บทที่1.2

1806 คำ
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด เมื่อพรูออกแล้วจึงขยับกล้องไปยังทิศทางเดียวกันกับสายตา พลันนั้นริมฝีปากก็กล่าวดำเนินรายการ “ทางเข้ามีรั้วหนามขึงถี่และสูงมากค่ะ เสี้ยวดูแล้วมันไม่มีทางเข้าอื่นเลย ก่อนหน้านี้คนอื่นเขาเข้าทางไหนกันอะ หรือว่าเสี้ยวจะต้อง...” ใช้เวลาครึ่งนาทีสำหรับการใคร่ครวญ สุดท้ายคำตอบก็เด่นหรากลางหน้าผาก “มาค่ะ เพื่อเพื่อน ๆ ที่ดูคลิปของเสี้ยว เสี้ยวจะใช้คีมตัดลวดพวกนี้แล้วเข้าไปค่ะ แต่ว่า...หลังจากนี้เสี้ยวจะโดนหน่วยงานมาลากตัวเข้าซังเตไหมก็ไม่รู้น้า ยังไงฝากเพื่อน ๆ ช่วยกดไลก์ กดแชร์ และคอมเมนต์เป็นกำลังใจเสี้ยวด้วยนะคะ” สำหรับยูทูบเบอร์แล้ว อะไรก็ไม่อร่อยเท่ายอดเอนเกจเมนต์หรอกนะคะจะบอกให้ จบประโยคนั้น ฉันปล่อยกล้องที่คล้องติดกับสายคล้องคอลงชั่วคราว ก่อนดึงเป้มาไว้ด้านหน้า ล้วงเอาคีมตัดเหล็กที่พกติดกระเป๋าเผื่อกรณีฉุกเฉินออกมา เนื่องจากรั้วทำด้วยเส้นลวดที่ค่อนข้างหนา ฉันจึงใช้สองมือง้างคีมสุดแรงเกิด ก่อนออกแรงจนเนื้อตัวสั่นเทาเพื่อให้ความคมและแข็งแรงของมันตัดฉับลงบนเส้นลวดดังกล่าว ทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จ ฉันสามารถแหวกรอยขาดของลวดเป็นช่องว่างเพียงพอให้เอาตัวเข้าไปด้านในได้ กระหยิ่มยิ้มย่องชื่นชมผลงานครู่เดียวก็รีบยัดคีมตัดเหล็กใส่เป้ ก่อนสอดตัวผ่านช่องว่างที่ตัวเองเป็นคนสร้าง แต่แล้ว ฉันจำต้องเปลี่ยนมาคุ้ยหาไฟฉายเป็นลำดับต่อมาเมื่อสัมผัสได้ว่าแสงสว่างจากที่เคยเป็นสีส้มเข้มค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจนมัวมืดอย่างรวดเร็ว...เหลือเพียงปลายแสงเล็ก ๆ จากดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าเท่านั้น ชั่วอึดใจเดียวความมืดก็โรยตัวปกคลุมโดยสมบูรณ์ ทัศวิสัยจากที่ดูธรรมดาก็คล้ายขมุกขมัวอย่างประหลาด ฉันเปิดไฟฉายและสาดแสงสว่างไปรอบทิศ มืออีกข้างยกกล้องขึ้นบันทึกภาพตามสัญชาตญาณ พร้อมกับสองเท้าที่ค่อย ๆ ย่ำเหยียบบนพื้นดินซึ่งมีลักษณะฉ่ำชื้นเล็กน้อย “เสี้ยวเข้ามาด้านในแล้วนะคะ เพื่อน ๆ ดูดิ นี่เพิ่งหกโมงนิด ๆ เอง แต่มืดเหมือนหนึ่งทุ่มเลย ลักษณะของพืชที่นี่จะขึ้นเรียง ๆ กันไม่ได้ถี่มากเนอะ แต้ต้นไม้โคตรใหญ่ เดาว่าแต่ละต้นน่าจะอายุไม่ต่ำกว่าร้อยหรือสองร้อยปีแน่” ฉันพูดกับกล้องเสมือนมันเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียว น้ำเสียงที่ใช้ค่อนข้างจริงจัง เพราะช่วงแรก ๆ หลังเข้าวงการ ฉันโดนฟีดแบ็กในทางลบว่าติดตลกเกินไป ดูอยากรู้อยากเห็นและสนุกสนานแทนที่จะหวาดหวั่นสั่นผวา ข้อเสียนั้นส่งผลให้อารมณ์ร่วมของคนดูลดน้อยตามไปด้วย ดังนั้นฉันจึงกดอาการคลั่งไคล้ ลิงโลด ตาลุกวาว แม้กระทั่งรอยยิ้มที่อาจส่งผ่านน้ำเสียงลงครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ผู้เสพคล้อยตามไปกับคอนเทนต์สุดสยองขวัญนี้ คลิปโคตรเรียล แต่เจ้าของช่องหัวเราะร่า วิ่งเข้าใส่เงาดำหรือทิศทางของเสียง...คนดูคงคิดว่าฉันบ้าแน่นอน ฉันยังคงก้าวย่างไปเบื้องหน้าอย่างเนิบช้า บางก้าวไร้สุ้มเสียงราวกับกายหยาบกลายเป็นปุยนุ่น ทว่าบางก้าวกลับมีเสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้งเหี่ยวที่ถูกฉันเหยียบ เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วทิศทั่วทาง มากพอจะทำให้ใจสั่นระทึกด้วยความตื่นเต้น ฉันเม้มริมฝีปากที่เพิ่งผุดยิ้มเบาบาง พลางย่ำย่างสู่ปริศนาที่แทรกซึมอยู่ทั่วสารทิศ สองตากวาดมองความแปลกใหม่ที่ห้อมล้อมตนเองอย่างสงสัยใคร่รู้ ทั้งต้นไม้ขนาดสิบคนโอบและความสูงที่แหงนขึ้นมองจนปวดคอ พืชรูปทรงผอมบางที่มีลักษณะคล้ายรากไม้ทว่าไม่ได้พุ่งลงดินแต่กลับแหงนขึ้นฟ้า พืชพรรณที่เหมือนจะอุดมสมบูรณ์แต่หลายต้นกลับเหลือเพียงกิ่งก้าน ไหนจะริ้วหมอกบางเบาที่ก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีปีมีขลุ่ยนี่อีก บรรยากาศไม่เหมือนอยู่ในประเทศไทยด้วยซ้ำ แต่เหมือนหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งยังไงยังงั้น แปลกมาก... ทว่าเป็นความแปลกที่สวยงามเกินพรรณนา เป็นความประหลาดชวนให้ลิ้มลองค้นหา เป็นความพิลึกพิลั่นที่ทำเอาหัวใจดวงนี้สั่นสะท้านกระทบอกอย่างบ้าคลั่งรุนแรง ไม่รู้ว่าทั้งหมดทั้งหมดที่ปรากฏสู่สายตา ณ ตอนนี้คืออะไร แต่น่าตื่นเต้นเป็นบ้า... เกินต้านไม่ไหว! พรึ่บ ขณะแพลนกล้องเก็บความพิศวงเหล่านั้นอย่างละเอียดละออ หูพลันได้ยินเหมือนมีบางสิ่งล้มฟุบจนเกิดแรงสั่นสะเทือน ฉันขยับกล้องไปตามเสียงอย่างไม่รอช้า พร้อมกับสองเท้าที่มุ่งหน้าตามหาต้นตออย่างไม่กลัวตาย ตั้งแต่พาตัวเองเข้ามาที่นี่...นอกจากเสียงจิ้งหรีดเรไร เสียงพรึบเมื่อครู่นี้เป็นอีกหนึ่งเสียงที่อาจชี้ชัดว่าในป่าแห่งนี้ไม่ได้มีแค่ฉันเพียงคนเดียว และเป็นอย่างที่คิด เพราะใช้เวลาไม่นาน...ฉันก็พบเจอสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากตัวเองและเจ้าแมลงนับร้อยที่ส่งเสียงร้องสนั่นป่าจนได้ ไกลออกไปประมาณห้าก้าว ฉันเห็นกองผ้าสีดำวางราบอยู่กับพื้น ครั้นขยับเท้าเข้าไปใกล้ถึงค้นพบว่าบนกองผ้าดังกล่าวมีอีกาสีดำทะมึนนอนหายใจรวยรินอย่างน่าสงสาร บริเวณปีกซ้ายมีบาดแผลขนาดเท่านิ้วโป้ง เลือดข้นคาวไหลซึมไม่ขาดสาย เป็นภาพที่เมื่อได้มองแล้วยากจะไม่เห็นใจ ดูจากแผลแล้วน้องไม่น่าโดนสัตว์ตัวอื่นกัดมาแน่ ดูยังไงก็เหมือนถูกอาวุธของคนเล่นงานมากกว่า ความเห็นอกเห็นใจออกคำสั่งให้ฉันย่อตัวลงนั่งพลางเอ่ยถามว่า “ทำไมสภาพแกเป็นงี้ล่ะ เจ้านกน้อย?” ทั้งที่รู้ดีเต็มอกว่ามันไม่สามารถโต้ตอบเป็นคำพูดได้ ปฏิกิริยาของเจ้าสัตว์ปีกชนิดนี้ที่ดูจะมีขนาดใหญ่กว่าสายพันธุ์เดียวกันคือใช้ลูกกะตาสีดำขลับสุดลึกลับจับจ้องฉัน เหมือนกำลังสื่อสารบางอย่างผ่านการกระทำนั้น ตามสัญชาตญาณของสัตว์ น้อยที่เมื่อเห็นมนุษย์แล้วจะอ้อนวอนขอให้ช่วยหากจนตรอก บางชนิดขู่ฟ่อ ยอมใช้พิษซึ่งเปรียบดั่งทองคำล้ำค่าโจมตีเพื่อให้หนีห่าง บางชนิดไม่เข้าใจเจตนาจะตะเกียกตะกายหนีหายด้วยสังขารยับเยิน บางชนิดหมดหนทางแล้ว แม้มองว่ามนุษย์เป็นภัยกับตนเองแต่ก็ไม่มีแรงพอจะต่อกร ซึ่งฉันคิดว่าอีกาตัวนี้...ที่ดูไปดูมาคล้ายเรเวน*[1]มากกว่า คงจัดอยู่ในประเภทหลัง ไม่รอให้เสียเวลา ฉันจัดการโอบมันขึ้นมาแนบอก แม้ลำตัวของมันจะมีความยาวราว ๆ ห้าสิบถึงหกสิบเซนติเมตร และคาดเดาว่าน้ำหนักประมาณหนึ่งกิโลกรัม แต่เมื่อขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของฉันอย่างน่าสงสาร...มันก็เป็นได้แค่เจ้าตัวเล็กตัวหนึ่งเท่านั้น “ในเป้มีอุปกรณ์ทำแผล เดี๋ยวพี่ช่วยทำแผลให้นะน้อง อย่าเพิ่งตาย ฮึบเข้าไว้” ฉันก้มมองอีกาในอ้อมแขนที่แม้ร่างกายจะอ่อนปวกเปียก ทว่าดวงตาดำขลับคู่นั้นกลับจับจ้องกันอย่างเงียบงัน ไม่เคลื่อนหนี ไม่หลบเลี่ยง...ตอกตรึงกันเนิ่นนานราวกับจะกลืนกินเมื่อสบโอกาส แม้นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าขนลุก ทว่าสิ่งที่ฉันหยิบยื่นให้กลับเป็นรอยยิ้มละมุนละไม หาได้กลัวเกรงแต่อย่างใด เห็นเพื่อนร่วมโลกใกล้ตายอยู่ตรงหน้า จะเป็นงูพิษ หรือแม้กระทั่งสัตว์กินเนื้ออย่างเสือ ฉันก็ไม่อาจเพิกเฉยโดยเอาความอันตรายของมันมาเป็นเหตุผลได้ ฉันถูกลุงที่ตายไปเมื่อยี่สิบปีก่อนเสี้ยมสอนมาอย่างนั้น เพราะแบบนั้นละมั้ง ชีวิตของฉันจึงพัวพันกับสิ่งไม่เหมาะไม่ควรมาตั้งแต่เด็ก จนเพื่อนบ้านและคนรู้จักต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉันคือเด็กประหลาด คือแม่เหล็กดึงดูดสิ่งอัปมงคล และด้วยเหตุผลเดียวกัน ส่งผลให้ครึ่งค่อนชีวิต...ฉันไม่มีเพื่อนสนิทที่เป็นคนเลยแม้แต่คนเดียว บ้างหวาดกลัว บ้างถอยห่างเพราะคิดว่าฉันเป็นพวกจิตไม่ปกติ ยกตัวอย่างสมัยประถม จำได้ว่าช่วงพักกลางวันฉันบังเอิญเจองูแสงอาทิตย์[2]ถูกตีจนหลังแบะข้างห้องน้ำหญิง เพราะสงสารที่มันไม่มีแม้แต่แรงจะเลื้อยหนี ฉันจึงสละถุงเท้าหนึ่งข้างเพื่อให้มันอาศัยอยู่ในนั้นชั่วคราว ตั้งใจจะพาไปหาหมอตอนเลิกเรียน ทว่าเมื่อเพื่อน ๆ มาเห็นเข้ากลับพากรี๊ดสนั่น ทั้งที่ยืนกรานจนปากเปียกปากแฉะว่าเจ้าตัวน่าสงสารนั่นพิษอ่อนไม่เป็นอันตรายก็หาได้ฟัง เดือดร้อนจนคุณครูต้องโทร.หาป้า สุดท้ายท่านเลยพาฉันกลับบ้านอย่างไม่มีทางเลือก แต่เพราะป้าเป็นอีกคนที่เข้าใจฉัน แม้ขี้บ่นและมีนิสัยหวาดระแวงอยู่บ้าง ทว่าท่านก็ยอมจูงมือฉันไปโรงพยาบาลสัตว์ ส่งน้องงูตัวนั้นถึงมือหมอ “เอาล่ะ ตรงนี้น่าจะโอเค” ฉันมองหาจุดที่จะพาเจ้านกน้อยไปทำแผล และพลันพบว่าไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุมีต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งทั้งสูงใหญ่และโดดเด่นเหมาะแก่การนั่งพักพิง...จึงไม่รอช้า รีบพาสัตว์ปีกใกล้ตายในอ้อมแขนตนเองไปยังจุดดังกล่าว “นอนนี่แป๊บนะ” ฉันวางเพื่อนใหม่ไว้บนพื้นข้างต้นไม้ยักษ์ ส่วนตัวเองนั่งลงในท่าคุกเข่า ตามด้วยนำไฟฉายวางไว้ใกล้ ๆ เพื่อให้แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางความมืดยามพลบค่ำทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพ ให้ตาย... เพิ่งหกโมงสิบนาทีแท้ ๆ ทำไมถึงมืดจนปรับสายตาให้คุ้นชินได้ยากลำบากแบบนี้ก็ไม่รู้ [1] เรเวน = นกชนิดหนึ่งมีลักษณะเหมือนกาแต่ตัวใหญ่กว่า เป็นสัตว์ปีกในวงศ์กา [2] งูแสงอาทิตย์ = เป็นงูไม่มีพิษ เชื่องช้า มักจะหมอบอยู่นิ่ง ๆ ตอนเจอมนุษย์ ลำตัวยาวประมาณ 120 เซนติเมตร มีสีดำถึงน้ำตาลเข้ม ส่วนท้องสีขาว เกล็ดเงาวับแวววาวยามสะท้อนแสงแดด พบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม