“ติณณ์..”
เสียงเรียกขานชื่อจากหญิงสาวบนเตียงโรงพยาบาล ไม่ได้ทำให้เจ้าของชื่อหลุดออกจากภวังค์ความคิด
เจ้าของใบหน้ารูปไข่เหมือนตุ๊กตาบลายธ์ดูซีดเซียวจากอาการป่วย ถือวิสาสะยกมือขึ้นสัมผัสดวงหน้าคมคาย ดึงสติชายหนุ่มให้เงยหน้าขึ้นสบตาเธอ
“ยิ้มอะไรอยู่คนเดียวเนี่ย มีความรักเหรอ” เธอเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความฉงน
“มาริคิดว่าติณณ์มีความรักเหรอ หือ” คียติณณ์เลิกคิ้วถาม พลางจับมือขาวออกจากใบหน้าแล้ววางแนบไว้ข้างลำตัวเธอตามเดิม
“ก็เห็นนั่งมองมือถือแล้วยิ้มอยู่คนเดียว.. อาการแบบนี้คนมีความรักชัดๆ” เธอว่าด้วยสีหน้าน้อยใจ หลังอีกคนเอาแต่จ้องมือถือที่เตรียมพิมพ์ข้อความไปหาเทียร์รดา แต่สุดท้ายคียติณณ์ก็ไม่มีความกล้ากดส่งออกไป
ทั้งที่คิดว่าถ้าได้เจอกันจะไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว..
พอเอาเข้าจริงคียติณณ์กลับไปไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเข้าใกล้เธอยังไง ให้อีกฝ่ายไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจ
“แบบนี้ถ้าติณณ์มีแฟน เราก็จะถูกทิ้งไว้คนเดียวใช่มั้ยเนี่ย” มาริตาหญิงสาวหน้าตาน่ารักทำหน้าเศร้าสร้อย ก่อนหลุดยิ้มกว้างบ่งบอกว่าเธอแค่ล้อเล่นเท่านั้น
“งั้นก็รีบหาแฟนสิ”
“ดูทำตัวเข้า”
"พ่อกับแม่เธอวางตัวคู่หมั้นให้แล้วไม่ใช่เหรอ เธอเองต่างหากที่ไม่ยอมไปตามนัด" คียติณณ์พูดพลางคลี่ยิ้มบาง
"ฉันมัวแต่ทำงาน ไม่มีเวลานัดดูตัวหรอก" คนบนเตียงมุ่ยริมฝีปากแล้วกอดอกใส่คนตรงหน้า ดูท่าทางแล้วเพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก จนถึงวัยยี่สิบเจ็ดปีจะต้องเริ่มต้นหาใครสักคนจริงๆ จังๆ สักที
"แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนสักที หือ"
“ดูพูดเข้า นอกจากจะทิ้งเราไปหาสาว.. แล้วยังไล่กันไปมีแฟนอีกต่างหาก แบบนี้แปลว่าเจอผู้หญิงที่ใช่แล้วแน่ๆ”
สิ้นประโยคนั้นคียติณณ์ก็เงียบไปหนึ่งอึดใจ ทำเอาหญิงสาวอ้าปากค้างกลางอากาศ เตรียมจะเอ่ยแซวแต่ก็ถูกมือหนาดันหน้าผากเบาๆ ให้ล้มเลิกความคิดนั้นเสียก่อน
“คิดไปไกลแล้ว”
“โธ่ เราป่วยง่ายแบบนี้ใครจะอยากมาดูแล ไม่มีใครชอบคนอ่อนแอหรอกติณณ์”
“ไม่เอาน่า อย่าคิดแบบนั้น”
มาริตางุดหน้าจนคางชิดอก เพราะครั้งนี้ก็ดันเกิดเหตุล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว
เธอน้อยใจในโชคชะตาที่เกิดมาร่างกายอ่อนแอ แค่อากาศเปลี่ยนหรือตากฝนนานเข้าหน่อย ร่างกายก็ปวดร้าวทรมาณไปหมด หนำซ้ำเธอยังหน้ามืดบ่อยเพราะโหมงานหนักอีก
จุดจบของคนรักงานก็เลยต้องนอนโรงพยาบาลหนึ่งคืนแบบนี้ไง..
“ถ้างั้นเดี๋ยวติณณ์อยู่เฝ้าจนถึงตอนกินข้าวเสร็จ แล้วหลังจากนั้นคงต้องขอตัวกลับก่อน โอเคมั้ย”
"แค่มาเยี่ยมเราแบบนี้ก็ขอบคุณมากแล้ว ขอบคุณนะติณณ์"
มาริตาระบายยิ้มบางเบาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ ก่อนจะโพล่งถามออกไปหลังนึกบางอย่างขึ้นได้พอดี
“ว่าแต่งานเลี้ยงคืนนี้ติณณ์ไปหรือเปล่า”
“ต้องไปสิ มีงานต้องคุยกับผู้ใหญ่ท่านด้วย”
“ถ้างั้นก็เที่ยวเผื่อคนป่วยด้วยล่ะ เพราะตั้งพรุ่งนี้แหน่ะเราถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้..”
สิ้นประโยคเชิงประชดในน้ำเสียง คียติณณ์ก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม ก่อนถูกฝ่ามือหญิงสาวตีเบาๆ ที่ต้นแขน
“ติณณ์ใจร้ายที่สุดเลย” มาริตาย่นปลายจมูกอย่างแง่งอน พลันหัวเราะร่วนกับอาการน้อยใจที่ไม่จริงจังของตัวเอง
ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก และยังคงรักษาความเป็นเพื่อนตลอดมา..
