ตอนที่ 7

1302 คำ
ตอนที่ 7 “ถามจริง ๆ เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ” และแล้วหลิวมู่ฉวนก็นึกขึ้นได้ เมื่อต้นฤดูหนาวปีที่แล้วเขานำเหล่าทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางมายังเมืองตงหยาง เพื่อส่งเสบียงให้กับเหล่าชาวบ้านที่ประสบภัยหนาว และยังได้พบหน้าของคุณชายเถาที่มายืนแจกอาหารให้ชาวบ้านผู้ประสบภัยด้วย ยามนั้นเขารู้สึกซาบซึ้งใจนักที่มีคุณชายผู้หนึ่งทนหนาวยืนตักข้าวต้มและไม่ปริปากบ่นสักคำ เมื่อสืบทราบว่านางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลคหบดีในเมืองตงหยาง ตัวเขาเองงก็ยังมาขอข้าวต้มโรงทานตระกูลเถาของนางในวันถัดมา และเอ่ยกล่าวขอบคุณแทนทหารที่ได้รับข้าวต้มจากจวนคหบดีของเมืองตงหยาง เขาได้พูดคุยกับนางเพียงแค่นั้น “ข้าไม่เคยพบท่านมาก่อน เหตุใดจะต้องเคยพบท่านด้วยเล่า” นางจำเขาไม่ได้สักนิดอีกอย่างนางไม่เคยสนใจชายใดนอกเสียจากชายคนนั้น เขาเป็นทหารเดินทางมายังเมืองตงหยาง ได้พูดคุยกับเขาเพียงแค่ครู่เดียว ชื่อของเขานางก็ไม่รู้ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเศษฝุ่น ดังนั้นจึงเห็นหน้าไม่ชัด มิหนำซ้ำยังแต่งกายเหมือนกันหมดทุกคนอีกด้วย “แต่ข้าจำเจ้าได้นะ ไม่เคยลืมด้วยซ้ำไป” เขากล่าวพลางเดินตามแผ่นหลังอันบอบบาง นึกไม่ถึงว่านางก็คือคุณหนูเถาคนนั้นนี่เอง ช่างเป็นโชคชะตาทำให้เขาได้พบนางอีกครั้ง หลังจากชอกช้ำรักมานานหลายปี พบนางหนึ่งครั้งยังตราตรึงจนถึงทุกวันนี้ เห็นทีว่านางจะต้องเป็นพรหมลิขิต วาสนาด้ายแดงของผู้เฒ่าจันทราได้ผูกนางกับเขาให้มาเจอกันอย่างแน่นอน “อยากจำก็จดจำให้ขึ้นใจเล่า แต่ตัวข้าคร้านจะใส่ใจบุรุษเช่นท่าน” สาวงามเร่งฝีเท้าหนีคนบ้า เกิดมาเพิ่งจะเคยเจอผู้ชายคิดเข้าข้างตนเอง เขาคงจะฝึกฝนหนักเป็นแน่ หรือไม่สมองของเขาก็กระทบกระเทือนอย่างหนักอาการจึงได้ดูวิปลาสเช่นนี้ “สักวันข้าจะทำให้เจ้าจำข้าได้ขึ้นใจ ว่าข้าคือคู่หมั้นและสามีของเจ้าในอนาคต หรูเอ๋อร์ เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกนะ” แคว้นหนาน ในท้องพระโรงของพระวังแคว้นหนาน ยามนี้นั้นล่วงเลยมานานหลายปี ท่านมหาเสนาบดีกรมกลาโหมอ้าย สีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อลูกชายมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพหลวง ปกป้องพระราชบัลลังก์แห่งนี้มาช้านาน ปีนี้อายุเขาย่างจะสามสิบปี แต่ก็ยังไร้วี่แววว่าที่คู่หมายของเขาจะกลับมา เขาจะปล่อยให้รออีกต่อไปไม่ได้! บัดนี้มหาเสนาบดีอ้ายจึงคิดว่า จะขอทวงความเป็นธรรมให้กับบุตรชายของตนเองให้ได้ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่ากงจู่กุ้ยอิง เดินทางท่องเที่ยวต่างดินแดน สมควรแก่การหวนคือวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นั่นเพราะเจตนาของเขาคือ ต้องหารให้กงจู่ขั้นหนึ่ง หนานกุ้ยอิงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับบุตรชายของเขา หนานกุ้ยอิง หรืออีกชื่อหนึ่งของนางกงจู่ผู้นี้ก็คือ เย่วฟางหรู ตามชื่อที่พระมารดาของนางตั้งเอาไว้ ทว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหรือก็คือพี่ชายต่างพระมารดาของหนานฟางหลัน มารดาของฟางหรู ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการแต่งตั้งกงจู่ขั้นหนึ่ง มอบชื่อพระราชทานให้ใหม่คือ หนานกุ้ยอิง ซึ่งแปลว่า องค์หญิงผู้มีความสูงส่งล้ำค่าและมีความสำคัญยิ่ง ยังพระราชทานตำแหน่งองค์หญิงขั้นหนึ่ง เป็นรองเพียงแค่ไท่จื่อ เทียบเท่ากับชินอ๋อง ลำดับความสำคัญนี้ ทำให้ชินอ๋องแดนเหนือไม่พอพระทัยนัก หนานฟางหลันหลบหนีออกจากวังหลวง เพราะถูกบังคับให้อภิเษกกับ ชนเผ่าแดนทุ่งหญ้าของแคว้นหนาน ชนเผ่าทุ่งหญ้า ไร้อารยธรรม หากนางแต่งเป็นภรรยาหัวหน้าเผ่า แต่ถ้าสามีของนางสิ้นใจไป นางจะต้องตกเป็นภรรยาของหัวเผ่าคนใหม่ทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงจะไม่ต่างจากสตรีนางโลม ดังนั้นเอง ฟางหลันจึงได้ไม่เคยบอกฐานะแท้จริงกับใคร จนกระทั่งนางกลับมายังแคว้นหนานอีกครั้ง พร้อมกับบุตรีของนาง เมื่อนั้นเองตำแหน่งฮองเฮา พระมารดาแผ่นดิน กลายเป็นไทเฮา พระนางทรงหายกริ้วที่พระธิดาของสนมเอกเมินเฉยต่อคำสั่ง แต่ทว่าเพียงแค่เห็นดรุณีน้อย ติดตามพระมารดากลับวังหลวง ทำให้ไทเฮา เบิกบานพระทัยไม่น้อย กับความน่ารักสดใส และเป็นเด็กช่างพูดจา ออดอ้อน เพียงเท่านี้ไทเฮาก็มีเสียงสรวลในทุก ๆ วัน แม้ว่าจะมีเรื่องราววุ่นวายในวังหลวงมากมายก็ตามที แต่ทว่าหลานสาวตัวน้อยนั้น ได้มอบความสุขให้พระนางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมแม่ทัพหลวงอ้ายซือฟง ขอกราบทูลว่า ยามนี้องค์หญิงกุ้ยอิงอายุยังน้อย หากองค์หญิงยังประสงค์อยู่ต่างแคว้น หรือปฏิเสธการหมั้นหมาย กระหม่อมไม่ขอบีบบังคับพ่ะย่ะค่ะ” ด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ เขาไม่เคยบีบบังคับใจ กับนางเองก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะเฝ้าปรารถนาได้พบนางอีกครั้ง แม้จะเฝ้าปรารถนาให้นางอยู่เคียงกายจนแก่เฒ่า ผูกผมไปด้วยกันจนสีผมจากดำเป็นขาว แม้ว่าจะรักนางมากเพียงใด แต่ก็ไม่อยากจะฝืนใจของนางให้เจ็บปวดและชอกช้ำใจ “เจ้าพูดจริง ๆ รึ” สุรเสียงมั่นคงและพระพักตร์บึ้งตึงเอ่ยถามขึ้น “กระหม่อมพูดจากใจจริงพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” อ้ายซือฟงเอ่ยขึ้น สีหน้าของเขายังคงสุขุมรอบคอบ แผ่กลิ่นอายผู้นำออกมาชัดเจน แม้สีหน้าของเขาคล้ายคนเย็นชา และไร้ความรู้สึก แต่ทว่าภายในใจของเขามีเพียงแค่นางผู้เดียวที่ครอบครองหัวใจที่เหน็บหนาวและด้านชา มหาเสนาบดีกลาโหม หรือบิดาของแม่ทัพอ้าย สีหน้าประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดง เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวนัก ลูกชายของเขามีความคิดอ่านไม่รอบคอบ หากเกี่ยวดองกับราชวงศ์แล้ว อำนาจและเงินทอง รวมถือบรรดาศักดิ์จะตามมา “ทูลฝ่าบาท” มหาเสนาบดีอ้ายกำลังจะกล่าวขึ้นมา ทว่ามีน้ำเสียงเนิบนาบรื่นหูหลังม่านกล่าวขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน “เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องโต้เถียงกัน ยามนี้อ้ายเจียได้ส่งไท่จื่อ ออกติดตามกุ้ยอิงกลับวังหลวงแล้ว อีกไม่นานคงจะได้ข่าว รอข่าวดีจากอ้ายเจียอีกหน่อย รับรองว่าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง” ไทเฮา หรือ พระมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกล่าวขึ้น น้ำเสียงเนิบนาบ นั่งอยู่หลังบัลลังก์มังกร มีม่านโปร่งสีทองเหลืองอร่ามขวางกั้นเอาไว้ รับปากอีกฝ่ายเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าอย่างไรเสีย พระนางจะต้องตามตัวหลานสาวผู้ไม่รักดีกลับมาให้ได้ แม้จะยากเย็นเพียงใด ใครเล่าจะรู้ว่ามือของพระนางแปดเปื้อนเลือดมาเท่าไหร่ ทุกคนต่างเข้าใจว่าพระนางมีจิตใจที่โหดร้าย หากพระนางไม่ร้ายกาจ มีหรือจะดูแลวังหลังอันแสนวุ่นวาย และสกปรกนี้ได้ พระราชกิจของฮ่องเต้มีมากมาย ขุนนางน้อยใหญ่ฝักใฝ่อำนาจ ราษฎรอดยากนั่นเพราะมีขุนนางชั่วช้า ฐานอำนาจของพระนางในมือยามนี้กำลังลดลง ทำให้ขุนนางน้อยใหญ่กระด้างกระเดื่อง คิดเปลี่ยนขั้วอำนาจ ส่งเสริมให้ชินอ๋องแดนเหนือก่อกบฏ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จะต้องเสียไพร่พลกี่หมื่นคนกัน แผ่นดินจะต้องนองเลือด ผู้คนล้มตายเป็นเบือ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม