ม้าขนสีขาวสวยสง่าเหมือนดั่งขนหมาป่าของอีธานกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เขตเมืองโดยการมาของเขาในวันนี้มีเป้าหมายหลักที่แน่ชัดแล้วว่ามาเพราะสิ่งใดกันแน่
เขาบังคับม้าอย่างไม่เร่งรีบนักเมื่อมาหยุดอยู่ที่น่าประตูเมืองใหญ่เพื่อตรวจสอบก่อนเข้าไปภายใน ก่อนที่เหล่าทหารจะเปิดทางให้แก่เขาและอีธานก็ไม่รอช้าบังคับม้าเข้าไปยังเขตเมืองและผูกม้าไว้ยังที่ประจำก่อนจะออกเดินเท้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงหน้านั่นก็คือวังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองนั่นเอง
และใช่...เหตุผลในวันนี้ที่เขาเข้าเมืองเป็นเพราะว่ามาตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับหญิงสาวที่เราได้ตั้งตนเป็นสหายกันตั้งแต่วันนั้นที่เขาลักลอบเข้าไปในปราสาท
เขาได้กล่าวคำมั่นสัญญากับเจ้าหล่อนว่าจะแวะเวียนมาหาทุก ๆ สามเดือนหรืออาจจะเร็วกว่านั้นตามความเหมาะสม
แต่เราก็ยังต้องลักลอบแอบพบเจอกันเพราะจนถึงเวลานี้กษัตริย์ของเมืองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนปรนให้เจ้าหล่อนได้ออกมาเดินเตร็ดเตร่นอกวังเหมือนดั่งที่ผ่าน ๆ มา
อีธานจึงกลายมาเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวขององค์หญิงเกรซอย่างเลี่ยงไม่ได้...
และทุกครั้งเวลาที่เราได้พบเจอกัน...เขายังจดจำรอยยิ้มของเจ้าหล่อนได้เป็นอย่างดีเสมอมา และมันทำให้เขาผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเธอไม่ได้เลย
เพราะเขาเคยแล้วที่มาหาเจ้าหล่อนช้าไปเพียงหนึ่งวัน องค์หญิงเกรซได้แต่นั่งเศร้าหมอง ทั้งสีหน้าก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยคราบน้ำตาจนมันกลายเป็นความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจของเขาไม่เคยจางหาย
และนับตั้งแต่นั้นมาเขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด...
อีธานเดินไปยังทางเข้าลับที่เขากับเกรซทำเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน มันยังถูกปิดมิดเป็นอย่างดีด้วยความแน่นหนา และองค์หญิงเองก็เคยประกาศกร้าวเอาไว้ว่าห้ามผู้ใดเข้ามายังเขตพื้นที่นี้เพราะเจ้าหล่อนเองก็หวาดกลัวเช่นกันว่าจะมีคนมารู้ทางลับนี้เข้าและมันจะทำให้เราทั้งสองไม่ได้พบเจอกันอีก
ช่างน่าสงสารเหลือทนที่เจ้าหล่อนต้องทนทุกข์ทรมานอยู่แต่ในวังไม่ได้ออกมาพบเจอกับโลกภายนอก และเขารู้ดีว่ามันเหงาเปลี่ยวเพียงใดและคนเดียวที่จะทำให้เจ้าหล่อนรู้สึกดีขึ้นได้มันมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
“อีธาน...”
“!!!”
อีธานตกใจจนเผลอร่นถอยหนีเพราะอยู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกชื่อของเขาเบา ๆ ดังออกมาจากประตูอีกฝั่งฝากหนึ่ง
“ข้าเอง ช่วยเปิดประตูให้ข้าที!”
เมื่อได้สติเขาก็รีบไปเปิดประตูในทันใดและก็พบว่าประตูมันฝืดมาก แรงของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าหล่อนจะเปิดมันไม่ได้ก็ไม่น่าแปลก
และเมื่อประตูนั้นถูกเปิดออก ใบหน้าของหญิงสาวที่เป็นสหายมนุษย์ของเขาแค่เพียงหนึ่งเดียวก็ปรากฏออกมาทั้งรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจนักหนา
เจ้าหล่อนวิ่งออกมาจากประตูฝั่งนั้นอย่างเร็วไว ก่อนจะกระโดดกอดเขาเสียเต็มรักให้อีธานต้องยกมือขึ้นไปประคองร่างของเจ้าหล่อนเอาไว้เพราะกลัวจะร่วงหล่นลงไปเสียก่อน
กลิ่นหอมจาง ๆ จากกายของเจ้าหล่อนบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอเป็นโอเมก้า ฟีโรโมนที่ลอยคลุ้งอยู่รอบ ๆ ตัวของเธอเพราะความรู้สึกที่เจ้าหล่อนกำลังแสดงออกมันทำให้เขาต้องเผลอกลั้นหายใจและวางตัวของเธอลงด้วยความเบามืออย่างเว้นระยะห่าง
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วอย่างทำเช่นนี้!”
เขาเอ็ดเจ้าหล่อนกลับไปให้คนฝั่งตรงข้ามหน้าสลดลงไปในทันใดจนกลับกลายเป็นเขาไปเสียเองที่เกิดรู้สึกผิดจนต้องเบือนหน้าหลบหนีสายตาคู่นั้น พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเพราะรู้ว่าอาจจะพูดแรงจนเกินควร
“เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นอัล...”
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นอัลฟ่า!”
เจ้าหล่อนโพล่งออกมาก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคนั้น
สองเท้าของเธอเดินอย่างไม่พอใจมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมากอดอกเอาไว้ให้เขาเผลอหัวเราะออกมาอย่างขบขันกับทีท่าที่แสนน่ารักของเจ้าหล่อน
องค์หญิงที่ก๋ากั่นเมื่อยามที่เราเจอกันตอนแรกนั้นมันหายไปจนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือแล้วหญิงสาวที่ดูเก่งกาจผู้นั้นและเหลือแต่องค์หญิงสามขวบที่ยืนง้องอนเขาอยู่ตรงนี้
“ข้าไม่โกรธเจ้าแล้วดีกว่า เสียเวลา...”
“เช่นนั้นก็ได้หรือ?”
“ย่อมได้ทั้งนั้นเพราะเจ้าคือข้อยกเว้น...”
แววตาที่สบมองพร้อมกับรูปประโยคแปลก ๆ นั้นทำเอาอีธานถึงกับหุบยิ้มลงในทันใด
บางทีอาจจะเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนคนเดียวของเธอ ดังนั้นการจะหวงแหนหรืออะไรก็ตามที่เจ้าหล่อนกำลังแสดงออกอยู่นั้นมันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่คนเป็นเพื่อนเขาอาจจะทำกันมันก็เป็นไปได้
“เช่นนั้นวันนี้องค์หญิงของข้าอยากจะเดินที่ตรอกใดของเมืองดี เมื่อครู่ข้าเข้ามาแอบเห็นว่ามีร้านผ้าเปิดใหม่ตรงหัวมุม”
เขาพยายามหลีกเลี่ยงประโยคนั้นและพาเธอเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น เจ้าหล่อนสบมองใบหน้าของเขาอีกเพียงครู่ก็เบนหน้าหลบหนีกันไปก่อนจะยกมือขึ้นมาจับคางอย่างใช้ความคิด
กิจกรรมเวลาที่เราได้มาเจอกันมันก็ไม่พ้นพาเจ้าหล่อนออกไปเที่ยวเตร่รอบ ๆ เมือง แต่ไม่ใช่ว่าจะเดินโจ่งแจ้งได้เมื่อไร...เพราะทหารมีมากมายจนเต็มไปหมด ซึ่งต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะของเธอเอาไว้ตลอดทั้งเส้นทางจนบางทีเจ้าหล่อนก็ยังบ่นว่าเบื่อหน่ายและอยากที่จะเดินอย่างเปิดเผยแต่ก็ไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้
“ข้าเบื่อแล้ว เดินไปทางใดก็มีแต่อะไรเดิม ๆ”
คำตอบของเธอทำเอาเขาแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“เช่นนั้นเจ้าอยาก...”
“พาข้าออกไปข้างนอกได้หรือไม่ ไปที่หมู่บ้านของเจ้าก็ย่อมได้ ข้าสัญญาจะไม่ดื้อไม่ซนกับเจ้าเลย”
ตอนนี้อีธานกำลังใช้ความคิดเพื่อประมวลผลอยู่ว่าเขาจะทำเช่นไรให้กลับเข้าไปยังกำแพงฝั่งนั้นได้โดยที่จะไม่โดนจับได้ว่าใช้พลังจากการเป็นมนุษย์หมาป่า
ในคราแรกเขาก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเธอที่บอกกับเขาว่าต้องการที่จะออกมาข้างนอก แต่แววตาที่เป็นประกายสุกใสของเธอทำให้เขาปฏิเสธไม่ลงและยอมตอบรับมันในที่สุด
อีธานเดินกลับไปที่ม้าและออกมาจากประตูหลักเพื่ออ้อมมายังกำแพงอีกด้านหนึ่งของทางฝั่งเมือง ซึ่งคนที่บอกเส้นทางนี้กับเขาคงไม่พ้นองค์หญิงตัวแสบที่คงจะว่างมากและเดินสำรวจมันทั่วทั้งปราสาทแล้วถึงได้รู้ว่าที่ไหนจะมีคนและไม่มีคนตอนไหน
เธอบอกว่ากำแพงวังฝั่งนี้บิดาของเจ้าตัวนั้นไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันมากนักเนื่องจากว่าเดินไปไม่ไกลก็เป็นหุบเขา บิดาของเขาจึงไม่ได้จัดเฝ้าเวรทหารในตอนเช้าแต่จะเฝ้าแค่เฉพาะช่วงเวลากลางคืนเท่านั้นเพื่อป้องกันสัตว์ร้าย
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาได้ยินแล้วก็เกิดเป็นความสงสัยขึ้นมา เพราะเธอบอกกับเขาว่าบิดาของเธอนั้นจะจัดเวรทหารแน่นหนามากขึ้นในช่วงเวลาที่คืนพระจันทร์เต็มดวง...เพราะสัตว์ร้ายที่จะมาในช่วงเวลานั้นจะดุร้ายและป่าเถื่อนมาก
และมันเผลอทำให้เขาคิดว่ากษัตริย์อาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกแวร์วูฟ...โดยที่พวกเราชาวเซฟซิฟเตอร์อาจจะคิดไม่ถึงและประมาทไปเองว่าไม่มีมนุษย์รู้เกี่ยวกับการมีตัวตนของเรา
“มันคงมีวิธีเดียวที่จะข้ามไปได้...”
แน่นอนว่าวิธีที่ว่านั้นมันก็คือการกระโดด
กำแพงสูงใหญ่ขนาดนี้ไม่มีมนุษย์คนไหนกระโดดข้ามมันไปได้แน่ ๆ และองค์หญิงอาจจะรู้ตัวตนของเราเข้า
“แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่จะข้ามไป...”
ตอนนี้อีธานกำลังตบตีกับความคิดของตัวเองว่าจะทำเช่นไรกับมันดี ก่อนที่เขาจะหันซ้ายและขวาและก็พบเชือกที่เขามักจะพกติดตัวเอาไว้เสมอเผื่อเวลาเร่งด่วนตรงกระเป๋าข้างตัวที่ม้าของตน
“คงต้องใช้สิ่งนี้บังหน้า...”
อีธานกล่าวกับตัวเองอีกครั้งก่อนจะโยนเชือกไปข้างหน้าทำทีให้เป็นตะขอเกี่ยวกับกำแพงซึ่งสร้างด้วยหิน เขาตรวจสอบเชือกว่าแน่นหนาดีแล้วหรือไม่ ก่อนจะหันซ้ายแลขวาและกระโดดสูงจนขึ้นไปอยู่บนกำแพงได้อย่างง่ายดายตามสัญชาตญาณของหมาป่า
“เจ้าข้ามมาได้ด้วยสิ่งนั้น?”
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วนี่...”
เขาบอกปัดและกระโดดลงไปหาหญิงสาวโดยหลงลืมตัวไปว่าไม่มีมนุษย์คนไหน...จะกระโดดลงมาจากที่สูงขนาดนั้นได้อย่างปลอดภัยและไม่เจ็บตัว
เว้นเสียแต่จะหาใช่มนุษย์...
“เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
งานหยาบ...
มีเพียงสองคำนี้เท่านั้นที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขาตอนนี้
“ข้า ข้าแค่...”
องค์หญิงสบมองใบหน้ากันอย่างคนที่กำลังคาดคั้นเอาคำตอบให้คนที่โกหกใครไม่เก่งอย่างเขายิ่งเลิ่กลั่กมากไปกันใหญ่
“ข้าปีนเก็บผลไม้บนต้นไม้บ่อย ๆ สูงกว่านี้ข้าก็เคยกระโดดมาแล้ว...”
แต่เจ้าหล่อนยังจ้องหน้าอย่างจับผิด
“รีบไปก่อนดีหรือไม่...เดี๋ยวจะมีใครมาพบเข้า”
“จริงด้วย!”
และนี่คงเป็นสิ่งเดี่ยวที่ทำให้เจ้าหล่อนเลิกสนใจกับความสามารถพิเศษของเขาได้
เจ้าหล่อนหันซ้ายแลขวาอย่างพยายามจะหาที่ปีนป่าย และแน่นอนว่ามนุษย์ธรรมดา ๆ อย่างเธอไม่สามารถที่จะข้ามไปได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว
อีธานจึงถือวิสาสะรวบตัวของเจ้าหล่อนให้เข้ามาสู่อ้อมกอด ก่อนที่เขาจะทำทีเป็นดึกเชือกลองดูว่ามันยังแน่นหนาดีหรือไม่
เขาแอบได้ยินเสียงหัวใจของเจ้าหล่อนเต้นรัวขึ้นมาอย่างหนักหน่วง ก่อนที่ใบหูของเธอจะขึ้นสีแดงระเรื่อพร้อมกับที่เธอกำลังจะเอ่ยปากต่อว่าเขาที่กระทำโดยพลการ
ซึ่งเขาก็ใช้จังหวะที่เธอกำลังเผลอตัวกระโดดขึ้นไปอีกครั้งจนตอนนี้เราขึ้นมาอยู่บนกำแพงได้อย่างปลอดภัยแล้ว
“อีธาน นี่เจ้าทำ...”
“เกาะข้าแน่น ๆ อย่าพึ่งถามไถ่สิ่งใดตอนนี้!”
เขาเอ่ยบอกก่อนจะจับเจ้าหล่อนเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้งและกระโดดกลับลงไปยังพื้นหญ้าอีกฝั่งของกำแพงเมือง
อีธานขึ้นไปยังม้าของตนท่ามกลางสายตาของเธอที่ยังคงไม่เชื่อว่าเขาสามารถพาเธอข้ามผ่านมาได้อย่างง่ายดาย
และเขารู้แล้วว่าตัวเองคิดผิด...คิดผิดที่พ่ายแพ้ให้กับสายตาของเธอจนกลับกลายมาเป็นเขาเสียเองที่กำลังจะถูกจับได้ว่าตนนั้นหาใช่มนุษย์เหมือนดั่งเช่นเธอ
“อีธาน เจ้าต้องอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างกับข้า...”
เขาสบมองใบหน้าของเธอที่เอาแต่จดจ้องมองกันไม่วางตา ทั้งสายตาของเจ้าหล่อนนั้นมันยังเต็มไปด้วยคำถามจนเขาต้องเบือนหน้าหนี
ถ้าหากวันหนึ่งเจ้าหล่อนรู้ขึ้นมาว่าเขาหาใช่มนุษย์...เธอจะยังอยากเป็นเพื่อนกับมนุษย์หมาป่าคนนี้หรือไม่
ข้าอยากจะรู้นัก...องค์หญิงเกรซ