ช่วงค่ำที่ตะวันลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ทำให้บรรยากาศที่มองจากคอนโดของเทียร์รดาได้เห็นแสงไฟจากตึกราบ้านช่องส่องสว่าง วิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนเสมือนว่าเมืองนี้ไม่เคยหลับใหลเลยสักครั้ง
ชีวิตที่สวยหรูราวกับนางฟ้าจะมีอะไรให้ต้องผิดหวังหรือเสียใจ ในเมื่อชื่อของเทียร์รดาดังกะฉ่อนจนกลายเป็นเบอร์หนึ่งแนวหน้าได้
แต่ทว่า..
“ฉันอ้วนขึ้นหรือเปล่านะ อ่า ไม่กล้ากินอะไรแล้วนะเนี่ย”
เสียงโอดครวญของหญิงสาวดังขึ้น มือก็ลูบ หน้าท้องที่แบนราบด้วยสีหน้าวิตกกังวล หลังจากส่องกระจกในชุดเดรสเข้ารูปเปิดช่วงไหล่ ผมยาวปล่อยเป็นลอนไปด้านหลัง แต่ยังคงเห็นข้อบกพร่องบนร่างกายมากมาย
ข้อบกพร่องที่เธอพยายามฝังกลบให้เข้าใกล้คำว่าเพอร์เฟคมากที่สุด..
‘ไม่คิดว่าเธอกินเยอะไปหน่อยเหรอ อ้วนจนตัวจะแตกอยู่แล้ว’
‘ไปชอบรุ่นพี่แต่ไม่ดูสารรูปตัวเองเลยนะเทียร์รดา เมื่อคืนนอนในเล้าหมูมาเหรอไง เหอะ’
‘ฉันไม่อยากร่วมโต๊ะกับเธอ กินข้าวไม่ลงเลยไม่เห็นหรือไง ยังไม่ไสหัวไปอีก’
ทั้งที่เธอสวยจนหลายคนเอ่ยชมไม่ขาดปาก แต่นัยน์ตาของเจ้าตัวกลับไม่ได้รู้สึกมั่นใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะนอกจากคำชมที่ได้รับมาคำด่าทอและติเตียนอย่างหยาบคายก็มีไม่น้อยเช่นกัน
เธอพยายามแทบตายกว่าจะมีวันนี้..
จากหญิงสาวที่ตัวอ้วนกลมไร้ซึ่งความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตาผู้คนด้วยซ้ำ แต่ก็ยังอยากแสดงด้านที่สดใสให้เห็น
จนกระทั่งแสงสว่างแห่งวัยเยาว์มอดไหม้ลง กลายเป็นหญิงสาวที่เติบโตมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายแทน
เพราะงั้นจะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“เชิดไว้เทียร์รดา เพราะเธอคือเทียร์รดา” เธอพูดสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง พลางเป่าลมก้อนใหญ่ผ่านริมฝีปากเพื่อคลายกังวล
ค่ำคืนนี้เทียร์รดาฉายเดี่ยวเพราะผู้จัดการส้มจี๊ดต้องดูแลแม่ที่โรงพยาบาล เลยได้คนขับรถจากเจมมากรุ๊ปมารอรับเธอที่หน้าคอนโดตั้งแต่สิบห้านาทีก่อน
ใบหน้าสวยสง่ากวาดสายตามองผู้คนระหว่างทางไปโรงแรมด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความอ่อนโยน ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากถอดบทบาทที่ต้องแสดงต่อหน้ากล้องแล้ว
เธอจะเย็นชาไร้ซึ่งชีวิตชีวาแบบนี้..
“ไหนบอกว่าจะติดต่อมา.. อะไรของเขา”
มุมปากสวยยกขึ้นสูงพร้อมเสียงเค้นในลำคอดังเฮอะ เมื่อในหัวนึกถึงเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานก่อน
ชายหนุ่มที่ได้รับนามบัตรไปไม่มีวี่แววว่าจะติดต่อมา..
รถคันหรูขับเข้ามาจอดที่หน้าทางเข้าของโรงแรม เทียร์รดาเงยหน้ามองความใหญ่โตของเจมมากรุ๊ปที่แสดงถึงอำนาจที่พวกเขามี พลันหญิงสาวก็ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ต้องสวมบทบาทกันหน่อยสินะ..” เทียร์รดาพูดขึ้นกับตัวเองเบาๆ พลางแสยะยิ้มบนมุมปาก จากใบหน้าที่เรียบเฉยก็ถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะก้าวขาลงจากรถด้วยสายตาของความมั่นใจ
ต่อให้กำลังหลอกตัวเองเธอก็ต้องทำ..
ห้องโถงใหญ่ของโรมแรมตกแต่งด้วยแชนเดอเลียราคาแพงหูฉี่ แขกเหรื่อมากมายกำลังยิ้มทักทายกัน ท่ามกลางเสียงดนตรีสดที่บรรเลงอยู่อีกมุมของห้อง
เทียร์รดากวาดสายตามองไปรอบบริเวณอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาคุณหญิงนิภารัตน์ที่ยืนคุยกับชายหนุ่มที่หันหลังให้อยู่
“คุณแม่หนูมาแล้วค่ะ” เสียงทักทายสดใสเมื่อก้าวเข้าหาผู้เป็นแม่บุญธรรม
“อ้าว มาแล้วเหรอลูก” หญิงวัยห้าสิบปีแต่ยังดูภูมิฐานระบายยิ้มให้เธอ แต่ทว่าสายตาของเทียร์รดาดันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่ยืนคุยกับคุณหญิงนิภารัตน์ ฉับพลันดวงตาคู่สวยก็เบิกโตอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ผู้ชายคนนี้ไม่ติดต่อมา แต่มาปรากฏตัวตรงหน้าเธออีกแล้ว..
“คีย.. คียติณณ์”