บทที่8 เกี่ยวงา
ฉีหรงมาคุยกับพ่อและน้องสาวในวันต่อมา พวกเขาปิดห้องคุยกันเงียบๆในห้องหลัก โดยไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยโดยเฉพาะสะใภ้คนใหม่
“ท่านพ่อ ครั้งก่อนข้าไปขายข้าวและได้พูดคุยกับเจ้าของร้าน” เจ้าของร้านค้าธัญพืชอันดับสอง ยังแตกต่างจากเหรัญญิกฉู่ แต่ฉีหรงมองว่าเขายังดูดีกว่าเหรัญญิกจากร้านแรก
“เขาว่าอย่างไร”
“ข้าได้กล่าวว่าข้าวในฤดูกาลนี้มีอีกเพียงหนึ่งเกวียนเท่านั้น และข้าวฤดูกาลต่อๆไปก็อาจซื้อได้เพียงสองเกวียน การทำข้าวขาวชั้นสูงไม่ง่าย และเขาก็เข้าใจ แต่กล่าวว่าเป็นไปได้อยากได้สักสี่เกวียนในฤดูเก็บเกี่ยวหน้า”
ว่าแล้วฉีหรงก็หยิบหินสีเขียวกระจ่างขึ้นมา ฉีหยงมองด้วยสายตานิ่งเฉย แต่ฉีหรานตื่นเต้นมาก
“หยก!” หยกเป็นสินค้าระดับสูงมากไม่ว่าในยุคไหนๆ แม้มีเงินก็ไม่แน่ว่าจะครอบครองได้ ถึงก้อนนี้จะเล็กเท่านิ้วก้อยราวกับเศษหยกแต่ก็ดูดีมาก
“อาหรานรู้จักหรือ” ฉีหรงถามอย่างแปลกใจ “เจ้าของร้านมอบสิ่งนี้ให้ข้า บอกว่าเป็นสินน้ำใจเล็กน้อยหลังจากกล่าวเรื่องข้าวสี่เกวียนแล้ว นี่แปลว่าอะไรกัน”
ฉีหรานรับหยกมาจากมือพี่ชายขณะที่ระบบกำลังโวยวาย [หยกเนื้อดี หยกเนื้อดีขนาดนี้ ชิ้นส่วนเล็กๆมีพลังชีวิตตั้งเท่าไหร่ ขายที่ไหนดี ราคาเท่าไหร่ แลกได้กี่แต้ม]
‘เอาล่ะ เงียบๆก่อนระบบ’
ฉีหรานมองหยกก่อนจะมองพี่ชายและบิดา “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ นี่คือการติดสินบนเพื่อให้เราทำงานหนักขึ้น เจ้าของร้านยังหวังว่าเราจะติดต่อเพื่อรับข้าวมากขึ้น ฤดูกาลหน้าท่านบอกเขาว่ารับได้สามเกวียน ฤดูต่อไปค่อยเพิ่มอีกเกวียนหนึ่ง”
ฉีหรานหายตื่นเต้นแล้ว นางลูบหยกเบาๆและส่งให้บิดา ฉีหยงลูบเล็กน้อยและเลิกสนใจ แต่ยังเก็บไว้ในอกเสื้อ ฉีหรานไม่ได้แย้งคาดว่าหยกนี้จะไปอยู่ในมือมารดาในท้ายที่สุด
[เจ้านายหยกมีค่ามาก] เมื่อได้ยินเสียงระบบฉีหรานก็ทำเป็นเพิกเฉย หยกนี้สวยมากมารดาต้องชอบ จะเอาไปแลกตอนนี้ได้ยังไง ต่อไปในอนาคตต้องได้เจอหยกมากขึ้นแน่นอน ตอนนั้นค่อยชดเชยให้ระบบก็พอ
“เยี่ยม หนึ่งเกวียนยังได้เกือบสองตำลึง(ทอง) สี่เกวียนก็เป็นเงินเกือบแปดตำลึง ท่านพ่อคราวหน้าก็เช่าภูเขาให้น้องสาวน้องชายได้แล้วหรือไม่”
ฉีหยงกลับนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นมา
“อาหรานลองดู ภูเขาด้านหลังยังเชื่อมต่อกับถนนที่ห่างออกไปราวห้าร้อยเมตร ยังมีหมู่บ้านอยู่ด้านหลัง อย่างน้อยต้องสร้างกำแพงสามด้านก่อน จะมีเงินเพียงพอได้อย่างไร”
ฉีหรานคิดแล้วพยักหน้าตาม ค่าเช่าภูเขายังแพงมาก
“ท่านพ่อรู้ราคาเช่าภูเขาหรือไม่”
“ข้าลองไปถามหัวหน้าหมู่บ้านมา ภูเขาด้านหลังอย่างน้อยต้องมีสี่ตำลึงหรือห้าตำลึงต่อสิบปี”
นั่นราคาไม่ต่ำเลย สำหรับชาวบ้านธรรมดาจะมีเงินตำลึงที่ไหนกัน แม้มีเงินเก็บอยู่บ้างก็ตามที ไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่สามารถเช่าภูเขาได้แม้ต้องการไม้มากเท่าใด ยอมเสียภาษีกับทางการยังดีกว่า
ทั้งๆที่หากเช่าภูเขา กำไรย่อมมากกว่าห้าตำลึงต่อสิบปีแน่นอน เผลอๆอาจได้กำไรตั้งแต่ปีแรกๆ สิบปีให้หลังก่อนหมดสัญญายังสามารถตัดต้นไม้อีกชุดได้
ลำพังแค่ขายไม้ดิบให้กับโรงงานไม้ก็คุ้มค่าแล้ว แต่หากสร้างโรงงานไม้ด้วยตนเองก็ยิ่งได้กำไรมากขึ้น อย่างไรก็ตามนั่นเป็นสิ่งที่ต้องคิดต่อไป แม้ฉีมู่จะมีพรสวรรค์งานช่างไม้แต่เขายังขาดประสบการณ์
“ท่านพ่อ เมื่อมีเงินก็ลงทุนเช่าภูเขาเถิด ยังไม่มีกำแพงก็ไม่เป็นไรอย่างไรก็ยังไม่ได้ปลูกของดีในภูเขา แต่สามารถตัดไม้ออกมาขายได้บางส่วน คุ้มค่าแน่นอน” ฉีหรานมองว่าชาวบ้านไม่กล้าลงทุนจึงไม่ได้กำไร ในเมื่อมีเงินในมือไม่ต้องกลัวอาหารในบ้านขาดแคลน เช่นนั้นจะต้องกลัวอะไรว่าจะไม่มีเงิน
“เอาล่ะ เอาตามที่อาหรานว่า ขายข้าวคราวหน้าได้แล้ว ก่อนใบไม้ผลิพ่อจะลองติดต่อเช่าภูเขาดู” ที่ต้องรอใบไม้ผลิก็เพราะช่วงฤดูหนาวขยับทำอะไรก็ยากกว่าและไม่คุ้มค่า อย่างไรก็นับปีที่ใบไม้ผลิอยู่แล้ว ดังนั้นรอเข้าใบไม้ผลิก่อนแล้วค่อยเช่าจะคุ้มกว่า
เมื่อสรุปได้พ่อและลูกชายก็แยกย้าย ฉีหรานออกจากห้องและพบว่าพี่สะใภ้กำลังทำความสะอาดลานรอบๆบ้านอยู่
“พี่สะใภ้ท่านทำงานหนักได้อย่างไร ทำความสะอาดวันละรอบก็เพียงพอแล้ว” ไม่ใช่ฉีหรานไม่ทำความสะอาดบ้าน แต่ทำเพียงคร่าวๆก็เพียงพอ บ้านฉียังมีการรวมตัวทำความสะอาดใหญ่ทุกเดือนหรือสองเดือน ดังนั้นบ้านจึงสะอาดอยู่เสมอ
แทนที่จะทิ้งงานหนักให้ผู้หญิงในบ้านเท่านั้น บิดามีความสมดุลในการจัดการงานบ้านมากกว่าครอบครัวอื่นๆ
“ข้าจะอยู่เฉยๆได้อย่างไรกัน” ในสามวันแรกพ่อสามียังไม่ยอมให้ไปบุกเบิกป่าด้วยกัน เซี่ยฉินย่อมไม่มีอะไรทำ นางถือว่าตนเองว่างงานและเกียจคร้านไม่ดี
จะเดินไปแบกน้ำสามีก็ห้าม พี่น้องยังห้ามอีก จะไปทำสวนพวกเขายังห้ามและบอกว่านางไม่ควรทำงานในสามวันนี้ จะไปตกปลาพ่อสามีก็ห้าม สุดท้ายมากสุดคือกตัญญูอยู่เป็นเพื่อนแม่สามี
แต่เซี่ยฉินที่ทำงานหนักมาตลอดจะอยู่ว่างได้อย่างไรกัน เมื่อมีเวลาว่างต้องหยิบเศษผ้ามาปัดกวาดเช็ดถูจนพื้นเลี่ยม ฉีหรานนับถือใจจริงๆ
“พี่สะใภ้พรุ่งนี้พี่ใหญ่ต้องพาท่านกลับบ้านพ่อแม่คืนหนึ่ง เมื่อกลับมาก็ต้องลงไปทำงานหนักบุกเบิกป่าแล้ว กลับมายังต้องเรียนรู้การเย็บผ้ากับมารดาอีก ถือว่าท่านพักผ่อนก่อนงานจะยุ่งดีหรือไม่”
“นั่น...เอาล่ะข้าฟังน้องสาว” อย่างไรเมื่อเรียงลำดับแล้ว สะใภ้ต่ำกว่าพี่น้องสามีขั้นหนึ่ง เซี่ยฉินที่เคร่งครัดกฎบ้านทำได้เพียงเชื่อฟัง
“พี่สาวบ้านเรายังทำความสะอาดใหญ่ร่วมกันทุกเดือน ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดมากเกินไป ดูทำตามที่ข้าทำทุกๆวันก็เพียงพอแล้ว หากว่างก็ขึ้นเขาหาของป่ากับพี่ห้าน้องหก หรือเรียนเย็บปักกับมารดา”
“ข้าเข้าใจแล้วน้องสาว เมื่อไปทำงานในทุ่งได้ข้าจะทำงานให้หนักกว่าวัว”
“พี่สาวบ้านเรามีวัว” ฉีหรานพูดก่อนจะหัวเราะ ทำให้เซี่ยฉินหัวเราะแห้งๆตาม อย่างไรนางก็ยังไม่ชินกับการกฎระเบียบของบ้านฉีเลย และไม่รู้ว่าจะชินเมื่อไหร่
.
วันถัดมา
เนื่องจากพี่สะใภ้ต้องกลับบ้านเดิม ฉีหรงยังถือกระสอบข้าวเล็กๆสี่ห้าจินกลับไปด้วย ทำให้บ้านเซี่ยยินดีต้อนรับมากขึ้นสำหรับบ้านเขยที่ร่ำรวยขนาดนี้
“อาหรง อาเม่ย มามามานั่งก่อน” นางเซี่ยนั่งอยู่ในห้องโถงข้างนายเซี่ย ขณะที่ด้านข้างยังมีลูกเขย แต่ไม่เห็นลูกสาวคนโต ฉีหรงเป็นน้องเขยย่อมไม่สอดปาก ขณะที่เซี่ยฉินรู้ดีถึงความคิดของบิดามารดาที่ยกย่องลูกชายมากกว่าลูกสาว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ไม่เห็นพี่สาวอยู่ด้วย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่เป็นเพียงของเล็กน้อยจากบ้านเรา เมื่อไม่นานมานี้ท่านพ่อทำการค้าธัญพืชกับสหายที่เคยรู้จักกันในกองทัพ ได้กำไรมาบ้าง อย่างน้อยๆข้าวสารบ้านเราก็ไม่ขาดแคลน”
“ได้ยินอย่างนั้นแม่ก็เบาใจ อาหรงได้ยินว่าพ่อเจ้าไปถามเช่าภูเขางั้นหรือ” เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความลับ อย่างไรบ้านหัวหน้าหมู่บ้านก็อยู่ตรงกลาง ผู้คนผ่านไปมามากมาย ไม่นานข่าวที่ฉีหยงไปถามเรื่องเช่าภูเขาก็แพร่กระจายออกไป
“เป็นเรื่องจริงที่สอบถาม แต่ยังไม่แน่ว่าจะตัดสินใจยังไง”
“อาหรงไม่ใช่ว่าแม่ยุ่งเรื่องของบ้านเจ้าหรอกนะ เร็วๆนี้ก็เพิ่งเปิดที่ดินรกร้าง ยังต้องเก็บเงินไว้จ่ายภาษีอีก คนเรากินข้าวได้ทีละคำ อย่างไรผู้ที่ลำบากก็เป็นเจ้า”
“ท่านแม่ ข้ารับความห่วงใยของท่านไว้ในใจแล้ว” คำตอบรับของลูกเขย ทำให้นางเซี่ยพูดอะไรอีกไม่ได้ สุดท้ายจึงพูดกันเรื่องทั่วๆไป
เช่นว่าปีนี้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีหรือไม่ จะเริ่มปลูกข้าวเมื่อไหร่ ดินฟ้าอากาศเป็นอย่างไร กว่าจะรู้ตัวก็ล่วงมาถึงตอนเย็นแล้ว
โดยปกติลูกเขยต้องนอนที่บ้านคืนหนึ่ง นางเซี่ยยังมีความกังวลบนใบหน้า สุดท้ายหลังอาหารเย็นเซี่ยฉินจึงอดถามไม่ได้
