ลมหนาวพัดเข้ามายังในตำหนัก หากเป็นตำหนักอื่นคงไม่สามารถแทรกผ่านเข้ามาได้ แต่สำหรับที่นี่แม้แต่หน้าต่างยังพัง ไม่แปลกที่ข้าจะต้องนั่งบนเตียงพลางห่มผ้าด้วยความหนาวสั่นแบบนี้
“พระสนมหม่อมฉันยกอาหารมาให้แล้วเพคะ”
ข้ามองหนิงลี่ที่เดินกลับมาหลังจากไปยังห้องเครื่อง นางเป็นหญิงสาวที่อายุยังน้อยแทนที่จะได้รับใช้พระสนมคนอื่นหรือฮองเฮาแต่กลับมารับใช้ข้าที่ต่ำต้อย
“หนิงลี่ เจ้าไม่ต้องมาดูแลข้าแล้ว” นางเพียงวางสำรับอาหารไว้บนโต๊ะโดยไม่สนใจคำพูดของข้า คงเพราะข้านั้นพูดให้นางฟังหลายครั้ง ตอนแรกนางตกใจพอบ่อยครั้งเริ่มชินชา
“ต่อให้พระสนมพูดเป็นพันๆ ครั้งหม่อมฉันก็ไม่ไปเพคะ” นางว่าพลางเดินมาหา พอเห็นข้าตัวสั่นนางก็ตกใจรีบจับมือ เมื่อพบว่าเย็นมากจึงรีบหาผ้ามาให้แต่ว่าก็มีเพียงน้อยนิด
“มะ...หม่อมฉันจะไปขอผ้าจากตำหนักอื่นนะเพคะ”
“ไม่ต้อง...แค่นี้พอแล้ว”
“พระสนม”
“ข้าไม่หนาวมากแล้ว”
“ตัวเย็นขนาดนี้ จะไม่หนาวได้อย่างไรเพคะ หากฮองเฮาไม่ให้ข้ารับใช้นำผ้าออกไปจากตำหนัก พระสนมคงไม่ต้องห่มผ้าเก่าๆ ขาดๆ แบบนี้ ฮึก...ก...”
“หนิงลี่ข้าไม่เป็นไรจริงๆ อีกอย่างข้าป่วยโรคความเย็นเข้าแทรกต่อให้ห่มผ้าจนหนาก็ยังหนาว คงทำได้เพียงกินยาแต่ว่าข้านั้นป่วยเรื้อรังแล้วคงไม่หายง่ายๆ”
“ฮึก...ก...พระสนม” นางนั่งข้างข้าและกุมมือแน่น
“หนิงลี่…ห้าปีมานี้มีแต่เจ้าที่ดีต่อข้านัก…เชื่อข้าเถอะเจ้าอย่ารับใช้ข้าเลย…หากคนของฮองเฮามาอีกครั้งข้าจะพูดเรื่องนี้”
“ไม่เพคะ…หม่อมฉันไม่ไป…หม่อมฉันจะอยู่กับพระสนมจนตาย…”
ข้าถอนหายใจพลางมองไปยังหน้าต่างที่พัง ซึ่งหนิงลี่นำผ้ามาปิดไว้แต่ความหนาวก็ยังแทรกซึมเข้ามาได้
“หากข้าลาออกจากวังสำเร็จเมื่อไรเจ้าจะได้หลุดพ้นจากข้าเสียที”
“ถ้าพระสนมไป หม่อมฉันก็จะไปด้วย”
ข้านั้นคิดลาออกจากวังหลวงตั้งแต่ปีแรกที่ถูกหย่งหมินหมางเมิน เพราะอยู่ไปข้าก็เป็นยิ่งกว่าเศษดินที่เขาไม่สนใจดังนั้นจึงเข้าเฝ้าฮองเฮาเพื่อขอลาออกแต่ว่า….นางไม่ให้ข้าไป
นางคล้ายต้องการให้ข้าอยู่ไว้กลั่นแกล้ง เพราะตั้งแต่วันที่นางสั่งให้ข้าอยู่ตำหนักนี้ก็มักส่งคนมาทุบทำลายของ ผ้าห่มก็ถูกนำไป ขาของข้าบางครั้งก็ถูกขัดจนล้ม นางกำลังสนุกคงไม่ปล่อยข้าไปง่ายๆ
ข้าจะต้องออกไปให้ได้ ข้าอยากไปหาท่านพ่อและให้ท่านด่าว่าข้าโง่เขลาที่หลงเชื่อคำของชายคนหนึ่ง แต่ว่าแม้เวลาจะล่วงเลยแต่ข้าก็ยังรักหย่งหมิน….แม้จะค่อยๆ ลดลงไปก็ตาม….
หากแต่เสียงเรียกจากด้านนอกทำให้หนิงลี่ประคองข้าออกไป ทั้งยังใช้ผ้าคลุมกายให้
คนที่มาเรียกเป็นคนของฮองเฮาเหมือนทุกครั้ง
“ท่านมีอะไรรึ”
“ฮองเฮาให้ข้าเชิญท่านไปทานอาหารที่สวนหลวง”
“บังอาจ! กล้าพูดกับพระสนมเช่นนี้…”
ข้ายกมือห้ามหนิงลี่ให้หยุดพูดต่อ
ข้าเป็นแค่คนธรรมดาไม่ควรใช้ศัพท์สูงส่งแต่แรกแล้ว เคยห้ามหนิงลี่เพราะนางก็ใช้คำผิดถูกหลายครั้งและข้าเองก็ฟังไม่เข้าใจเช่นกัน แต่นางก็ไม่ฟัง ดังนั้นเมื่อคนของฮองเฮาพูดต่อข้าเช่นนี้ ข้าจึงไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร
แต่ว่าวันนี้แปลกนักทำไมฮองเฮาถึงให้ข้าออกนอกตำหนัก อีกอย่างข้าไม่เคยออกนอกตำหนักเลยนับตั้งแต่อยู่ที่นี่
“ฮองเฮาเชิญข้ารึ”
“ใช่ อีกอย่างฝ่าบาทก็จะประทับอยู่ด้วย”
ข้าเบิกตากว้างและยิ้มทันที “ฝ่าบาท…ก็อยู่ด้วยงั้นรึ”
“ใช่น่ะสิ” พูดจบคนสนิทของฮองเฮาซึ่งอายุมากพอสมควรก็เดินออกไปนอกตำหนัก
ข้าหันไปยิ้มให้หนิงลี่ทันที
“หนิงลี่...ข้า...ข้าอยากเปลี่ยนชุด…”
“เพคะ…พระสนม…” นางก็น้ำตาคลอไปด้วย
วันนี้ข้าจะได้เจอหย่งหมิน เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะดีใจเหมือนข้าหรือไม่ หรือว่าเขาจะสั่งให้คนของฮองเฮามาบอกให้ข้าไป
พอคิดว่าจะได้เจอกันก็ไม่สามารถที่จะกลั้นยิ้มได้ แม้กระทั่งตอนที่หนิงลี่สวมชุดให้ ข้าก็ยังยิ้ม
ยืนมองตัวเองในกระจก ร่างกายข้าซูบผอมกว่าเก่า เมื่อก้มมองมือก็พบว่าจากผิวคล้ำกลายเป็นซีดขาว หากหย่งหมินเห็นข้าเขาจะพูดอะไร
หรือถามว่า ซือซือทำไมเจ้ากลายเป็นแบบนี้
ข้ายกยิ้ม เมื่อนึกถึงเขาที่เรียกชื่อข้า
“ไปเถอะเพคะ”
“อืม…”
หนิงลี่ประคองข้าออกไปนอกตำหนัก แม้ความหนาวจะทำให้ตัวข้าสั่นและปวดไปถึงกระดูกแต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่าอบอุ่นนัก ข้าไม่เป็นอะไร ข้ามีแรงมากกว่าเมื่อครู่นัก
อีกไม่กี่ก้าวข้าจะได้เจอกับหย่งหมินแล้ว
“พระสนมเดินช้าๆ เถิดเพคะ ขาของพระสนมไม่ค่อยดี”
“หนิงลี่ข้าดีใจจนแทบจะอดทนรอไม่ไหว ข้าอยากเจอฝ่าบาท แม้ยามปกติขาข้าจะเดินไม่ไหวแต่วันนี้กลับเดินคล่องนัก”
หนิงลี่ก็ยิ้มและประคองข้าเดิน จนกระทั่งถึงศาลากลางสวนหลวงและเห็นใบหน้าของหย่งหมินที่นั่งอยู่น้ำตาของข้านั้นเอ่อคลอและไหลอาบแก้มทั้งสอง ไม่เจอกันห้าปีเขาดูองอาจกว่าเก่านัก ใบหน้าเดิมที่เกลี้ยงเกลาตอนนี้มีหนวดแล้ว ยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามมากกว่าเดิม
หย่งหมินและฮองเฮาที่นั่งเคียงข้างต่างเงยหน้ามอง ข้าก็รีบเช็ดน้ำตาและทำความเคารพ หย่งหมินให้ข้ายืนตามสบาย เมื่อเราสองคนมองกันและกัน ข้ารู้สึกเหมือนครั้งแรกที่เราสบตากันนัก
“เจ้า…” ข้ายิ้มเมื่อเขามองหน้าข้าและกำลังจะเอ่ยพูด “...เจ้าเป็นใคร”
ข้าคลายยิ้มยืนนิ่งทันทีเมื่อเขาถาม…ว่าข้าเป็นใคร…
“ฝ่าบาท ลืมพระสนมซือซือแล้วหรือเพคะ” ฮองเฮาเอ่ยบอก
“พระสนม...ซือซือ” เขาขมวดคิ้วแล้วมองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แม้จะคล้ายสตรีแต่มองยังไงก็ชายไม่ใช่รึ จะเป็นสนมข้าได้อย่างไร”
มือข้าเริ่มสั่นมากขึ้น ขาก็ปวดจนทนไม่ไหว ทั้งที่เมื่อครู่ยังไม่รู้สึกอะไรหรือเพราะหัวใจข้านั้นเริ่มอ่อนแอ
ข้าเม้มปากก้มหน้าพยายามกลั้นน้ำตา
“ฝ่าบาทให้สนมซือซือนั่งเถิดเพคะ เพราะขาของสนมนั้นไม่ปกติ”
“งั้นรึ ถ้าอย่างนั้นเจ้านั่ง”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ข้าค่อยๆ นั่งลงด้วยตัวเอง เพราะหนิงลี่นางอยู่นอกศาลาและยืนมองห่างๆ แต่ดวงตานางนั้นเริ่มเอ่อคลอไม่ต่างจากข้าแล้ว
ข้าค่อยๆ เงยหน้ามองหย่งหมินที่นั่งตรงข้าม เราห่างกันเพียงเอื้อมแต่ทำไมข้าถึงรู้สึกไกลนัก เขากำลังหัวเราะเมื่อฮองเฮากำลังพูดเรื่องสนุก เขากำลังยิ้ม แต่ไม่ใช่ยิ้มให้ข้า
“เจ้าชื่อซือซืองั้นรึ”
“พะ…พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไปเจอเจ้าได้อย่างไร ถึงรับเจ้ามาเป็นสนม”
ข้ากำมือแน่นแต่ก็ค่อยๆ เอ่ยพูดออกไป “กะ...กระหม่อมเจอฝ่าบาท...บาดเจ็บจึงประคองกลับบ้าน…ตอนที่เกิดกบฏชินอ๋องในตอนนั้น”
เขาขมวดคิ้วแล้วถามต่อ “เจ้าอาศัยอยู่ที่อำเภอใด”
“…กระหม่อมเพียงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ตรงเชิงเขา ไม่มีชื่อหมู่บ้านแต่ว่าตรงนั้น….จะเรียกว่าดินแดนดอกเหมยฮัวก็ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ”
เขาเพียงพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ
“งั้นรึ…แต่ข้าจำไม่ได้แล้ว”
ข้าพยายามสูดหายใจเพื่อกลั้นน้ำตาแต่ก็ทำไม่ได้สุดท้ายก็ต้องค่อยๆ เช็ด
“ฝ่าบาท…งานบวงสรวงเทพสวรรค์ปีนี้ให้สนมซือซือมาร่วมงานด้วยดีไหมเพคะ”
“ให้มาทำไม เจ้าบอกไม่ใช่รึว่าซือซือขาไม่ดี อีกอย่างข้าไม่อยากให้พวกคณะทูตที่มารู้ว่าข้ามีสนมชายให้ขายขี้หน้า”
การมีตัวตนของข้าทำให้ท่านขายหน้างั้นรึ ข้าไม่ควรอยู่ที่นี่ใช่ไหม
“มะ...หม่อมฉันนั้นโง่เขลานัก ขออภัยเพคะ”
“ช่างเถอะ มาทานอาหารดีกว่าวันนี้มีของที่ข้าและเจ้าชอบทั้งนั้น”
ข้ามองอาหารที่วางอยู่แม้ท่าทางจะเลิศรสแต่ข้าก็ทำเพียงค่อยๆ คีบข้าวเข้าปาก ข้าอยากลุกออกไปจากตรงนี้แล้วไม่อยากรับรู้ว่าข้าถูกลืมเลือนจากเขาไปหมดสิ้นแล้วจริงๆ