ตอนที่ 9
“กงจู่แต่ไหนแต่ไรก็เติบโตนอกวังหลวง ความคิดอ่านก็แตกต่างจากในวัง อีกทั้งกงจู่ยังสดใสร่าเริง หากจะว่ากงจู่ดื้อรั้น ก็คงจะเป็นเหมือนกับไทเฮา ที่ยังคงประสงค์ให้กงจู่กับกระหม่อมแต่งงานกัน” เขากล่าวขึ้นพลางขบขัน ยายหลานนิสัยไม่ต่างกัน แต่กับคล้ายคลึงกันนัก
“เจ้ามันช่างร้ายกาจนัก เหน็บข้าเข้าให้จนได้” หญิงชรากล่าวขึ้น สีหน้าดูเบิกบาน แต่ทว่าซ่อนความปวดร้าวเอาไว้
“กระหม่อมมิกล้า เพียงแค่กราบทูลตามความเป็นจริง ท่านยายอย่างไร มีหรือหลานสาวแตกเหล่าผ่ากอ ออกไปได้อย่างไรกัน หากกงจู่ได้รับรู้ความจริงใจของไทเฮา สักวันจะต้องเข้าใจถึงความหวังดี” เขากล่าวขึ้นมา เมื่อนึกถึงใบหน้าของนางในดวงใจก็รู้สึกเหมือนมีกำลังใจขึ้นมา ยามนางแย้มยิ้มดูสดใสไร้พิษภัย แต่ทว่าอย่าให้นางได้จับดาบเชียว คล้ายกับนางปีศาจน้อยก็ว่าได้
“เกรงว่าวันนั้นคงจะมาไม่ถึง ไม่รู้ว่าจะได้พบหน้าของกุ้ยอิง อีกครั้งหรือไม่” น้ำเสียงของไทเฮาดูเจือจางเต็มไปด้วยความปวดร้าว และทรมานใจ ใบหน้าของผู้สูงวัยดูจะหมองหม่นนัก ดวงตาคู่งามก็คล้ายกับกำลังมีความฝ้าฟาง นับวันสุขภาพของนางกำลังแย่ลงไปทุกที
สิ่งเดียวที่ไทเฮานึกถึงตลอดเวลา และเป็นห่วงยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ก็คือหลานสาวที่แสนจะดื้อรั้นเอาแต่ใจ ไม่สนใจว่ายายแก่เช่นพระนางนั้นหวังดีกับหลานสาวผู้นี้ยิ่งกว่าชีวิตของนางเองเสียด้วยซ้ำไป แต่ทว่าความปรารถนาดีกลับถูกเมิน และยังถูกเด็กสาวทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดีอีกด้วย
“หากคลื่นลมในวังหลวงสงบสุข ไร้คนคิดไม่ซื่อก่อกบฏ กระหม่อมก็คงจะขอติดตามไท่จื่อเดินทางไปพบหน้ากงจู่เช่นเดียวกัน หากวันนั้นมาถึง กระหม่อมจะกราบทูลให้กงจู่ได้ฟัง ว่าไทเฮาทรงเป็นห่วงกงจู่ยิ่งนัก”
“ข้าจะรอวันนั้น วันที่นางเดินทางกลับมา และให้อภัยยายแก่ผู้นี้”
ห้องโถงใหญ่ มีแขกที่ฟางหรูไม่ได้เต็มใจยินดีต้อนรับให้เข้ามาในจวนนี้แต่อย่างใด ทว่าชายคนนี้กลับใช้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อ้างฐานะคู่หมั้นมาเยี่ยมเยือน ก่อนจะกลับไปเมืองหลวงอีกครั้ง ดังนั้นแล้วเย่วฟางหรูจึงทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนฝืนทนกับความหน้ามึนของอีกฝ่าย
มิหนำซ้ำส่งแววตาหวานฉ่ำ ฉีกยิ้มหวานยั่วยุนางให้อีก มีหรือคนอย่างฟางหรูจะดีอกดีใจได้พบเจอบุรุษเช่นเขาคนนี้ นางจึงประชดเขาเข้าให้ ด้วยการกลอกกลิ้งตาไปมา เหลือบตามองบนเบะปากใส่อย่างหมั่นไส้ นึกแล้วยังแค้นใจไม่หาย ฟางหรูไม่รู้จะสรรหาคำพูดอันใดมาตอกหน้าอีกฝ่ายให้หงายท้อง
ช่างอับจนหนทางเสียเหลือเกิน!
“หลานชายวันนี้อยู่รับอาหารมื้อกลางวันด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ” เถาจื่อเทากล่าวขึ้นมาแย้มยิ้มให้ว่าที่ลูกเขยอย่างเป็นมิตร เห็นชายหนุ่มขยันแวะเวียนมาพบหน้าลูกสาวของตนเองเช่นนี้ ก็ดูท่าว่าชายหนุ่มจะมีใจให้ฟางหรูไม่น้อย ผิดกับนางที่มักทำตัวเย็นชาหรือไม่ก็แยกเขี้ยวยิงฟันใส่ชายหนุ่ม
คนเจ้าเล่ห์ยิ้มพราวระยับ เมื่อเห็นว่าท่านอาเอ่ยขึ้นอย่างเชื้อเชิญ เขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง อดยิ้มแป้นอย่างชอบใจไม่ได้ แม้ว่าภายนอกของเขาจะดูคล้ายกับคนโหดเหี้ยม เย็นชาไร้ความรู้สึก นั่นคือในตำแหน่งหน้าที่ของเขาที่จะต้องดูแลและสั่งการเหล่าทหารภายในหน่วยที่มีมากมาย
แต่ทว่ายามเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าสาวงามที่พึงใจแล้วละก็เขาจะเป็นคล้ายดั่งคนเจ้าเล่ห์ หลอกล่อนางให้จนมุม แย้มยิ้มคอยยุแหย่หยอกเย้าให้โกรธ หรือกระทั่งหัวเราะขบขัน สิ่งนี้คือสิ่งที่เขาปรารถนาในตัวของฟางหรู เมื่อได้เพียงแค่พบหน้าอีกครั้ง ก็ทำให้เขาตกหลุมรักนางโดยไม่รู้ตัว
หนึ่งปีเต็มที่เขาเฝ้าคิดถึงสาวงามคนนั้น และก็คือนางในวันนี้ เถาฟางหรู คือสตรีที่เขาพึงใจ และนางจะเป็นเพียงภรรยาคนเดียวของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มแย้มยิ้มและจึงได้กล่าวขึ้นมา “วันนี้ข้าก็ตั้งใจมาฝากท้องที่นี่ล่ะขอรับ ได้ยินมาว่าหรูเอ๋อร์ทำอาหารฝีมือยอดเยี่ยมนัก จึงอยากจะลองชิมสักครั้งก่อนกลับเมืองหลวง”
หลิวมู่ฉวนกล่าวขึ้น แต่ทว่าเห็นสาวงามทำหน้าบูดบึ้งก็อดที่จะชอบใจไม่ได้ “วันนี้หรูเอ๋อร์ของพี่จะทำอะไรหรือ ให้พี่ช่วยดีหรือไม่” เขาทำอาหารอร่อยนะ มิใช่หยิบจับอันใดไม่เป็น ยามเมื่อต้องออกเดินทางไกล ห่างไกลจากเหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยม กระทั่งโรงน้ำชาก็หาได้มีไม่ ยามนั้นก็ต้องจับปลาในแม่น้ำขึ้นมาย่าง ขุดมันในดินขึ้นมาเผาเพื่อประทังชีวิต
“...” คนตัวเล็กไม่กล่าวอันใด นางจึงเงียบปากมิอยากจะพูดมากความกับอีกฝ่าย หาไม่แล้ววันนี้นางคงจะได้จัดการชายหนุ่มเบื้องหน้า เมื่อเห็นเขาส่งสายตาราวกับเจ้าหมาป่ากระหายหิวเนื้อลูกกวาง ประเดี๋ยวนางจะใช้น้ำร้อนสาดไล่เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่เล่นหูเล่นตาน่ารำคาญเช่นนี้อีก
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็พูดคุยกันไปต้อนรับมื้อกลางวันแล้วกัน ส่วนข้าก็คงจะต้องขอตัวไปส่งหมิงเอ๋อร์ที่สำนักศึกษา วันพรุ่งนี้ถึงจะกลับ ระหว่างนี้ก็พูดคุยศึกษากันไปก่อนแต่งงาน” จื่อเทาปล่อยโอกาสให้หนุ่มสาวทำความคุ้นเคยกันมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าลูกสาวของตนจะไม่ค่อยชอบว่าที่สามีตนเองเท่าไหร่นัก บิดาเช่นเขาก็มิได้บีบบังคับนาง แต่ก็รู้สึกผิดต่อลูกสาวไม่น้อยจะต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่รัก
เย่วฟางหรู นางยังใช้แซ่เย่วเพื่อระลึกถึงมารดาที่จากไป แซ่เถาจะเรียกขานเพียงแค่เฉพาะคนรู้จักกับบิดาของนางเพียงเท่านั้น แท้จริงแล้ว แซ่เย่วของนางดูจะสลักสำคัญไม่น้อย ชาติกำเนิดแท้จริงของเย่วฟางหรูยังคงถูกปกปิดเอาไว้
นั่นเพราะเย่วฟางหรูมิเคยเปิดเผยฐานะแท้จริงของนาง ตั้งแต่ท่านแม่ถูกขับออกจากวังหลวง เพราะขัดพระประสงค์รับสั่ง ให้แต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก ดังนั้นเองเย่วฟางหลันจึงได้พบรักแท้ก็คือบิดาของนางในยามนี้
ทว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ของนาง แน่นอนว่าฟางหรู บุตรีเพียงคนเดียวของฟางหลันรับรู้ทุกเรื่องราวก่อนหน้านั้นและ ฐานะที่แท้จริงของนาง ขณะเดียวกันบิดาของนางไม่เคยรู้เลยว่าท่านแม่ของนางแท้จริงแล้วคือใครกัน
เหวินซื่อรู้สึกปวดศีรษะจึงคิดว่าอยากจะพักผ่อนอยู่ในเรือน จึงให้ทั้งสองคนได้พูดคุยทำความรู้จักกันให้มากขึ้น “หรูเอ๋อร์ วันนี้แม่รองปวดหัวยิ่งนัก ถ้าอย่างไรก็ทำเผื่อแค่คุณชายหลิวก็พอ” เมื่อกล่าวจบก็ถูกสาวใช้ประคองร่างบอบบางคล้ายจะเป็นลมได้ทุกเมื่อเข้าไปในเรือนของนาง
“เจ้าคะท่านแม่” ฟางหรูยิ้มหวานมอบให้กับมารดาเลี้ยง แต่ดวงตาซ่อนเล่ห์เอาไว้ “หึ อร่อยแน่เจ้าค่ะงานนี้” ฟางหรูยิ้มเหี้ยมขึ้นมา ส่งสายตาให้ชายหนุ่มเล็กน้อย ทว่าสายตานี้เหมือนกำลังแฝงบางอย่างเอาไว้ ทำให้ท่านรองแม่ทัพรู้สึกถึงลางร้ายมาเยือน
สาวงามเดินจากไป ปล่อยให้ชายหนุ่มเดินเล่นอยู่ด้านหน้าของจวน นั่นคือสวนดอกไม้ที่นางชมชอบยิ่งนัก อีกทั้งยังมีศาลาขนาดใหญ่ยื่นไปอยู่ในสระบัว ทำให้บรรยากาศช่างดูอบอุ่นและผ่อนคลายไปในคราวเดียวกัน สาวงามเดินเข้าไปในครัว จัดการอาหารมื้อกลางวันสุดแสนพิเศษให้ชายหนุ่ม