“ท่านแม่ พี่สาวไปที่ใดไม่เห็นนางเลยทั้งวัน”
“อาเม่ย เฮ่อ พูดแล้วแม่ก็แม่ปวดหัวกับพี่สาวเจ้าจริงๆ” นางเซี่ยกุมขมับ
“ดูเจ้าแต่งออกไปได้เพียงสามวัน บ้านกลับขาดแรงหลักไปเสียแล้ว เราทำอย่างไรได้อีก” นางเซี่ยกล่าวแล้วเหลือบมองลูกเขยเล็กน้อย
ฉีหรงมีความตั้งใจอยู่แล้ว เขาได้ยินดังนั้นจึงกล่าวถามขึ้นมา
“ท่านแม่ เก็บเกี่ยวยังไม่เรียบร้อยดีหรือ” ต้องรู้ว่าทั้งหมู่บ้านเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วตอนนี้เริ่มตากข้าวเตรียมถอดออกจากรวง
“ข้าวน่ะเกี่ยวเสร็จแล้ว หากไม่ได้เจ้ามาช่วยก็คงไม่เสร็จเร็วปานนี้เหมือนกัน” นางเซี่ยมองลูกเขยอย่างขอบคุณ อดไม่ได้ที่จะมองลูกเขยอีกคนอย่างตำหนิ แต่คนกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยยังคงลอยหน้าลอยตา ทำให้นางยิ่งไม่พอใจลึกๆในใจขึ้นมา
หากไม่มีสิ่งเปรียบเทียบย่อมไม่เห็นปัญหา แต่เมื่อพบลูกเขยที่ขยันขันแข็ง ทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบกับเขยที่แต่งเข้าตระกูล ทั้งๆที่ควรจะเป็นแรงกำลังหลักแท้ๆแต่กลับไม่เอาไหน หากยังเป็นเช่นนี้ตระกูลไม่ล่มจมหรอกหรือ
“แต่บ้านเรายังปลูกงาอยู่ครึ่งหนึ่ง เกี่ยวไม่ดีก็จะร่วงทิ้งเสียหมด ใช้เวลาเก็บเกี่ยวไม่ต่างจากข้าวเลย อย่างที่รู้ถ้าเกี่ยวงาไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าปลูกถั่วไม่ทันก่อนหมดฤดูเพาะปลูกจะทำยังไง”
“ท่านแม่ เช่นนั้นข้าจะช่วยท่านกับท่านพ่อพรุ่งนี้ อาฉินก็จะช่วยด้วย” สองสามวันที่ผ่านมา ฉีหรงกลับไปช่วยงานที่บ้านพ่อตาแม่ยาย แต่ไม่ได้ให้ภรรยากลับไปช่วย คราวนี้ในเมื่อกลับบ้านเกิดของภรรยา นางย่อมต้องทำงานเขารู้ดีแม้ไม่เต็มใจก็ตามที
“อาหรงของเราเป็นคนดี แม่รู้” นางเซี่ยพูดแล้วอดหันไปดุลูกเขยอีกคนไม่ได้
“อาเซ่อ เจ้าก็ต้องหัดไปช่วยภรรยาที่ทุ่งมากกว่านี้รู้หรือไม่ ในอนาคตภรรยามีบุตรก็ต้องเลี้ยงบุตร เจ้าไม่ต้องดูแลเรื่องนอกบ้านให้ดีหรอกหรือ มาเถอะตามพ่อกับแม่ไปดูงานที่ทุ่งด้วยกันพรุ่งนี้”
“ท่านแม่ยายนี่...” อาเซ่อเป็นลูกชายคนเล็กของบ้าน เขาเอ่ยปากเกือบจะเถียงกลับแต่เพราะต้องอาศัยในบ้านนี้ ยังต้องให้เกียรติพ่อตาแม่ยาย สุดท้ายก็ทำได้เพียงหุบปากเท่านั้น
เขาแอบมองพี่เขยกับน้องสะใภ้ไม่ได้ หากสองคนนี้ไม่แต่งงานและกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม เขาคงไม่ต้องทำงานหนักเช่นนี้หรอก
ฉีหรงเห็นสายตาของอาเซ่อแต่ไม่สนใจ อย่างไรตนก็ไม่จำเป็นต้องมาช่วยบ้านพ่อตาแม่ยายบ่อยๆ มากสุดก็เพียงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องข้องแวะมากเกินไปเลยไม่ได้ใส่ใจ