บทที่ 2 ฮีโรของต้องรัก - 4

1351 คำ
เพราะใกล้สว่างแล้ว เวลานี้ผู้คนแถวบ้านคงตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันกันแล้วเป็นแน่ เธอให้หยุดรถตรงนี้เสียดีกว่าที่จะต้องไปรบรากับสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนบ้านที่คงมองมาทางหน้าบ้านเธอเป็นตาเดียว ชุมชนหลังวัดคือละแวกบ้านที่ต้องรักอาศัยอยู่ เป็นชุมชนขนาดกลางที่มีบ้านหลังเล็กปลูกติดๆ กันรวมแล้วกว่าร้อยหลังคาเรือน ลักษณะเป็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ พื้นที่ด้านข้างมีพอแค่ให้วางราวตากผ้าได้เท่านั้น ส่วนด้านหน้าติดกับถนน ประตูบ้านส่วนใหญ่เป็นประตูไม้ธรรมดา เมื่อเปิดประตูออกมาก็จะเป็นพื้นที่บาทวิถีเล็กน้อยไร้สิ่งกำบัง ฉะนั้นหากเขาขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน ไม่แคล้วว่าคนแถวนั้นคงได้เห็นแล้วเอาไปพูดกันสนุกปากเป็นแน่ “ตรงนี้เลยใช่ไหมครับ” ชัชวาลชะลอรถพลางถามหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลังพร้อมกับมองหน้าเธอผ่านกระจก ทว่ายังไม่ทันที่ต้องรักจะตอบรับออกไป เสียงราบเรียบติดจะเย็นชาของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ขับเข้าไปข้างใน” ชนาธิปสั่งสั้นๆ ชัชวาลจึงเคลื่อนรถต่อไปโดยผ่านจุดที่หญิงสาวบอกให้จอด ต้องรักเหลือบมองเจ้าของคำสั่งอย่างหวาดๆ เพราะน้ำเสียงของเขาเมื่อครู่นั้นเหมือนเจือความไม่พอใจแทรกซึมอยู่ด้วย ตาสองคู่สบกันราวกับตั้งใจ เพราะทันทีที่เธอหันไปก็เห็นเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่สายตาคมดุนั้นจะมองต่ำเลยไปยังข้อเท้าของเธอ เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็รู้แล้วว่าเขาไม่ประสงค์จะให้เธอเดินเข้าซอยไปทั้งที่ขายังคงเจ็บอยู่ จะว่าไปแล้ว ถ้าให้เลือกระหว่างการทนเจ็บ แต่ไม่ต้องโดนสายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้าน กับการที่นั่งรถหรูไปจอดถึงหน้าประตูสบายๆ พร้อมกับการถูกเอาไปนินทาทั่วทั้งซอยในระยะเวลาไม่นาน เธอขอเลือกอย่างแรกโดยไม่ลังเลสักนิด แต่เธอจะพูดอะไรได้เล่า แค่ทำท่าจะอ้าปากค้าน เขาก็ตวัดสายตามาห้ามแล้ว “จอดหน้าบ้านที่มีเก้าอี้ม้าหินนั่นน่ะค่ะ บ้านของรักเอง” ประโยคหลังต้องรักหันไปมองชนาธิปราวกับต้องการรายงานให้เขารับทราบ ชายหนุ่มหันมองหน้าเธอเพียงนิดก่อนจะมองไปยังบ้านหลังที่เธอบอก กระทั่งรถเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าประตูบ้านเป็นที่เรียบร้อย ชัชวาลจึงปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถไปเปิดประตูให้หญิงสาวก้าวลงมา มืออุ่นร้อนของเขาตบเบาๆ ที่หัวเข่าของหญิงสาวแทนการบอกลา ก่อนจะชักมือกลับไปวางไว้ที่ตักของตน ต้องรักยกมือไหว้ลาเขาแล้วค่อยๆ ก้าวขาลงจากรถ พยายามอย่างยิ่งที่จะเดินให้มั่นคงที่สุดจนสามารถเดินอ้อมหลังรถมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเองได้สำเร็จ กระจกรถสะท้อนแต่เงาของเธอเอง เธอไม่สามารถมองเห็นชายหนุ่มที่นั่งเคียงคู่มากับเธอได้แม้แต่น้อย แต่เธอก็รู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังมองมาที่เธออยู่แน่นอน นัยน์ตาคู่สวยมองเงาของตัวเองที่สะท้อนออกมาพร้อมกับคลี่ยิ้มให้คนที่นั่งอยู่หลังเงานั้น แม้จะเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เธอก็เดาได้ว่าเบื้องหลังกระจกติดฟิล์มดำนี้คงมีเพียงใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึก แต่สายตานั้นอบอุ่นเกินใคร รถคันหรูเคลื่อนผ่านหน้าบ้านของเธอไป ต้องรักยืนมองส่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเห็นแต่ไฟท้ายสีแดงอยู่ไกลลิบๆ จึงหมุนตัวกลับเข้าบ้าน มือควานหากุญแจในกระเป๋าเพื่อไขประตู ทำทีเป็นไม่สนใจสายตาของหญิงแก่บ้านตรงข้ามที่กำลังเตรียมตัวเข็นรถไปขายหมูปิ้งที่ตลาดหน้าวัด เมื่อก้าวขาเข้าบ้านได้เธอก็ปิดประตูทันที ต้องรักถึงกับผงะเมื่อเห็นสภาพภายในบ้าน ข้าวของระเนระนาดเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นราวกับเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆ เก้าอี้สำหรับนั่งรับประทานอาหารกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง มีเศษแก้วเกลื่อนพื้นตรงบันไดขึ้นชั้นสอง สิ่งแรกที่ต้องรักนึกถึงในยามนี้ก็คือมารดาที่นอนป่วยอยู่ข้างบน! “แม่!” หญิงสาวกัดฟันลืมความเจ็บ ค่อยๆ พาร่างของตัวเองกะเผลกขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้านโดยไม่ได้ถอดรองเท้าเพราะเกรงว่าจะเผลอเหยียบเศษแก้วเข้า เมื่อขึ้นไปได้เธอก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตนทันที ตั้งแต่มารดาป่วย พ่อเลี้ยงก็ไล่ให้มารดามานอนห้องเดียวกับเธอโดยอ้างว่าเพื่อความสะดวกในการดูแล ซึ่งเธอก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเผื่อมารดามีไข้ขึ้นมาจะได้ดูแลกันได้ทันท่วงที อีกทั้งเป็นข้อดีในการดูแลตัวเธอเองด้วย โชคดีที่ดิลก พ่อเลี้ยงของเธอนั้นยังเห็นแก่หน้าเมียตัวเองบ้าง จึงไม่ทำอะไรรุ่มร่ามกับเธอต่อหน้าท่าน แม้ว่าลับหลังเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ลวนลามเธอก็ตาม “แม่เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า มันทำอะไรแม่ไหม” ต้องรักรีบเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงที่มารดากำลังนอนหันหลังให้อยู่ คนถูกถามหันมาหาบุตรสาวพร้อมกับส่ายหน้าให้เล็กน้อย ต้องรักจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟให้สว่างขึ้น “มันไม่ได้ทำอะไรแม่หรอก มันเข้ามาแล้วไม่เห็นรักกลับมาสักทีก็เลยโมโหพาลเขวี้ยงนั่นโยนนี่ไปเรื่อย สงสัยมันจะเอาตังค์กับรักนั่นแหละ” มารดาหยุดพูดไปชั่วครู่ มือผอมเกร็งยกขึ้นเกาะกุมใบหน้าของบุตรสาวพลางลูบเบาๆ “รักไปอยู่ที่อื่นเถอะลูก ไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่อยู่ได้ หลกมันไม่กล้าทำอะไรแม่หรอก” ตนหมายความอย่างที่พูด ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าสามีพยายามคิดหาทางรวบหัวรวบหางต้องรักมาหลายครั้งหลายครา แต่ตนทำได้ก็แค่ปรามและขอร้องเท่านั้น แม้เคยคิดว่าจะพากันหนีไปอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูก แต่ดิลกก็ขู่เอาไว้ว่าถ้าหากตามเจอเมื่อไรจะฆ่าทิ้งทันที อีกทั้งยังจะให้คนของเสี่ยหาญมาเอาตัวต้องรักไปอยู่ที่ร้านคาราโอเกะด้วย ดิลกเป็นคนของเสี่ยหาญ ซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ของคนในละแวกนี้ และยังเป็นเจ้าของร้านคาราโอเกะที่มีการขายบริการอย่างลับๆ คนในซอยต่างรู้กันทั่วไม่เว้นแม้แต่ตำรวจท้องที่ที่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทุกคนจึงเกรงกลัวเสี่ยหาญด้วยกันทั้งนั้น ทำให้ตนไม่กล้าพาต้องรักหนีไปอยู่ที่ไหนเพราะกลัวคำขู่ของดิลก “แม่ก็รู้ว่ารักทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้ารักจะไปก็ต้องพาแม่ไปด้วย เอางี้นะแม่ ขอเวลารักสองวัน ให้รักหาห้องเช่าถูกๆ แถวที่ทำงานรักก่อนนะ แล้วเราค่อยย้ายไปอยู่ที่นั่นกันดีไหมแม่” ต้องรักตาเป็นประกายเมื่อมารดาพูดถึงเรื่องการออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอคิดเอาไว้นานแล้วแต่ติดที่มารดาไม่เคยยอมปริปากว่าจะไปอยู่ด้วยเลยสักครั้ง “ตามใจรักเถอะ” มารดากัดฟันพูดอย่างเหนื่อยล้า แต่เพื่อให้บุตรสาวคลายความกังวลและสบายใจจึงจำต้องยอมรับปากออกไปส่งๆ ทั้งที่ตอนนี้ความคิดบางอย่างพุ่งวาบเข้ามาในหัว ถ้าไม่มีหล่อนสักคน...ต้องรักคงไปได้ไกลกว่านี้...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม