1 ชั่วโมงต่อมา...
หลังจากที่เตรียมนั่นนี่เสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะผ่าตัด
“ค่ะ” เสียงพยาบาลเอ่ยตอบรับผมก่อนจะส่งใบมีดผ่าตัดให้ผม ผมรับมาและไม่รอช้าที่จะกรีดมันลงที่หน้าท้องคนไข้ ตอนนี้คนไข้ลำไส้ทะลุ จากการดื่มเหล้าอย่างหนัก ผมทำมันอย่างชำนาญ การผ่าตัดดำเนินไปอย่างดีแต่แล้ว
“คุณหมอคะ คนไข้ความดันต่ำค่ะ” ผมหันขวับไปดูที่เครื่องวัดความดันเลือด ความดันต่ำงั้นเหรอ แสดงว่าคนไข้กำลังเสียเลือดมาก เลือดไหลเวียนไม่พอ
“ให้เลือดเพิ่ม” ผมเอ่ยบอกพยาบาลเสียงเรียบ ไม่มีท่าทีตระหนก ก่อนจะหันไปที่แผลผ่าตัดต่อ ตอนนี้ผมต้องตัดลำไส้ที่มันทะลุออกก่อนจะทำการเย็บเข้าหากัน
2 ชั่วโมงต่อมา...
“คุณหมอคะ หัวใจคนไข้เต้นช้าค่ะ” ผมละสายตาจากแผลผ่าตัด เงยหน้าไปมองเครื่องตรวจคลื่นหัวใจ อะ หัวใจใกล้จะหยุดเต้น
“ฉีดยากระตุ้นหัวใจ” ผมเอ่ยบอกแพทย์ผู้ช่วยผ่าตัด แต่แล้ว
ติ๊ด~ ติ๊ดด~
“หมอคะ หัวใจหยุดเต้นค่ะ” ผมหันไปมองเครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจอีกครั้ง ให้ตายเถอะ ใกล้จะเสร็จแล้วเชียว
“เปลี่ยน” ผมเอ่ยบอกแพทย์ผู้ช่วยผ่าตัดเสียงเข้มเพื่อให้รุ่นน้องเปลี่ยนมาเย็บแผลแทนผม ส่วนผมเดินไปปั๊มหัวใจผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ผมทำทุกอย่างอย่างชำนาญการ ไม่มีท่าทีว่าจะตระหนก แต่มันกลับไม่ดีขึ้น จนผมเริ่มโมโห
“ฟื้นสิ ลูกคุณรออยู่นะ!!” ผมตวาดเสียงดังลั่น ใบหน้าของเด็กเล็กคนนั้นกำลังฉายชัดขึ้นมาในโสตประสาทของผม แต่ทว่า
ติ๊ด...
“คุณหมอคะ มันนานเกินไปแล้วนะคะ” เสียงพยาบาลเอ่ยเรียกสติผมขณะที่ผมกำลังปั๊มหัวใจคนป่วยอย่างบ้าคลั่ง ผมเงยหน้ามองนาฬิกา นานเกินไปแล้วจริง ๆ ผมเริ่มปล่อยมือออก ทุกอย่างกำลังนิ่งงัน ตอนนี้มีแค่เสียงแจ้งเตือนจากเครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ เท่านั้น
“คนไข้เสียชีวิต จากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ขณะผ่าตัด เวลา 16.30 น. “ ผมเอ่ยบอกเวลาเสียชีวิตคนไข้ให้พยาบาลทราบ ก่อนจะเดินออกจากห้องผ่าตัดไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอรุ่นน้องที่จะเคลียร์แผลผ่าตัดต่อ
“พี่หมอคะ พ่อหนูเป็นยังไงบ้างคะ” เสียงเล็กเอ่ยถามผมทันทีที่ประตูอัตโนมัติห้องผ่าตัดเปิดออก ผมยืนนิ่ง ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ
“พี่ เสียใจด้วยนะ พี่ทำเต็มที่แล้ว” ผมพูดออกมาเหมือนกับตอนที่เคยเรียนมา ผมได้แต่ถามตัวเองในใจ ‘มึงทำเต็มที่แล้วเหรอวะ ถ้าเต็มที่แล้วทำไมคนไข้ไม่รอด’
