บทที่ 14 ไปบ้านเฉินสายหลัก(2)

3082 คำ
“100 หยวน!!!” แล้วนั่นทำให้ทุกคนตกใจแทบสิ้นสติ แม้แต่ฉันยังตกใจ เงิน 100 หยวนในยุคนี้ไม่น้อยเลย บางบ้านมีเก็บไม่ถึงด้วยซ้ำไป แต่นี่กลับพูดขอกันง่ายๆ ช่างไม่มีความละอายบ้างเลย “ผะ ผมไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอกครับพี่ใหญ่” อาสามพูดขึ้น ซึ่งฉันมองสีหน้าของบ้านสามทุกคนแล้วก็รู้สึกสงสาร เพราะเธอคิดว่าพวกเขาไม่มีจริงๆ ตามที่พูดเลย สีหน้าแต่ล่ะคนซีดมากเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ใช่ค่ะ บ้านเราก็ไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอกนะคะ” แม่เฉินก็พูดขึ้นบ้างอย่างไม่พอใจ นี่มันเงินของบ้านนาง ถึงมี นางก็ไม่ให้หรอก เงินเยอะขนาดนั้น มันควรจะถูกใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนในบ้านนางสิ “ได้ยังไงกัน หยางตงไปเป็นทหารตั้งหลายปี จะไม่มีเงินเลยหรือ ส่วนอิงอิง ลูกบ้านสามก็เพิ่งแต่งออกไป ไม่ได้เงินสินสอดเลยหรือยังไง” สะใภ้ใหญ่บ้านหลักพูดขึ้นเสียงดัง นางไม่เชื่อหรอกว่าบ้านรองจะไม่มีเงิน ลูกชายเป็นถึงทหารกล้า จะไม่มีได้อย่างไร “แต่นั่นเป็นเงินของบ้านเรานะครับป้าสะใภ้ใหญ่ แล้วมันก็ไม่เพียงพอด้วย ถ้าให้บ้านหลักไปหมด แล้วบ้านสามจะเอาอะไรกินล่ะครับ” เฉินจื้อจงพูดขึ้นบ้างเมื่อได้ยินประโยคร้ายกาจของป้าสะใภ้ที่อยากได้อยากมีของคนอื่น “นี่ บ้านสามไม่สอนลูกหรือยังไง ทำไมปล่อยให้สอดเวลาผู้ใหญ่คุยกัน” สะใภ้ใหญ่บ้านหลักต่อว่าบ้านสาม “แต่ที่จื้อจงพูดมาเป็นความจริงนะครับพี่สะใภ้ใหญ่ บ้านเราไม่มีเงินถึง 100 หยวนจริงๆ” อาสามก็ปกป้องลูกชาย “งั้นมีเท่าไหร่ก็เอามาเท่านั้น นี่ก็ใกล้เก็บเกี่ยวแล้วอีกหน่อยก็แบ่งผลผลิต เงินที่มีก็ไม่ต้องได้ใช้หรอก” พอเห็นสายตาจริงจังของน้องชายสามของสามีแล้ว นางก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ และก็ไม่วายพูดเห็นแก่ตัวจนบ้านรองทั้งสองสายส่ายหน้า “เหอะ” ฉันแค่นหัวเราะอย่างไม่พอใจ ตอนแรกก็แค่เฉยๆ แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมานิดๆ นี่คือจะขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ “แต่นี่ใกล้หนาวแล้วนะครับป้าสะใภ้ใหญ่” จื้อจงเถียง “จื้อจง นี่ไม่เห็นลุงนั่งอยู่ตรงนี้หรือยังไง” เมื่อเห็นว่าหลานชายยังเถียงภรรยาของตัวเองไม่เลิกเฉินโหย่วซวงก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ ส่วนลูกชายทั้งสามคนของเขาก็เอาแต่จ้องมองน้องๆ บ้านสายรองด้วยสายตาเอาเรื่องเช่นกัน “คุณแม่ บ้านผมไม่มีเงินให้จริงๆ ครับ” อาสามหันไปพูดกับแม่เฒ่าเฉิน เมื่อเห็นว่าพูดกับพี่ชายแล้วก็คงไม่ได้ความอะไรนอกจากจะเอาเงินจากเขาให้ได้เท่านั้น “เจ้ารองล่ะ” แม่เฒ่าเฉินเห็นสายตาของลูกชายคนที่สาม แล้วก็หันไปพูดกับลูกชายคนรอง “บ้านเราก็ไม่มีหรอกค่ะพี่ใหญ่ เงินตั้ง 100 หยวน อย่างที่จื้อจงบอก นี่ก็ใกล้จะหนาวแล้ว ไหนจะอาหาร ไหนจะยา คงไม่มีให้หรอกค่ะ” แต่เป็นแม่สามีของฉันที่ตอบ นางเป็นคนดูแลเงินในบ้าน เรื่องนี้นางมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ “พวกหมาป่าตาขาว” เมื่อเห็นว่าบ้านสายรองแต่ละคนไม่ยอม สะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินก็พูดแขวะทันที “เอ๊ะ” นั่นทำให้ทุกคนหันไปมองอย่างไม่พอใจที่โดนว่าอกตัญญู ในยุคสมัยนี้ทุกคนล้วนแต่ยึดถือความกตัญญูเป็นหลักกันทั้งนั้น “หยุด หยุด นี่มันอะไรกัน เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรือยังไงกัน” แม่เฒ่าเฉินรีบห้ามเมื่อเห็นท่าทางของทุกคนแล้ว “คุณแม่” เฉินโหย่วซวงทำท่าจะบอกแม่เฒ่าเฉิน “เงียบก่อนเจ้าใหญ่ เจ้ารอง เจ้าสาม ถือซะว่าแม่ขอนะ” เมื่อเห็นลูกชายคนโตมองมาอย่างขอความช่วยเหลือ นางก็พูดขึ้น ยังไงนางก็รักลูกชายคนโตและตามใจเขามาตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน “คุณแม่!!!” พอเห็นแม่เข้าข้างพี่ชาย พ่อเฉินและอาสามก็มองหน้ากันแล้วหันไปมองแม่ตัวเองอย่างตัดพ้อ แม่เฒ่าเฉินนั้นรักและตามใจพี่ชายแค่ไหนพวกเขารู้ดี แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้แม่จะเห็นดีด้วยกับพี่ชายให้เขามาขูดเลือดขูดเนื้อลูกชายของตัวเอง “ยังไงบ้านหลักก็เป็นบ้านสายตรง พวกแกก็ช่วยหลานหน่อยเถอะ ต่อไปถ้าจินฮุ่ยได้ทำงานตระกูลเราก็จะได้มีชามข้าวชามเหล็ก เป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูล” แม่เฒ่าเฉินบอกทุกคน “ก็หยางตงยังไงล่ะครับ” เฉินจื้อจงพูดขึ้น เพราะเขาเป็นเพื่อนกับหยางตง นับถือกันเป็นเพื่อนมากกว่าพี่น้อง ก็ หยางตงยังไงที่เป็นทหาร และเป็นหน้าเป็นตาให้กับสกุล “แต่นั่นไม่ใช่ลูกหลานสายหลัก” สะใภ้ใหญ่บ้านเฉินพูดขึ้น แล้วมองหลานชายสามีอย่างไม่พอใจ หยางตงเป็นทหารแล้วยังไง แต่ไม่ใช่คนในบ้านนางเสียหน่อย อีกอย่าง นางก็ไม่พอใจตั้งแต่ตอนที่หยางตงจะเข้ากองทัพแล้ว เป็นแค่บ้านสายรอง มีสิทธิอะไรที่ได้ดีเกินลูกชายนาง “เอาล่ะ เจ้ารอง เจ้าสาม จะมีให้หลานคนล่ะเท่าไหร่กัน ถ้ามีไม่ถึงแม่ให้เหลือเงินติดบ้านไว้ 50 หยวนก็แล้วกัน” แม่เฉินพูดขึ้นตัดบท “เยอะไปหรือป่าวคะคุณแม่ บ้านรองบ้านสามไม่ได้ใช้อะไรเยอะแยะหรอกค่ะ เหลือไว้ซัก 20-30 หยวนก็พอ” แล้วก็ถูกขัดด้วยประโยคเห็นแก่ตัวของสะใภ้ใหญ่บ้านหลัก “มีเท่าไหร่เจ้าสาม” แม่เฉินทำท่าคิดตามคำพูดลูกสะใภ้ใหญ่ แล้วถามลูกชายคนที่สามของนาง เพราะในบรรดาพี่น้อง บ้านสามยากจนที่สุดแล้ว “ที่บ้านตอนนี้มีแค่ 72 หยวนเองค่ะคุณแม่” เย่วถังถังที่เป็นคนเก็บเงินบ้านสามเป็นคนตอบ เพราะสามีนางก็ไม่รู้หรอกว่ามีเงินเท่าไหร่ แต่นี่คือเงินทั้งบ้านของนางจริงๆ ว่าแล้วนางก็หยิบเงินที่ถือมาด้วยออกมา “งั้นก็เก็บไว้ 20 หยวน ที่เหลือเอามาให้หลานก่อน ถ้าหลานได้ทำงานแล้วฉันค่อยจะให้สะใภ้ใหญ่ทยอยคืน” แม่เฒ่าเฉินพูดขึ้น นั่นทำให้บ้านสายสามทุกคนตะลึง แม้แต่บ้านสายรองเองก็ตกใจไม่แพ้กัน นั่นคือการฆ่าคนทางอ้อมชัดๆ “คงได้คืนหรอก” สะใภ้สามที่นั่งข้างๆ ฉันพูดขึ้นแล้วเบะปาก ซึ่งฉันก็เห็นด้วย เห็นท่าทางของบ้านหลักแล้วไม่มีทางได้คืนหรอก “คุณแม่ แต่นั่นมันเงินทั้งบ้านของเจ้าสามแล้วนะครับ จิงจิงก็กำลังจะออกเรือน ไหนจะลูกสะใภ้เจ้าสามที่ใกล้คลอดอีก” แม่เฉินอดที่จะแย้งไม่ได้จริงๆ เพราะรู้ภาระของบ้านน้องสามีว่าเยอะแค่ไหน เมื่อเช้าน้องสะใภ้สามีก็มาปรับทุกข์กับนางทั้งน้ำตา “คุณแม่ก็ใจดีให้เหลือไว้ 20 หยวนแล้วไงน้องรอง” สะใภ้ใหญ่บ้านหลักพูดพร้อมเบะปากใส่แม่สามีของฉัน แม่เฒ่าเฉินพอใจที่ลูกชายสามยื่นเงินให้ลูกสะใภ้ใหญ่ 52 หยวน แล้วหันมาพูดกับพ่อของสามีฉัน “เจ้ารอง แล้วบ้านแกล่ะ ให้เท่าไหร่” “ใช่ น้องรอง ถ้ามีเยอะก็เอามาเติมส่วนของน้องสามด้วยก็ได้นะ” สะใภ้ใหญ่บ้านหลักรับเงินไปนับแล้วก็รีบพูดเสริม เพราะต้องการได้เงินจากบ้านรองเยอะๆ “ใช่ หลานต้องซื้อจักรยานด้วย เงินแค่นี้ไม่พอหรอก” สามีของนางก็รีบพูดทับ “นี่มันปล้นกันชัดๆ” ฉันพึมพำกับตัวเอง แล้วสะใภ้สามก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่มั้ยสะใภ้รอง” สะใภ้สามกระซิบถามฉัน “ให้ได้เท่าน้องสามค่ะ เพราะบ้านเราก็มีค่าใช้จ่าย ต้าหนิวกำลังจะเข้าเรียนด้วย” เจียงจิงซิน แม่สามีของฉันพูดขึ้น ถ้านางบอกว่ามีไม่เยอะยังไงคนพวกนี้ก็ไม่เชื่อ นางตัดใจให้เงินตามที่บ้านหลักเรียกมาดีกว่าเสียเยอะกว่านี้ ยิ่งหลานชายนางเองก็ต้องเข้าเรียนแล้วด้วย นางไม่อาจให้พวกเขามาเอาเปรียบนางได้มากกว่านี้จริงๆ “จะเรียนไปทำไมกัน สู้เอาเงินมาให้ลูกของเจ้าใหญ่ของบ้านหลังเรียนดีกว่า” สะใภ้ใหญ่บ้านหลักเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พอใจ นี่หลานชายนางยังไม่ได้เข้าเรียนเลย บ้านรองมีสิทธิอะไรจะมาเกินหน้าเกินตาบ้านนางกัน “ทำไมเงินของบ้านเราจะเอามาส่งลูกหลานของบ้านเรียนไม่ได้ล่ะคะ ที่สำคัญเลย ทำไมบ้านเราถึงต้องเอาเงินมาให้ลูกหลานบ้านอื่นเรียนด้วย” ฉันที่เห็นด้วยในเรื่องการเรียน จึงพูดขึ้นบ้างเพราะฉันเองก็จะส่งลูกเรียนเหมือนกัน “นะ นี่” สะใภ้ใหญ่บ้านหลักชี้หน้าฉัน “อะแฮ่ม บ้านรองเรียนไปก็ไม่ได้ประโยชน์หรอก” แม่เฒ่าเฉินพูดขึ้น เพราะนางก็ไม่ได้สนับสนุนหลานให้เรียน บ้านนางก็มีแค่ลูกชายคนโตของนางที่ได้เรียน เพื่อเป็นหน้าเป็นตา หลานชายก็คนโตเช่นกัน เหลนของนางยังไม่ได้เข้าเรียนเลย จะให้บ้านรองมาเกินหน้าเกินตาบ้านหลักไปมากกว่านี้ไม่ได้ “ไม่เกี่ยวนะคะ ถ้ามีเงินใครก็ส่งลูกเรียนได้ ฉันยังจะส่งลี่เหมยเรียนเลยถ้าถึงเกณฑ์” ฉันเถียงขึ้น เพราะฉันไม่ยอมจริงๆ ทั้งที่พวกเขาไม่มีสิทธิมาตัดสินหรือห้ามเรื่องนี้ด้วยซ้ำ “เหลวไหล จะไปส่งเรียนทำไม ลูกสาวเรียนไปก็ไม่ได้ประโยชน์หรอก” พอได้ยินว่าฉันจะส่งลูกสาวเรียน แม่เฒ่าเฉินก็ไม่พอใจ ส่วนบ้านสายรองทุกคนก็ตกใจเล็กน้อย แต่พอคิดดูแล้วสะใภ้บ้านรองคนนี้ก็เป็นคนมีการศึกษา ไม่แปลกอะไรที่เธอจะมีความคิดที่แปลกแยกขนาดนี้ อีกอย่างสามีอย่างเฉินหยางตงก็เป็นชามข้าวเหล็ก แค่ส่งลูกเรียนแค่นี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร “ต้องขอโทษคุณย่าด้วยนะคะ แต่ว่าฉันก็เป็นคนที่เรียนจบมัธยมต้น ลูกของฉัน ไม่ว่าจะลูกสาวหรือลูกชาย ยังไงก็ต้องได้เรียน” ฉันพูดขึ้นเสียงเย็น “อวดดี สิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์” สะใภ้ใหญ่บ้านหลักพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “บอกแล้วยังไงคะ ว่าสามีฉันมีปัญญาเลี้ยง” ฉันเถียง “เจ้ารอง หัดสั่งสอนลูกสะใภ้แกหน่อยนะ พี่ชายบ้านใหญ่ว่าน้องชาย “เอาล่ะ เจ้ารอง ยังไงแม่ก็ไม่เชื่อหรอกนะว่าบ้านแกจะมีเงินไม่เยอะ มีเท่าไหร่ก็พูดมาเถอะ” แม่เฒ่าเฉินเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์มันจะบานปลายไปกว่านี้ก็ตัดบท แม้จะไม่พอใจ แต่นางก็ไม่ได้สิทธิไปยุ่งกับบ้านอื่นมากนัก จึงเข้าเรื่องต่อทันที “มี 400 กว่าหยวนค่ะ” แม่สามีฉันตอบ นั่นทำให้สะใภ้ใหญ่บ้านหลักตาโต นี่บ้านรองมีเงินเยอะขนาดนี้เชียวหรือ “งั้นก็เอามา 300 หยวน” สะใภ้ใหญ่บ้านเฉินของอย่างหน้าด้านๆ “ได้ยังไงกัน ไหนบอกว่าขอบ้านล่ะ 100 หยวน ยังไงล่ะครับ แบบนี้ไม่ได้นะครับคุณแม่ เงินนี่เดิมทีก็ไม่ใช่ของบ้านเรา นี่เป็นเงินของหยางตง ถ้าคุณแม่ยอมให้พี่สะใภ้เอาเงินจากบ้านผมไป 300 หยวน ผมคงต้องแบ่งเงินของหยางตงให้สะใภ้รองไปก่อน” พ่อเฉินรีบพูดขึ้นอย่างไม่ยอม นี่มันเงินของบ้านเขา และเงินส่วนใหญ่ก็เป็นเงินที่ได้มาจากลูกชายคนรองอย่างหยางตงที่ไปเสี่ยงอันตรายหามา ทำไมเขาต้องให้เงินเยอะขนาดนั้นกับบ้านอื่นด้วยเล่า ซึ่งแม่เฒ่าเฉินเองแม้จะตกใจที่บ้านลูกชายคนรองมีเยอะขนาดนั้น แต่นางก็ไม่อาจให้ลูกสะใภ้ใหญ่ขอเยอะขนาดนั้น “เอ่อ งั้นน้องรองก็จ่ายส่วนของบ้านสามให้ด้วยสิ มีเงินเยอะแยะ” พอเห็นสายตาตำหนิจากแม่สามี สะใภ้ใหญ่บ้านหลักก็พูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก “พี่สะใภ้ใหญ่” พ่อสามีของฉันอุทานตกใจ ในความหน้าด้านของพี่สะใภ้ “ว่ายังไงบ้านรอง จ่ายให้ได้ไหมของบ้านสามน่ะ ถ้าแกไม่จ่าย ตอนได้ส่วนแบ่งอาหารพี่คงต้องให้เจ้าสามขายธัญพืชที่ได้มาจ่ายส่วนที่เหลือนะ” เมื่อเห็นว่าน้องชายกำลังจะเอ่ยขัด ประมุขบ้านหลักก็พูดขึ้นอย่างกดดัน “ฉันถือเงินมาแค่ 50 หยวนค่ะ” แม่สามีฉันว่าขึ้น และมีสายตาไม่ยอม ใจหนึ่งนางก็สงสารบ้านน้องชายสามไม่น้อย แต่เงินที่นางถือมามันไม่พอที่จะจ่ายของบ้านนางด้วยซ้ำไป “ก็กลับไปเอาซะสิ” สะใภ้ใหญ่บ้านหลักพูดขึ้น “ก็เอากับภรรยาของหยางตงสิค่ะ มีเงินเยอะไม่ใช่หรือ” ภรรยาของจินฮุ่ยพูดขึ้น นางโดนสะใภ้ของบ้านรองคนนี้ตอกกลับเจ็บแสบมาครั้งหนึ่งแล้วจึงอยากจะแก้แค้นให้ฉันเสียหน้า ไหนว่ารวยมากยังไงล่ะ “เหอะ ฉันมีค่ะคุณแม่” ฉันบอกแม่เฉิน และสบสายตาเยาะเย้ยแล้วก็เสียงหัวเราะอย่างสมเพชของลูกสะใภ้ของลุงใหญ่บ้านเฉิน “มีก็เอามาสิ” หล่อนยังไม่หยุดหน้าด้านขอจากหลินซูมี่ “ยื่นหมูยื่นแมว เธออยากได้เงิน ก็เอาเงินของบ้านอาสามคืนมา และอาหารที่พวกเราเอามาด้วย ถ้าอยากให้ฉันเอาเงินก็เอาอาหารคืนมาให้หมด” ฉันบอกหล่อนเสียงเรียบแต่ใช้สายตาจิกเจ้าหล่อน “นี่เธอพกเงินเยอะขนาดนี้เลยหรือลูกสะใภ้รอง” แม่เฉินถามเมื่อเห็นลูกสะใภ้รองเอาเงิน 200 หยวนออกมานับ ซึ่งทุกคนต่างตกใจที่สะใภ้ของบ้านรองพกเงินเยอะมากขนาดนี้ เห็นทีที่นางว่าเงินนางเยอะมากคงจะจริงๆ หยางตงส่งเงินมาให้ภรรยาเดือนล่ะเท่าไหร่กันนะ ทุกคนต่างสงสัย “ไม่หรอกค่ะ พอดีฉันถือมาเผื่อไว้นะคะ” พอเห็นสายตาตำหนิจากแม่สามีแล้ว ฉันก็ตอบไปด้วยท่าทีสบาย เธอรู้ว่าแม่สามีเป็นห่วงที่นางถือเงินเยอะขนาดนี้ แต่นางไม่ได้พกกับตัวเสียหน่อย นางใส่ในมิติไว้ต่างหาก “ถ้าอย่างงั้นก็จบแล้วนะ ไปๆ กลับบ้านใครบ้านมันได้แล้ว บ้านใหญ่จะได้กินข้าว หลานๆ ฉันหิวแล้ว” ป้าสะใภ้ใหญ่บ้านเฉินสายหลักบอกพร้อมแบมือของเงินจากหลินซูมี่ “จุ๊ๆ ฉันบอกแล้วไง ถ้าอยากได้เงิน ก็คืนเงินให้บ้านสามและอาหารที่พวกเราเอามาคืนมาให้หมดด้วย” ฉันชักมือที่ถือเงินหนี “ลูกสะใภ้ใหญ่ไปเอาอาหารมาคืนพวกนี้เร็วๆ” ป้าสะใภ้ใหญ่จำใจทำตามหลินซูมี่ “คุณแม่ นั้นอาหารดีๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ” ลูกสะใภ้ของลุงใหญ่บ้านเฉินกระซิบเสียงเบา เพราะเสียดายอาหารพวกนั้น “อยากได้เงินนี่ไม่ใช่เหรอ อยากได้ก็ทำตามที่ฉันบอกสิ” ฉันชูเงินให้หล่อนดู ซึ่งหล่อนก็สะบัดหน้าใส่ฉันแล้วเดินเข้าไปข้างใน ไม่ถึงสิบนาทีก็เดินออกมาพร้อมตะกร้าอาหาร และเมื่อยื่นหมูยื่นแมวแล้ว ซึ่งเป็นพี่ใหญ่และน้องสะใภ้สามเป็นคนถือตะกร้าอาหาร และฉันให้เงินป้าสะใภ้ใหญ่บ้านเฉินสายหลักแล้ว ฉันก็หันมาพูดกับแม่เฉินว่า “ไปกันเถอะค่ะคุณพ่อคุณแม่” “อื้ม” แม่เฉินพยักหน้าให้ลูกสะใภ้รอง เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ มั่ง… จากนั้นทุกคนก็เอ่ยลาแม่เฒ่าเฉินและทุกคน แล้วเดินออกมาจากบ้านหลักด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “อาสาม ถ้าไม่รังเกียจ นี่เป็นอาหารของฉัน ฉันให้ค่ะ” ฉันพูดอย่างเห็นใจ และเอาตะกร้าของฉันที่มีอาหารดีๆ ให้บ้านสาม “จะดีรึ” อาสามพูดเสียงอ่อยๆ มองหน้าทุกคน “ดีสิ รับไว้เถอะน้องสาม” พ่อเฉินตบบ่าน้องชายเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ “ถ้าให้อาหารผมหมดแล้ว แล้วพี่รองกับหลานๆ จะกินอะไรครับ ผมเกรงใจครับ ผมไม่รับหรอกครับ” อาสามบอกพ่อเฉิน “ถ้าเกรงใจ ก็ไปกินกันที่บ้านก็ได้นะ” แม่เฉินพูดขึ้นบ้าง “นี่ผมยิ่งเกรงใจไปใหญ่เลยครับ” อาสามมองพี่ชายรองและพี่สะใภ้รอง “ไปเถอะเจ้าสาม” พอเห็นน้องชายปฏิเสธอย่างเกรงใจ พ่อเฉินก็พูดขึ้น คำว่าไปหาอะไรกินของน้องชายคงไม่พ้นกลับไปกินน้ำเพื่อให้อิ่มท้องน่ะสิ ทำไมเขาจะไม่รู้เพราะเขากับน้องชายก็เคยไม่ได้กินอาหารเพราะพี่ชายกินหมด จนต้องกินแต่น้ำให้มากเพื่อไม่ให้ท้องหิว “ผมเกรงใจครับ พี่รอง เรื่องเงินที่พี่จ่ายไปผมจะทยอยคืนนะครับ แต่คงต้องให้จิงจิงแต่งออกไปและให้ลูกสะใภ้ผมคลอดลูกก่อน” แต่บ้านสามก็ยังเกรงใจอยู่ดี เงินที่พี่ชายออกไปให้ก่อน เขายังไม่รู้เลยว่าจะได้คืนพี่ชายตอนไหน เพราะเขาไม่คิดว่าจะได้เงินจำนวนนั้นคืนจากบ้านหลักหรอก “ไม่เป็นไรหรอก มีแล้วค่อยคืนก็ได้” พ่อเฉินพูดขึ้น “ไปกันเถอะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจนะ” แม่เฉินยิ้มแล้วหันไปจูงมือน้องสะใภ้ ซึ่งคนที่เหลือก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเดินตามไปที่บ้านสายรอง…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม