสาวใช้ปิดประตู
ราตรีที่สี่ ลี่กวงบอกว่านายท่านไม่ว่าง หม่านหงขานรับ พลันรู้สึกวูบโหวงในอก ราวกับว่าผิดหวังเสียใจ
ผิดหวังเสียใจ? นางน่ะหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร นางมิได้คิดอะไรกับคนไร้นามผู้นั้น ที่ยินยอมให้เขาข่มเหงรังแกก็เป็นเพราะนางต้องการชดใช้แทนท่านปู่ก็เท่านั้น
รุ่งเช้านางตื่นขึ้นมา บัดนี้นางทำอะไรเองได้แล้วจึงไม่ต้องรบกวนสาวใช้ ทว่าขณะที่กำลังล้างหน้า พลันได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หม่านหงชะงัก ได้ยินเสียงสตรีหลายคนบ่นพึมพำ
“นางคนนี้หรือที่ทำให้นายท่านไม่ไปหาพวกเรา”
“คนนี้แหละ เอ๊ะ! นางคนนี้ตาบอด มิใช่สตรีที่พวกบ่าวไพร่ลือกันนี่ ดูสินางมองไม่เห็นพวกเรา”
หม่านหงมือสั่น คลำหาผ้าเช็ดหน้า ค่อยๆ ซับใบหน้าอย่างเชื่องช้า พยายามทำให้จิตใจสงบ สตรีเหล่านี้ก็คือนางบำเรอคนเก่าของเขาอย่างนั้นหรือ
“นางคงจะเป็นใบ้ด้วยกระมัง”
“นายท่านนอนกับนางได้อย่างไร นอกจากใบหน้าแล้วไม่เห็นว่าจะมีอันใดดีไปกว่าพวกเราเลย”
ใครคนหนึ่งเคลื่อนเข้าใกล้หม่านหง นางขยับกายหนีโดยสัญชาตญาณ ได้ยินเสียงสูดจมูก กลิ่นหอมประหลาดลอยมา พลันสะท้านไปทั้งตัว “อา...กลิ่นของมนุษย์ เราไม่ได้ดื่มโลหิตของมนุษย์มานานเท่าใดแล้วนะ”
ดื่มโลหิต?
“อย่าเพิ่งทำอะไรนาง ประเดี๋ยวนายท่านจะมีโทสะ ว่าแต่เรือนของนางแพศยาลี่กวงอยู่ที่ใดกัน”
ลี่กวง?
นางลอบตระหนกในใจ ใช่ลี่กวงสาวใช้ของนางหรือไม่ ลี่กวงกับเขา...
ยามนี้กายของนางสั่นระริก พยายามข่มกลั้นรสชาติของการถูกทรยศเพื่อมิให้ผู้อื่นเห็นความน่าสมเพชของนาง สตรีเหล่านั้นหัวเราะเสียงแหลม เวลาต่อมาก็ซุบซิบกันเสียงค่อย “ไปกันเถอะ ถึงอย่างไรนางลี่กวงนั่นก็อยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว ได้โอกาสปีนขึ้นเตียงของนายท่านแต่ไม่ไปคารวะพวกเรา ต้องสั่งสอนให้สำนึก”
ฝีเท้าของเหล่าสตรีเดินไกลออกไป น้ำตาของหม่านหงพลันร่วงเผาะ นางสั่นสะท้านอย่างอดสู แท้จริงแล้วแม้แต่ลี่กวงเขาก็ยังไม่ละเว้นเลยหรือ
หลังจากที่นางเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้ สาวใช้นางนั้นก็แทบจะไม่เข้ามาหานาง มีบ้างที่ให้สาวใช้คนอื่นเข้ามาช่วยแทน แต่หม่านหงกลับคิดไม่ถึงว่าที่คนใกล้ชิดเพียงหนึ่งเดียวของนางจะเป็นนางบำเรออีกคนหนึ่งของเขา
เขาไม่เคยบอกนามแก่นาง สาวใช้เรียกเขาว่านายท่าน เรียกนางว่าแม่นาง แม้จะร่วมเรียงเคียงหมอนกันนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและนาง คล้ายกับนางคณิกาที่คอยปรนนิบัติเศรษฐีสักคน
ครั้งแรกที่ถูกแตะต้อง นางยังคงความเจ็บปวดอยู่มาก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดพลันแปรเปลี่ยนเป็นความรัญจวนใจอย่างหนึ่ง แม้ว่านางจะอยากปฏิเสธว่าสัมผัสนั้นมิได้ทำให้นางหวั่นไหว ทว่าแท้จริงแล้วนางกลับโหยหากลิ่นอายจากตัวเขา กระหายสัมผัสเร่าร้อนในยามกลางคืน กระหายอ้อมกอดอุ่นที่คอยโอบประคองนางก่อนนอน
นางเพิ่งรู้ว่าตนเองกลายเป็นสตรีไร้ยางอายไปเสียแล้ว
วันคืนผันผ่าน เขาเริ่มห่างเหินไปเรื่อยๆ นางทำได้เพียงเฝ้ารอ ราวกับขอทานที่รอคอยเศษอาหารจากผู้มีเมตตา สองสามคืนเขาถึงกลับมา บางคราก็หายไปนับสิบคืน บ่าวที่รับใช้นางบอกว่าเขารับสตรีคนใหม่เข้ามา ยามนั้นนางไม่รู้จะกล่าวอะไร ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้ม สมเพชตนเองจนไม่รู้จะทำเช่นไรดี
แท้จริงแล้วสตรีนางนั้นกลับอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวนางเลย
นางลืมเป้าหมายของเขาไปแล้ว สุดท้ายหลงลืมสถานะของตน เขาเพียงต้องการย่ำยีนางให้ท่านปู่ช้ำใจ มิได้มีความรู้สึกดีๆ ให้นางเลยแม้แต่น้อย ที่เลี้ยงดูนางอย่างดีก็เพื่อมิให้นางตายเพียงเท่านั้น ความอ่อนโยนที่นางสัมผัส อาจมิใช่สิ่งที่มาจากหัวใจเขา
สำหรับหม่านหงแล้ว ในโลกมืดมิดแห่งนี้ ไม่อาจเห็นว่าเขาทำสีหน้าเช่นไร นางจึงตระหนักได้ว่า แม้จะไม่ต้องแย่งชิงบุรุษกับเทพบรรพกาล หรือแย่งชิงจักรพรรดิมารกับเหล่าสนมของเขา ท้ายที่สุดยังต้องมาพบเจอกับบุรุษที่มีสตรีข้างกายมากมายอยู่ดี
นางนอนหลับ ครั้งนี้ฝันยาวนานกว่าปกติ ในฝันมีใครคนหนึ่งกำลังเรียกหานาง เรียกนามของนางอย่างที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว
หม่านหง...
เสียงเรียกดังซ้ำๆ ให้นางวิ่งวนหา ในป่าที่มีใบไม้หลากสีสัน ข้างทะเลสาบที่ใสดุจกระจกเงา เสียเล็กน่ารักน่าเอ็นดู กลับมองไม่เห็นตัวคนเรียก นางวิ่งตามหาเสียงนั้นจนเหนื่อย เหนื่อยจนล้มลงบนพื้นดิน
“เฮือก!”
“แม่นางฟื้นแล้ว” เสียงของลี่กวง
“อา...ฟื้นมาทันฟังข่าวดีพอดี ยินดีด้วยแม่นาง เจ้าตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว”
ยินดี? นางควรจะยินดีหรือ?
ในใจบังเกิดความกลัวจนสั่นสะท้าน
มนุษย์ตั้งครรภ์กับมาร นางไม่เคยคิดฝันมาก่อน
นางไม่ทราบวิธีคุมกำเนิด ไม่เคยต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ จำความได้ก็ถูกส่งเข้าสำนักเซียนแล้ว ทว่ายามนี้แม้จะปกป้องดูแลลูกในท้องนางก็ยังทำไม่ได้
ไม่นานนักเขาก็ทราบข่าวที่นางตั้งครรภ์ สองสามวันให้หลังเขามาเยี่ยม ทว่ามิได้แตะต้องนางแต่อย่างใด มีเพียงประโยคเดียวที่ทิ้งไว้ “รักษาร่างกายให้ดี”
นางแย้มยิ้มตอบรับ มิได้กล่าวอะไร ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ครรภ์ของนางเริ่มนูนออกมาแล้ว ยามนี้สติของนางมิได้แจ่มชัดดังเดิม มีทั้งความโศกเศร้าที่ไม่รู้มาจากที่ใด มีทั้งความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมิอาจทราบได้ เย็นวันหนึ่งเขาเข้ามาหานาง บอกกับนางว่าต้องเอาทารกออก
ประเสริฐ! ลูกเขาเองเขายังไม่รัก...แล้วนางมีสิทธิ์อะไรเรียกร้องเล่า นางคิดถึงบรรดาลูกอนุที่ท่านพ่อเลี้ยงดู ต่างก็ต้องตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า นางเป็นเพียงนางบำเรอ ลูกของนางแม้แต่ลูกอนุก็ยังมิใช่ คิดอยู่ทั้งคืน ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ คืนถัดมานางลูบท้องของตน เอ่ยเสียงสั่นพร้อมกับหลั่งน้ำตา “ลูกแม่...ชาตินี้เรามิอาจอยู่ร่วมกันได้ ขอให้เจ้าได้เกิดมาเมื่อแม่กลับสู่เก้าชั้นฟ้าเถิด”
เคราะห์ดีที่เขามิได้ทำลายตบะเซียนอันน้อยนิดของนาง
ค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่สาวใช้คนใหม่กลับไปนอน หม่านหงคิดรวมปราณเซียน พลังเซียนสามารถทำลายพลังมารได้ ทั้งสองต่างเป็นดาวข่มกันและกัน ในเมื่อคนผู้นั้นไม่ต้องการลูก นางก็จะกำจัดลูกเสีย อย่าได้ให้เด็กคนนั้นเกิดมาชอกช้ำเช่นนางเลย
พลังเซียนถูกเร่งเร้าจนฝ่ามือร้อนรุ่ม หม่านหงกำหมัดกระแทกลงบนท้องน้อย กลั้นหายใจเพื่อเตรียมรับมือกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ทว่ามือกลับถูกใครคนหนึ่งคว้าเอาไว้ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทำให้นางชาวาบ ราวกับถูกน้ำเย็นราดศีรษะ “คิดจะฆ่าตัวตายหรือ ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก”
หม่านหงสับสนกับสิ่งที่เขาทำ นางพยายามอธิบายว่าเพียงแค่ต้องการกำจัดเด็กในครรภ์
หลังจากนั้นเขาจึงมาเยี่ยมเยียนนางบ้าง ลูบท้องนางบ้าง ทำราวกับว่าก่อนหน้านี้มิได้ทำร้ายจิตใจนางแม้แต่น้อย ต่อหน้าเขานางมิได้หลั่งน้ำตา กระทั่งตอนที่เขาจากไปจึงได้แต่ตัวสั่นเทิ้ม ไม่เข้าใจความคิดของบุรุษผู้นี้ ผ่านไปครบสิบสองเดือน คืนหนึ่งนางปวดท้องอย่างหนัก บ่าวรับใช้พากันวิ่งอย่างโกลาหล เสียงของผู้คนมากมายที่รายล้อมนางล้วนตื่นตระหนก มือเย็นเฉียบของใครคนหนึ่งจับมือของนางไว้ นางเข้าใจว่าคนผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ น่าแปลกนักที่บ่าวรับใช้คนนี้กลับมิได้เอ่ยอะไร
นางกรีดร้องโหยหวน ความปวดร้าวมากเกินกว่าที่ตนเองจะรับไหวทำให้นางหายใจติดขัด เสียงคล้ายกระดูกสันหลังของนางเคลื่อน ทรมานจนแทบขาดใจ มือข้างหนึ่งของนางยกไม่ขึ้น ได้ยินเสียงร้อนรนของใครสักคน “เป็นเด็กผู้ชาย แต่แข็งแรงมาก แม่นางกระดูกหักไปแล้ว หากไม่รีบจัดการนางจะต้องตาย”
ตาย?
“นางเสียเลือดมาก หากเด็กรอดนางจะตาย ทำอย่างไรดี”
นางไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว หูของนางอื้ออึง ลมหายใจแผ่วหวิว ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับนาง หม่านหงบีบมือข้างนั้นแน่นขึ้น รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกล่าวว่า “รักษาลูกข้าไว้”
นางเบ่งสุดแรง ความปวดร้าวทำให้นางชาไปทั้งตัว คล้ายกับได้ยินเสียงร้องของทารกดังขึ้น เพียงชั่วแวบเดียวก็รู้สึกถึงแรงบีบที่มือ ใครคนหนึ่งกระซิบข้างหูนาง “หม่านหง”
เขาหรือ?
นางอยากตอบรับเสียงนั้น ทว่าตัวของนางเบาหวิว คล้ายกับหัวใจที่เคยแห้งผากกลับมาเต้นแรงอยางไม่รักดี ทว่าแท้จริงแล้วนางในยามนี้มิอาจตอบใครคนนั้นได้อีก
ความเจ็บปวดผ่านพ้นไปราวกับไม่เคยปรากฏ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งพลันพบว่าตอนนี้นางอยู่บนสะพานไน่เหอ
หม่านหงมองรอบทิศ ข้างกายนางคือยมทูตขาวดำ พวกเขายืนขนาบข้างนาง ก้มศีรษะให้เล็กน้อยอย่างสุภาพ “ได้เวลากลับสวรรค์แล้วองค์หญิงหม่านหง”