“ฮึก ฮือออ พี่หมอใจร้าย พี่หมอไม่ช่วยพ่อหนู” เด็กเล็กร้องไห้อย่างงอแง ทันใดนั้นก็มีหญิงวัยกลางคนวิ่งเข้ามาโอบกอดเด็กหญิงไว้ คงเป็นแม่เธอสินะ ผมคิดในใจ
“ผมเสียใจด้วยนะครับ เราทำเต็มที่แล้ว” ผมเอ่ยบอกแม่ของเด็กหญิง แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ผมที่ทนดูอะไรแบบนี้นานไม่ได้เลยลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
คำว่าทำเต็มที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ตลอดชีวิตการทำงานของผม ผมไม่เคยผ่าตัดแล้วคนไข้เสียชีวิตคาเตียง ทุกคนในโรงพยาบาลมักจะชอบพูดว่าผมเป็นหมอเทวดา อาการรุนแรงแค่ไหน ผมก็ทำให้ฟื้นได้ แต่มันใช้ไม่ได้กับเคสนี้ ผมเดินไปที่ห้องพักของผม ก่อนจะนั่งที่โต๊ะทำงาน เหนื่อยจังแฮะ ยังไม่ได้ออกเวรเลยตั้งแต่วันนั้น แถมวันนั้นยังไม่ได้นอนอีก...
“เฮ้ออ อยากได้กำลังใจจัง” ผมถอนหายใจออกมาพลางคิดถึงใบหน้าของน้ำผึ้ง ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่นะ? ผมหลับตาพริ้มลง เพื่อพักผ่อนสายตา
ผ่านไปสักพัก...
แอ๊ดด~
ปัง!!
ผมลืมตาขึ้นช้า ๆ หลังจากที่ได้ยินเสียงเปิดประตูเสียงดัง ผมเห็นผู้มาใหม่เป็นหญิงสาวที่ผมอยากจะเจอมากที่สุด แต่แล้วผมก็หลับตาลงอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหัวไปมา เพ้อฝันซะแล้วเรา เธอจะมาทำอะไรตรงนี้ แต่แล้ว
แปะ!
ความแสบเล่นงานผมทันทีที่หน้าผาก ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับยกมือมาลูบปอย ๆ ที่หน้าผาก เรื่องจริงสินะ
สายตาผมเริ่มจะจับโฟกัสได้แล้ว น้ำผึ้งจริง ๆ ด้วย เธอมาทำอะไรตรงนี้หรอกเหรอ
“-_-” เธอสบตาผมนิ่ง เราสบตากันสักพัก เหมือนว่าแววตาเธอมีอะไรจะสื่อ
“: )” ผมยิ้มอ่อน ๆ ให้เธอ ผมดีใจที่ได้เจอเธอ
“-_-” เธอยืนนิ่ง เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ผมขอกอดคุณได้ไหม?”
30 นาทีที่แล้ว...
@ลานจอดรถ [16.30 น.]
ตึก ตึก
เสียงรองเท้าส้นสูงกระแทกลงพื้นดังขึ้นตามจังหวะการเดิน ขาเรียวยาวก้าวเดินอย่างฉับไวหมายจะขึ้นรถส่วนตัวที่ตอนนี้คงเต็มไปด้วยฝุ่นเกรอะ น้ำผึ้งไม่ได้เอารถส่วนตัวกลับบ้านพักมาหลายวันแล้ว เนื่องจากเธอเข้าเวรนานและก็คาดหวังว่าอาจจะได้ติดรถใครบางคนไปทำงานด้วย แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นดั่งใจหวัง
จู่ ๆ ความน้อยเนื้อต่ำใจของเธอก็ก่อตัวขึ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว เธอไม่ได้อยากให้เขาสานสัมพันธ์อะไรต่อกับเธอมากนัก แต่ใจเจ้ากรรมกลับคิดถึง
หมอชัยย์เป็นคนหล่อที่ใครเห็นจำเป็นต้องเหลียวหลัง เก่งสมกับคำร่ำลือ เขาดูดีมากเลยทีเดียว แต่กลับมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอไม่อยากที่จะสานสัมพันธ์กับเขา
วันนี้เป็นอีกวันที่เธอได้ออกเวร และกำลังจะออกไปดื่มกับยัยแคทเพื่อนของเธอ เพื่อจะให้หล่อนสอนล่าเหยื่อ เธอพึ่งได้ออกเวรหลังจากที่เข้าเวรติดมาสองวัน แต่ถึงกระนั้นเธอยังคงแอบกลับไปบ้านพัก เพื่อหวังจะได้เจอใครสักคนแต่กลับไม่พบ แต่วันนี้เมื่อตอนกลางวันเธอได้พบกับเขาแล้ว สิ่งที่เธอเห็นยืนยันได้เลยว่าเขาบ้างานสุด ๆ
“แก ฉันว่าหมอชัยย์คงดาวน์มากเลยว่ะ” เสียงเล็กแหลมของผู้หญิงนางหนึ่งเอ่ยขึ้น หลังจากที่น้ำผึ้งเดินผ่าน ชื่อของหมอคนหนึ่งทำให้น้ำผึ้งหยุดชะงักก่อนจะเดินหลบเสา เพื่อแอบฟังบทสนทนา
“ทำไม แกเป็นห่วงเขาเหรอ” เสียงเล็กของผู้หญิงอีกคนพูดขึ้น พวกเธออยู่ในชุดไปรเวทปกติ น้ำผึ้งไม่รู้ว่าพวกเขาทำงานอยู่แผนกไหน
“ใช่สิ ฉันก็อยากอยู่ปลอบใจเขานะ แต่เหมือนอารมณ์เขาจะไม่ดีเลย” หญิงสาวตอบกลับเพื่อนของเธออย่างน้อยใจ
“มันก็น่าอารมณ์ไม่ดีอยู่หรอก ก็หมอชัยย์เขาไม่เคยผ่าตัดคนไข้แล้วเสียชีวิตคาเตียงขนาดนี้นี่” น้ำผึ้งได้ยินอย่างนั้นถึงกับใจกระตุก เขาเสียใจอยู่หรอกเหรอ เหมือนกับว่าเธออยากจะวิ่งเข้าไปหาเขาซะเดี๋ยวนี้เลย
“ใช่แก แกเห็นสีหน้าเขาตอนอยู่ในห้องผ่าตัดไหม ฉันไม่เคยเห็นสีหน้าเขาเป็นแบบนั้นมาก่อน” สิ่งที่น้ำผึ้งได้ยินทำให้เธอเลือกที่จะหมุนตัววิ่งออกไปจากโรงจอดรถทันที
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงส้นรองเท้าดังก้องไปทั่ว เธอวิ่งด้วยร้องเท้าส้นสูงอย่างชำนาญสายตาเธอสั่นไหว อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกเสียใจไปกับเขา เธอกำลังสับสน น้ำผึ้งวิ่งไปจนถึงตึกศัลยกรรมทั่วไป หวังว่าเขาคงยังอยู่นะ หญิงสาวคิดในใจ
@ห้องพักศัลยกรรมแพทย์
แอ๊ดด ~ ปั้ง!!
น้ำผึ้งเปิดประตูอย่างแรง ก่อนจะกระแทกมันปิดลง ชายหนุ่มสะดุ้งลืมตาขึ้นทันทีกับเสียงดังนั้น แต่แล้วเขาก็ขยับเปลือกตาลงอีกครั้งอย่างกับคิดว่า ตอนนี้ตนกำลังฝันไป น้ำผึ้งที่เห็นอย่างนั้นก็เดินเข้าไปหาเขาที่นั่งหลับตาพริ้มอยู่
เธอมองหน้าเขานิ่ง สีหน้าเรียบเฉยเหมือนกับว่าไม่ได้ดีใจที่เธอมาหาเลยสักนิด เขานิ่งจนเธอแอบโกรธเขาในใจ น้ำผึ้งยกมือขึ้นก่อนจะนำนิ้วกลางกับนิ้วโป้งประสานกัน เธอออกแรงดีดนิ้วเข้าที่หน้าผากชายหนุ่มอย่างแรง
แปะ!
ความแสบเล่นงานชายหนุ่มทันที เขาลืมตาขึ้น ทันใดนั้นดวงตาเขาก็เบิกโพลงขึ้นอย่างคนตกใจ เขาไม่ได้ฝันไปหรอกเหรอเนี่ย หมอชัยย์ที่นึกว่าตัวเองฝันไปส่ายหัวไปมาเพื่อตั้งสติ ว่าแต่น้ำผึ้งมาทำอะไรที่นี่ น้ำผึ้งเธอยังคงทำหน้านิ่ง
“-_-|” หรือว่าเธอจะเป็นห่วงเขา?
“:)” เขายิ้มอ่อน ๆ ให้เธอเหมือนกับได้รับกำลังใจ แต่เธอยังคงนิ่งเหมือนเดิม น้ำผึ้งไม่รู้จะทำหน้ายังไง หรือจะเริ่มชวนคุยยังไง เธอทำตัวไม่ถูกหลังจากที่เห็นเขายิ้มให้เธอ รอยยิ้มมันดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
“-_-|” เธอได้แต่ยืนนิ่ง แต่แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“ผมขอกอดคุณได้ไหม” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนกะทันหันด้วยระยะที่ทั้งสองยืนไม่ได้ห่างกันมาก ทำให้ตอนนี้ หน้าผากของเธอแทบจะแนบอยู่กับริมฝีปากหนาของเขา ถึงน้ำผึ้งจะสูงมากถึง 170 แต่ทว่าหมอชัยย์กลับสูงกว่าเธอมาก
ด้วยความที่เธอตกใจทำให้เธอผงะใบหน้าออกแต่กลับไม่ได้ถอยหลังไป ชายหนุ่มเห็นเธอยืนนิ่งไม่ตอบอะไร เขาก็นึกว่าเธอจะยอมแต่แล้ว
ตุบ!
“โอ๊ย!!” มือหนายกขึ้นมากุมชัยย์น้อยทันทีที่หญิงสาวยกเข่าลง เธอยกเข่าขึ้นแทงเข่าไปที่ชัยย์น้อยของชายหนุ่มอย่างจัง ความจุกเข้าเล่นงานเขาจนตัวงอ
“แรงไปเหรอ” หญิงสาวที่เห็นท่าไม่ดีถึงกับเอ่ยถามเขา เธอทำมันแรงไปเหรอเนี่ย เธอแอบสงสารเขาอยู่ในใจลึก ๆ
กรอด ~
ชายหนุ่มขบกรามแน่น เขาทั้งจุกทั้งเจ็บ แต่เธอกลับถามว่าแรงไปไหมเหรอ เขาไม่ตอบอะไรเธอไปเพราะตอนนี้เขากำลังกัดฟันแน่น เพื่อระงับความเจ็บปวด
“ก็นายเล่นลุกขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังมาขอกอดอะไรก็ไม่รู้ ฉันก็ตกใจน่ะสิ” เธอพูดพร้อมกับทำหน้าทำตาน่าสงสาร จนชายหนุ่มถึงกับใจอ่อน
“แล้วจะไม่ให้กอดเหรอ” ความปวดได้ลดลงแล้ว ชัยย์เหยียดตัวเองหลังตรงอีกครั้งถึงแม้จะยังเจ็บอยู่
“กอดบ้าอะไรล่ะ อยู่ดี ๆ จะมา…อะ” ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ
ตุบ!
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปรั้งศีรษะคนตัวเล็กเข้ามาซบที่หัวไหล่เขาทันที โดยไม่รอให้เธอตอบตกลงอะไร ส่วนมือหนาอีกข้างของเขาได้โอบรัดหญิงสาวเขามาหาแผ่นอกหนาแน่นจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก
“อ่อย อัน อะ” (ปล่อยฉันนะ) เมื่อตั้งสติได้แล้วคนตัวเล็กเปล่งเสียงประท้วงทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังฝังอยู่กับหัวไหล่
“ขอกอดแบบนี้...อีกสักพักนะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตอนนี้เหมือนกับเขาได้รับพลังจากคนตัวเล็ก โดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยปลอบใจเขา เหมือนน้ำผึ้งจะนิ่งไปแล้ว เธอยืนให้ชายหนุ่มกอดนานพอสมควรโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
กลิ่นกายของเขาผสมกับน้ำหอมอ่อน ๆ ทำให้หญิงสาวเคลิ้ม แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดเคลิ้มทันทีที่เขาพูดขึ้น
“กอดแบบนี้แล้ว หน้าอกคุณนุ่มดีนะ”