บทที่11.2 วิกฤติ2

3181 คำ
“พี่รองปล่อยข้าลงเดินเองเถอะเจ้าค่ะ” ฉีหรานบ่นเมื่อถูกพี่ชายจับขี่หลังอีกครั้ง “อาหรานเราต้องแข่งกับเวลา เจ้าเพียงต้องนำทางให้พวกเราเท่านั้น” ฉีหยงปรามบุตรสาวไม่ให้เอาแต่ใจตัวเอง ทำให้ฉีหรานต้องยอมเงียบไปเพราะเห็นด้วยกับเหตุผลของบิดา “ไปทางตะวันออกของหมู่บ้าน ตรงเข้าป่าไปเรื่อยๆก่อนเจ้าค่ะ” ฉีหรานพยายามขุดความทรงจำ นางจำได้ว่าระหว่างทางที่หนีจากบ้านร้างกลางป่าที่แม่ลูกเซี่ยขังตนไว้ นางเคยเข้าใกล้จุดที่มีพืชระดับสามอยู่ เพียงแต่เพราะมันอันตรายเกินไปเลยไม่ได้ออกนอกเส้นทางเพื่อไปเก็บเกี่ยว จำได้ว่าบริเวณนั้นเป็นเหมือนหุบเหวลงไป ถ้าเดินตรงไปเรื่อยๆต้องเจออย่างแน่นอน เพราะตอนนั้นนางก็ตรงมาเรื่อยๆจนมาถึงหมู่บ้านเช่นกัน “ป่าตะวันออกงั้นหรือ มันค่อนข้างกว้างทีเดียว อาหรานแน่ใจนะว่าในนั้นมีของที่เราต้องการอยู่” ฉีเล่อกล่าวอย่างกังวล “พี่รอง ท่านไม่เชื่อข้า ก็เชื่อผู้แลกเปลี่ยนเถอะเจ้าค่ะ” ฉีหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ทั้งกลุ่มเงียบเสียงลง เดินเข้าป่ามานานนับชั่วยามแต่ก็ยังไม่พบพืชที่ต้องการ ฉีหรานใช้ระบบสแกนจนเสียไปหล ายร้อยแต้มแล้ว ‘ระบบจำเส้นทางในชาติก่อนได้มั้ย’ [จำได้ แต่แนะนำให้สแกนไประหว่างทางด้วย เผื่อเจอพืชระดับอื่นๆ อย่างเมื่อครู่] ฉีหรานลอบพยักหน้าเบาๆ เมื่อครู่บังเอิญเจอพืชระดับหนึ่ง หรือความล้ำค่า 10% หากนำไปวางขายย่อมได้หลายหมื่นแต้มทีเดียว นี่ก็เพียงพอสำหรับซื้อยาให้ท่านแม่ไปได้อีกหลายเดือนแล้ว “ท่านพ่อ เราเข้าป่าแบบนี้บ่อยๆไม่ได้หรือเจ้าคะ” ฉีหรานอดถามไม่ได้ “ป่าเขาไม่ใช่สิ่งที่อยากจะเข้าก็เข้ามาได้ มันอันตรายอย่างยิ่ง หากไม่จำเป็นพ่อก็ไม่อยากให้พวกเจ้าเข้ามานัก” [บิดาของท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เดินไปทางซ้ายสักเค่อหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงรังหมาป่า] “ท่านพ่อด้านหน้าเป็นรังหมาป่า ต้องเดินไปทางซ้ายสักเค่อเพื่อหลีกเลี่ยง…แต่ท่านพ่อข้ามีผู้แลกเปลี่ยนคอยเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ ก็ยังอันตรายอยู่อีกหรือเจ้าคะ” ฉีหรานยังไม่ยอม ตอนนี้ความหอมหวานจากการพบพืชล้ำค่าระดับหนึ่งยังทำให้นางติดใจ “แต่เจ้าก็จำเป็นต้องเข้ามาด้วยตัวเอง อาหรานตอนนี้เจ้าเพิ่งเจ็ดหนาว!”ฉีหรงกล่าวตอบแทนบิดา เขารู้ว่าบิดาคิดอะไรอยู่ เมื่อถูกเตือนสติฉีหรานจึงพยักหน้ารับเบาๆอย่างเข้าใจ “ข้าเข้าใจแล้ว” “อาหราน ถ้าเจ้าอยากเข้าป่ามาหาพืชล้ำค่า เช่นนั้นก็มาเรียนวิชากับพ่อ” ฉีหยงยอมลงให้บุตรสาวมากแล้วเมื่อเอ่ยเช่นนี้ “ข้ายอมแพ้แล้วก็ได้เจ้าค่ะ”ฉีหรานได้ยินก็ขนลุกซู่ นางยังเป็นเด็กสาวปกติ จะสามารถฝึกฝนหนักๆเหมือนพี่รองได้ยังไงกัน แค่คิดก็กลัวจะตายแล้ว “เช่นนั้นก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก หากไม่จำเป็นจริงๆพ่อก็ไม่คิดจะให้พวกเจ้าเข้าป่า ในนี้อันตรายพอๆกับสนามรบ หากพ่อเห็นด้วยคงส่งอาเล่อไปสนามรบนานแล้ว” ฉีหยงพูดยาวที่สุดในช่วงหลายเดือนมานี้ก็ว่าได้ แต่มันก็ทำให้ฉีหรานกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น ‘ที่แท้ท่านพ่อก็เป็นห่วงข้า ทั้งยังเป็นห่วงลูกๆทุกคน บางทีในชีวิตก่อนอาจเป็นข้าเองที่ไม่เข้าใจท่านพ่อ’ ฉีหรานแอบคิดไม่ได้ หากในชีวิตก่อนหน้านางเชื่อใจบิดา เลือกเปิดเผยความลับต่อหน้าเขาอย่างตรงไปตรงมา ทุกอย่างก็คงไม่ย่ำแย่จนถึงวันที่นางตกตาย “ระวัง!” ฉีหรานได้ยินเสียงเตือนของระบบ ก่อนส่งเสียงบอกทุกคน ทันใดนั้นพุ่มไม้ด้านข้างก็สั่นไหว เมื่อแหวกออกจึงเผยให้เห็นหมู่ป่าตัวอ้วนที่โผล่ออกมา ทั้งสองฝ่ายมีระยะสบตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหมูป่าจะทำท่าทางฮึดฮัดและพุ่งเข้าหามนุษย์กลุ่มนั้น หมูป่าตัวโตไม่ได้เกรงกลัวมนุษย์ตัวจ้อยแม้แต่น้อย แค่หมูป่าตัวเล็กๆหนักไม่กี่ร้อยจิน ย่อมไม่เป็นปัญหาสำหรับฉีหยงและฉีเล่อ ทั้งสองรับมือและฆ่ามันลงในพริบตา ฉีหรานปีนลงจากหลังพี่รองด้วยใบหน้าเบ้ ตอนนี้หน้านางถูกเลือดหมูป่ากระเซ็นใส่จนดูไม่ได้ “อำมหิตจริงๆพี่รอง ท่านมันไร้หัวใจ” ว่าแล้วฉีหรานก็เก็บหมูป่าเข้าระบบ ในระบบมีช่องเก็บของอยู่ ฉีหรานไม่ค่อยเข้าใจนัก นางเลยไม่ได้ใช้งานเท่าไหร่ แต่หลังย้อนเวลากลับมาก็ได้ใช้งานระบบมากขึ้น ‘ช่วยแยกชิ้นส่วนให้ด้วย’ นี่เป็นอีกวิธีการใช้งานระบบ ซึ่งฉีหรานก็ใช้งานได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือหลังแยกชิ้นส่วนแล้ว บางส่วนที่ไม่จำเป็นอย่างกระดูกและเขี้ยวหมูป่า สามารถนำไปแลกเปลี่ยนในร้านค้าได้ “อาหรานเจ้าต่างหากที่อำมหิต ข้ายังตกใจกลัวไม่หายเจ้ากลับเดินเข้าไปเก็บซากหมูป่าหน้าตาเฉย” ฉีเมิ่งดุน้องสาวที่ไม่รู้จักกลัวอะไร ฉีหรานชะงักไปเล็กน้อย นางเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองดูแตกต่างจากเด็กสาวทั่วไป “เดินทางต่อเถอะ” ฉีหยงรีบห้ามทัพ ฉีเมิ่งจึงเดินไปเช็ดหน้าให้น้องสาวแล้วอุ้มนางขึ้นไปเกาะบนหลังพี่ชายคนโตแทนในคราวนี้ ฉีหรงรู้สึกว่าน้องสาวตัวหนักขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกปวดหลังนิดหน่อยในวันนี้ สงสัยเพราะภรรยาของตนทำอาหารอร่อยเกินไป น้องสาวตัวน้อยเลยอวบอิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “อาหราน เจ้ากินอาหารให้น้อยๆลงหน่อยนะ มีน้ำมีนวลก็สวยดี แต่มีมากไปก็ไม่ดี” “พี่ใหญ่ ข้าจะฟ้องพี่สะใภ้” เมื่อถูกน้องสาวข่มขู่ ฉีหรงก็รีบหุบปากฉับ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆของฉีเล่อ และฉีเมิ่ง บรรยากาศผ่อนคลายลงเล็กน้อยจากความตึงเครียดเรื่องอาการของมารดาเมื่อเช้า ตอนนี้ฉีเมิ่งเป็นฝ่ายระวังหลังเพราะเขาขี้ระแวง ดังนั้นขบวนบ้านฉีจึงค่อนข้างปลอดภัย นอกจากหมูป่าแล้วยังเจอกวาง เพียงแต่ฉีหยงร้อนใจเรื่องภรรยาจึงไม่ได้แวะล่า สุดท้ายหากสัตว์ไม่ได้พุ่งเข้ามาทำร้ายก่อนบ้านฉีก็ปล่อยไปทั้งหมด เดินเข้ามาในป่าได้เพียงสามชั่วยาม แต่กลับร้อนระอุทั้งๆที่มีร่มไม้คอยบังแดดให้ “ร้อนจริงๆ ทั้งๆที่เข้าหน้าหนาวแล้วแท้ๆ” ฉีเมิ่งอดบ่นไม่ได้ขณะยื่นผ้าชุบน้ำให้น้องสาว “ข้าไม่เป็นไร พี่สามใช้เถอะเจ้าค่ะ” ฉีหรานไม่เหนื่อยจริงๆ นางถูกอุ้มตลอดจะเหนื่อยจากอะไรกัน “ใกล้ถึงรึยังอาหราน พ่อกังวลอาการของมารดาเจ้า” “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง เรามีเวลาทั้งวัน” เมื่อฉีหรานยืนยันเช่นนั้นทุกคนก็เบาใจลงบ้าง แต่ยังเคร่งเครียดมากขึ้นทุกขณะเมื่อเวลาค่อยๆผ่านพ้นไป จนกระทั่งเวลาราวๆบ่ายสองโมงตามที่ระบบบอก หรือราวกลางยามเว่ย* (13.00-14.59น.) ฉีหรานก็มาถึงบริเวณหุบเหวที่ว่า “ใต้หุบเหวนี้แหละเจ้าค่ะ มีพืชระดับสามอยู่” ฉีเมิ่งชะโงกหน้าออกไปมอง เห็นเพียงหุบเหวลึกไร้ก้นสีดำมืดก็ได้แต่ตัวสั่น “อาหราน ที่นี่จริงหรือ” “อาหรานมันอยู่ตรงไหน หน้าตาเป็นยังไง พ่อจะลงไปเอง” ฉีหยงกล่าวหนักแน่น “ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าข้าต้องลงไปด้วยตัวเอง” ฉีหรานมองทุกคน คงมีเพียงระบบที่รู้ว่าพืชต้นไหนที่ต้องการ นางจะให้พวกเขาลงไปแทนตัวเองได้อย่างไรกัน “ไม่ได้!” เด็กหนุ่มบ้านฉีทุกคนคัดค้านขึ้นมาทันที “พี่ชาย พวกท่านก็รู้ว่ายังไงข้าก็ต้องลงไปด้วยตัวเอง มีเพียงข้าที่รู้ว่าพืชต้นไหนที่ผู้แลกเปลี่ยนต้องการ” “พอเถอะ”ฉีหยงปรามลูกชายที่กำลังจะโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง “เตรียมเชือกโรยตัว ข้ากับอาหรงจะพาอาหรานลงไปเอง อาเล่อเจ้ารอดึงพ่อกับพี่ชายขึ้นมา เจ้าไม่ต้องยิ้มอาหราน เมื่อกลับบ้านไปเจ้าต้องมาฝึกฝนกับพ่อและพี่ชายทุกเช้า” “ท่านพ่อ!” ฉีหรานร้องโอด แต่ก็พอจะเข้าใจบิดาได้ หากมีเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง นางก็ยังต้องไปตามหาพืชล้ำค่าด้วยตัวเองอีกครั้ง ฝึกฝนไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร นึกถึงตัวเองเมื่อชาติก่อนที่โดนลูกสาวของแม่เซี่ยรังแกง่ายๆ ก็ถอนหายใจ พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี อย่างน้อยหากมีวิชาติดตัว จะได้ไม่โดนผู้อื่นรังแกโดยง่ายอีก ทุกคนช่วยกันเตรียมตัวเพื่อปีนลงไปใต้หุบเหว ไม่รู้ว่ามันลึกเท่าใดแต่ต้องเตรียมเชือกยาวๆเอาไว้ ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามจึงพร้อมปีนลงไป ฉีหรานถูกผูกติดกับร่างของบิดา ดูแล้วเหมือนลูกลิง ขณะที่พ่อต้องใช้สองมือปีนลงไปด้านล่าง เพราะระบบยืนยันว่าไม่พบทางอื่นที่จะลงไปได้ ฉีหรงเองก็เตรียมตัวอย่างดี เขายังคอยช่วยถือตะเกียงน้ำมันที่เตรียมมา ยังมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่เตรียมไว้เผื่อเจอสัตว์ร้ายอันตราย คำกล่าวที่ว่าเข้าป่าอย่าเรียกหาเสือ ขึ้นเรืออย่าเรียกหาจรเข้เป็นความจริงรึเปล่า ลงมาได้ไม่นานฉีหรานก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเข้ามาใกล้ ระบบยังร้องเตือนขึ้นมาทันที “ท่านพ่อระวังงู!” เมื่อได้ยินเสียงเตือนทุกคนก็ระมัดระวังมากขึ้น ฉีหยงจำต้องใช้มือหนึ่งจับอาวุธ เขาเปลี่ยนไปใช้มีดสั้น แต่ก็ดูคล่องตัว สามารถตัดหัวงูออกในการออกอาวุธครั้งเดียว ทำให้ฉีหรานผู้โชคร้ายโดนเลือดงูสาดใส่หน้าอีกครั้ง ‘ให้ตายเถอะ พวกท่านเป็นคนฆ่า ทำไมข้าต้องเป็นคนโดนเลือดสาดตลอดเลย’ กว่าเท้าจะถึงพื้น ฉีหรานต้องร้องเตือนสามรอบด้วยกัน สุดท้ายก็สามารถมาถึงพื้นเบื้องล่างได้อย่างปลอดภัย ที่น่าทึ่งคือแท้จริงหุบเหวนี้คือ ‘เหมืองหยก’ แม้ไม่มีทางเข้าออกแต่ภูเขาหินทั้งแถบก็เป็นหินหยกทั้งหมด ‘ระบบแน่ใจนะว่าในหินพวกนี้มีหยก’ [แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ขอรับ เจ้านายต้องมาที่นี่อีกครั้งนะ] ‘ต้องทำยังไงถึงจะได้หยกมา’ [ต้องขุดเหมือง] ‘ช่างก่อนเถอะ ตอนนี้ท่านแม่เหลือเวลาไม่มากแล้ว พืชต้นไหนที่ระบบต้องการ’ [มีพืชล้ำค่าอยู่สองต้น เจ้านายเดินไปทางนั้นได้เลย] ฉีหรานเดินไปตามที่ระบบแนะนำโดยมีสองพ่อลูกเป็นองครักษ์ พวกเขายังไม่รู้เรื่องหยกจึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ฉีหรานเดินไปเก็บต้นไม้ทั้งสองขึ้นมา เมื่อส่งเข้าระบบ เสียงตื่นเต้นก็ดังขึ้น [เจ้านายสามารถซื้อยารักษาของท่านแม่ได้หากนำต้นไม้ในวันนี้เข้าประมูลทั้งหมด เจ้านายต้องการหรือไม่] ‘ใช้เวลาประมูลเท่าไหร่’ [ไม่เกินสามชั่วโมงขอรับ] ฉีหรานลังเลเล็กน้อย นางกลัวว่ามารดาจะรอไม่ไหว แต่แล้วเสียงของระบบก็เรียกสตินางอีกครั้ง [กว่าเจ้านายจะเดินทางไปถึงโรงหมอ คาดว่าคงเป็นเวลาพอๆกัน] ‘จริงหรือ? ข้าลืมนึกไปได้ยังไง งั้นก็ลงประมูลได้เลย แต่แน่ใจนะว่าแต้มจะเพียงพอสำหรับยารักษาจริงๆ’ [พอแน่นอนขอรับ แต่ถึงจะกินยารักษาไปแล้วแต่ก็ต้องฟื้นฟูสภาพร่างกาย ต้องกินยาอีกสองตัวไปอีกนับครึ่งปี เจ้านายยังต้องการให้ประมูลอยู่หรือไม่] ‘แล้วถ้าไม่เอาเข้าประมูลแล้วเอาไปรักษาท่านแม่เลยละ’ [เช่นนั้นก็สามารถทำได้เพียงรักษาอาการกำเริบในคราวนี้เท่านั้น] ‘งั้นประมูลเลย ถามทำไมกัน เด็กๆยังรู้เลยว่าทางเลือกไหนดีกว่า’ ฉีหรานลอบกลอกตา เมื่อเห็นบิดาและพี่ชายกำลังเตรียมปีนกลับขึ้นไปด้านบน ก็ตะโกนเรียก “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ผู้แลกเปลี่ยนยังบอกว่า ภูเขาหินตรงนี้มีเหมืองหยกอยู่เจ้าค่ะ” “เหมืองหยกงั้นหรือ นี่เรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย” ฉีหยงได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ เห็นลูกสาวเดินนำตะเกียงไปส่องกับผนังหินก็ตามไปดู ฉีหรงเองก็สนอกสนใจ หลังได้เห็นหยกครั้งก่อนเขาก็หมายมั่นว่าจะต้องหาหยกมาให้มากๆ ตั้งใจจะเอามาทำเครื่องประดับให้ทั้งท่านแม่ น้องสาว ภรรยา และลูกสาวที่กำลังจะเกิดมาด้วย “อาหรานอยากซื้อเหมืองหยกนี้งั้นหรือ” ฉีหยงไม่แน่ใจว่าตรงนี้มีหยกจริงมั้ย แต่หลังได้หยกมาครั้งนั้นเขาก็ลองไปหาข้อมูลดู จึงรู้ว่าหากชาวบ้านเจอเหมืองหยกนอกจากสามารถขายสิทธิ์ขุดเหมืองให้คหบดีหรือขุนนางได้แล้ว ยังสามารถซื้อเหมืองมาขุดเองได้ด้วย “เจ้าค่ะ ข้าไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่ระบบต้องการหยกมาก” “ที่นี่มีหยกจริงๆใช่มั้ย อาหรงมัดน้องสาวเจ้าติดกับพ่อเถอะ เราค่อยคุยกันหลังจากนี้” ฉีหยงกลัวว่าเวลาไม่พอจึงเร่งให้ลูกสาวกลับขึ้นไปด้านบนก่อน ฉีหรานเข้าใจและปีนขึ้นหลังเขาเงียบๆ ขณะที่พี่ชายมัดตัวนางติดกับร่างของบิดา ก่อนทั้งสามจะปีนขึ้นไปด้านบน โดยมีฉีเล่อและฉีเมิ่งคอยดึงช่วยจากด้านบน ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ง่ายๆ “ด้านล่างนั้นเป็นเหมืองหยกจริงๆหรืออาหราน” ฉีหรงเอ่ยถามเมื่อปีนมาถึงปากเหวแล้ว เขาแกะเชือกออกจากตัว ก่อนหันไปมองน้องสาว “เกิดอะไรขึ้น อาหรานเจอหยกงั้นหรือ” ฉีเมิ่งเอ่ยถามตาเป็นประกาย เขาเห็นหยกที่ท่านแม่เอาให้ดู มันสวยมากๆเลย ใครๆก็คงชอบหยก “เดินไปคุยไปเถอะ อาเล่อเจ้าแบกน้องสาว อาเมิ่งเจ้าคอยช่วยพี่ชายด้วย” “อาหรานเจ้ารู้มั้ยว่าหากซื้อเหมืองหยกแล้ว ยังต้องเสียภาษีให้ราชสำนักถึงห้าส่วนด้วยกัน แถมแรงงานก็ต้องออกเงินดูแลเองทั้งหมด มีเพียงทหารที่จะถูกส่งมาประจำการคอยดูแลเหมืองเท่านั้น นั่นเป็นหน้าที่ที่ราชสำนักรับผิดชอบดูแลเหมืองหยกในฐานะหุ้นส่วนครึ่งหนึ่ง” “เช่นนั้นทำไมราชสำนักไม่ทำเองทั้งหมดล่ะเจ้าคะท่านพ่อ” ฉีหรานถามอย่างสงสัย “แคว้นเรากว้างใหญ่ เจอเหมืองกันทุกปี ราชสำนักจะเอากำลังทหารและทาสที่ไหนมาดูแลเหมืองมากๆ ยังเป็นการกระจายรายได้ให้ประชาชนด้วย เรื่องนี้พ่อก็ไม่ชัดเจนนัก” “เช่นนั้นแปลว่าจะไม่มีการปล้นเหมืองใช่มั้ยเจ้าคะ” “ใช่ และไม่ใช่ ทหารที่ถูกส่งมาก็เพียงสิบนายเท่านั้น เอาไว้คอยตรวจสอบจำนวนสินแร่ทั้งหมดที่เหมืองขุดได้ และทำให้เจ้าของเหมืองไม่สามารถคดโกงได้ เรายังต้องดูแลเหมืองด้วยตัวเอง อาจต้องหาจ้างสำนักคุ้มภัยที่ไว้ใจได้” “ซื้อเจ้าค่ะ ข้าจะซื้อเหมือง” “เช่นนั้นก็รอสักหน่อยก่อนเถอะ พ่อต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแลเรื่องนี้” ฉีหยงนึกถึงทาสทหารสมัยก่อนที่ตนเองเคยช่วยชีวิตไว้ในสนามรบ ต่อมาพวกเขาบางคนก็แขนขาใช้การไม่ได้เพราะได้รับบาดเจ็บกลับมา จึงถูกปลดประจำการ ทาสทหารเป็นทาสที่ทำความผิดร้ายแรงถึงชีวิต อย่างเช่นครอบครัวกบฎหรือครอบครัวขุนนางต้องโทษ ถูกใช้เป็นแรงงานชั้นต่ำในค่ายทหาร แต่เมื่อมีศึกสงครามกลับกลายเป็นโล่มนุษย์ที่ออกหน้าประชันกับข้าศึก แต่ถึงจะเป็นนักโทษแต่ก็มีคนดีอยู่มาก เพราะส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ทำความผิดด้วยตัวเอง แต่เป็นต้นตะกูลที่ทำผิดจนถูกลงโทษตามไปด้วย “ข้าเชื่อท่านพ่อ” ฉีหยงได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีความทรงจำในชีวิตก่อน ย่อมรู้ว่าใครที่ดีกับตัวเองจริงๆ และใครที่ไว้ใจไม่ได้ เขาจึงพยักหน้ารับคำเบาๆขณะเดินออกจากป่า ขากลับใช้เวลาเร็วกว่ามาก อาจเพราะเร่งฝีเท้าเป็นสองเท่า แถมฉีหรานยังชี้บอกทางออกจากป่าจึงได้เดินบนถนนเรียบๆ ใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงเมือง ผ่านประตูเมืองมาได้จึงเห็นว่าฉีปิงยืนรออยู่หน้าโรงหมอ เมื่อเห็นพ่อและพี่ชายกลับมาเขาก็มีสีหน้าดีขึ้นทันที “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านหมอกล่าวว่าอาการของท่านแม่แย่แล้วขอรับ ดีเหลือเกินที่ท่านมาทัน” มองตาแดงๆของฉีปิง เชื่อเลยว่าท่านหมอคงวินิจฉัยโรคนางฉีหนิง และบอกให้ญาติทำใจแล้วอย่างแน่นอน “พี่ห้า ค่อยพูดกันอีกทีเถอะเจ้าค่ะ” ฉีหรานมองหน้าบิดา ฉีหยงจึงหันไปกระซิบฉีเล่อเบาๆ “อาเล่อไปเตรียมเกวียนเทียม” จากนั้นทั้งกลุ่มจึงเดินเข้าไปในโรงหมอ “บ้านฉีรึ เร็วเข้าเถอะไปดูใจนางฉี ข้าจนใจแล้วจริงๆ ต้องขออภัยด้วยที่ข้าไร้ความสามารถ” หมอเฒ่าเห็นบ้านฉีเดินเข้ามาก็กล่าวขอโทษจากใจ “ท่านหมอทำเต็มที่แล้ว พวกเราเข้าใจเจ้าค่ะ” ฉีหรานกล่าวปลอบใจคนชรา ขณะที่ฉีหรงเดินเข้าไปในห้อง ก่อนเดินออกมาพร้อมมอบถุงเงินให้ท่านหมอ “นี่เป็นค่ารักษาท่านแม่ ท่านหมอรับไปเถอะขอรับ” “จะได้อย่างไรกัน ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย” หมอเฒ่าปฏิเสธ “พวกเราขอนำท่านแม่กลับบ้านก่อน นี่เป็นสินน้ำใจเล็กน้อยท่านหมอรับไปเถอะขอรับ” “เช่นนั้นข้ารับแค่ค่าตรวจหนึ่งเฉียนพอ ไปๆ ไปอยู่กับแม่เจ้า” ว่าแล้วก็ไล่ฉีหรงจากไปโดยยอมรับเงินไว้เพียงห้าร้อยอีแปะ ฉีหรานเดินเข้าไปในห้องและเฝ้ามองบิดาอุ้มมารดากลับออกจากโรงหมอ ท่าทางเศร้าสร้อยของบ้านฉีอยู่ในสายตาคนในหมู่บ้านที่เข้ามาในเมือง ไม่นานข่าวร้ายของบ้านฉีก็แพร่ออกไปอีกรอบ เพียงแต่คราวนี้ไม่มีใครคิดออกไปแก้ต่างเพราะมัววุ่นวายกับอาการเจ็บป่วยของฉีหนิง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม