……………………
เช้าต่อมาเราสองคนต่างทำความสะอาดบ้าน และหลังเก็บข้าวของทุกอย่างก็ถึงเวลาปิดประตู ข้าอยากมองบ้านที่อาศัยอยู่กับท่านพ่อให้นานที่สุด
เพราะข้าจะต้องไปแล้ว
“ซือซือไปหาท่านพ่อกันเถอะ”
“อืม…”
ข้าทั้งดีใจและเสียใจ ที่จะได้ออกไปจากที่นี่พร้อมหย่งหมิน แต่ว่าข้าต้องจากบ้านที่อาศัยอยู่จนอายุสิบหก ต้องจากท่านพ่อที่กายฝังอยู่ใต้ดิน
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลซือซืออย่างดี ท่านโปรดวางใจ”
“ฮึก...ก...ท่านพ่อ แล้วข้าจะกลับมาหาท่านอย่างแน่นอน”
เราสองคนก้มกราบท่านพ่อก่อนจะลุกจากไป
ก่อนไปเราต่างล่ำลาคนในหมู่บ้าน ท่านลุงใจดีมอบม้าให้หนึ่งตัวเพื่อให้เราเดินทางไป หย่งหมินอุ้มข้าขึ้นหลังม้าและเขาก็กระโดดขึ้นตามพร้อมกับเดินทางไปยังที่หมาย
“บ้านของท่านอยู่ที่ใดหรือ”
“เมืองหลวงแคว้นหนาน”
“เมืองหลวงเชียวรึ”
แม้ข้าจะถามเขาว่าเพราะเหตุใดถึงได้บาดเจ็บหนักและเขาก็ตอบว่าต่อสู้กับกบฏชินอ๋องและพลาดท่า แต่ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย คิดว่าเป็นนายทหารคนหนึ่งเท่านั้นและไม่คิดว่าบ้านของเขาจะอยู่ที่เมืองหลวงเพราะคิดว่าเป็นทหารที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองนี้
“ดอกเหมยฮัวที่นี่เยอะจริงๆ”
“อืม...ที่นี่เรียกว่าเป็นดินแดนของดอกเหมยฮัวก็ย่อมได้”
ข้ามองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวและสีแดง บางครั้งเมื่อลมพัดมาดอกไม้จะร่วงโรยจากต้น หย่งหมินก็นำมือรองรับแล้วนำมาทัดที่หูของข้าแล้วก้มลงหอมแก้ม
“นั่งพักดีหรือไม่”
“อืม…” ข้าพยักหน้ายิ้ม
เราสองคนหยุดพักใต้ต้นเหมยฮัว ข้านั่งพิงส่วนหย่งหมินก็นอนหนุนตักข้า
“รู้ไหมข้านอนมองเจ้าแบบนี้ เจ้าช่างงดงามนัก ดอกเหมยฮัวที่ร่วงโรยถูกตัวเจ้าทำให้ข้านึกว่าเจ้าคือเทพสวรรค์เสียอีก”
ข้ายกยิ้ม “ท่านชมข้าเกินไป อย่าว่าแต่เทพสวรรค์ รูปโฉมข้าแค่มีคนชมว่าพอดูได้ก็ดีใจมากแล้ว”
“ทำไมเจ้าชอบคิดว่าตัวเองต่ำต้อย”
“เพราะเรื่องจริงไม่ใช่หรือ”
“ซือซือ หากข้าไม่ใช่ข้าในตอนนี้เจ้าจะยังรักข้าหรือไม่”
“อย่างไรรึ”
“หากข้าไม่ใช่หย่งหมินทหารที่ต่ำต้อยเจ้าจะยังรักข้าหรือเปล่า”
ข้ายิ้มแล้วลูบหัวเขาเบาๆ “ท่านพูดอะไรน่ะ ต่อให้ท่านเป็นใคร ข้ารักทั้งนั้น แล้วท่านล่ะจะยังรักข้าหรือไม่หากกาลเวลาล่วงเลย”
“ย่อมรัก ย่อมรักแน่นอน เจ้าคือหัวใจของข้า ข้าจะรักเจ้าตลอดไป”
คำบอกรักของเขาทำให้หัวใจข้าเต้นแรงทุกครั้ง ข้าคิดว่าหากเดินทางถึงบ้านท่าน ต่อให้ท่านพ่อ ท่านแม่ หรือครอบครัวท่านรังเกียจข้า ข้าจะไม่หวั่นไหวเพราะท่านอยู่เคียงข้างข้า
เราทั้งสองเริ่มเดินทางอีกครั้ง แต่เมื่อข้ามองด้านหน้ากลับพบเห็นกลุ่มคนคล้ายทหารกำลังควบม้ามาทางนี้ ข้านั้นสงสัยแต่หย่งหมินกลับยิ้มและรีบควบม้าไปใกล้พวกเขา
และหยุดม้าลง เช่นเดียวกับทหารเหล่านั้นที่ต่างเบิกตากว้างอย่างตกใจและรีบหยุดม้าเช่นกัน ทหารที่น่าจะยศสูงสุดเพราะดูจากชุดที่สวมใส่รีบลงจากหลังม้าและก้มหัวจรดพื้นทั้งน้ำตา
“ฝะ...ฝ่าบาท ในที่สุดกระหม่อมก็เจอฝ่าบาท ฮึก...ก... ดีใจเหลือเกินที่ฝ่าบาทปลอดภัย”
“ฝ่าบาท...”
ทหารหลายนายรีบลงจากหลังม้าและก้มหัวจรดพื้นไม่ต่างกัน ข้านั้นนิ่งค้างและค่อยๆ หันไปมองเขาทันที
เขาน่ะหรือคือฮ่องเต้แคว้นหนาน
ค่ำคืนนั้นข้านอนไม่หลับแม้จะอยู่ในโรงเตี๊ยมก็ตาม เพราะข้ายังทำใจไม่ได้นึกอยากหนีไปให้ไกลแต่หย่งหมินที่นั่งอยู่ข้างๆ บนเตียงก็กุมมือข้าไว้
“ข้า...”
“เจ้าจะไปไหน”
“ข้าอยากกลับบ้านแล้ว”
“ทำไม…ไหนเจ้าบอกว่าจะไม่ไปไหน”
“แต่ท่าน...ฮึก...ท่านคือฮ่องเต้…ข้าเป็นแค่ชาวบ้านและก็...เป็นผู้ชาย”
“ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าอย่าคิดว่าตัวเองต่ำต้อย ข้ารักเจ้า เจ้าก็รักข้า แค่นี้เพียงพอแล้ว”
“หย่งหมิน...ข้ากลัว...”
“เจ้าไม่ต้องกลัวข้าจะปกป้องเจ้าเอง…เรื่องการใช้ชีวิตเจ้าก็ใช้ตามเดิม...และเรียกข้าว่าหย่งหมินเหมือนเดิม”
หย่งหมินโอบกอดข้าและก้มจูบขมับพลางพูดปลอบ
ข้าและหย่งหมินพร้อมทหารนับร้อยเดินทางกลับวังหลวงท่ามกลางประชาชนที่มาต้อนรับ ข้านึกอยากหันหน้าซุกอกเขานักรู้สึกทำตัวไม่ถูกอย่างยิ่ง
เมื่อเข้ามาในวังหลวงและก้าวเท้าลงจากหลังม้า หญิงสาวหลายนางก็รีบวิ่งมาหาทั้งน้ำตา แต่ละนางล้วนงดงามจนเหมือนนางสวรรค์นัก
“ฝ่าบาท...หม่อมฉันดีใจเหลือเกินที่ฝ่าบาทปลอดภัย”
“หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ฮือออ ฝ่าบาท”
“ฮองเฮาและพวกเจ้าทุกคนลุกขึ้นเถอะ”
ฮองเฮางั้นหรือ คำนี้ตอกย้ำจิตใจข้านักว่าข้าคงเป็นคนๆ หนึ่งที่ไม่สำคัญต่อเขามากเท่าไร ฮองเฮาต่างหากคือคู่ชีวิตของเขา
ข้านั้นอยู่วังหลวงในฐานะสนมแต่ไม่มีลำดับขั้น เพราะข้าเป็นชายและเป็นสามัญชนธรรมดา ขุนนางจึงคัดค้านที่จะมอบการแต่งตั้งให้ ข้าจึงเป็นสนมเพียงชื่อ แต่ว่าหย่งหมินก็ยังรักข้าเหมือนเดิม มอบตำหนักใหญ่โตให้ และมาหาข้าทุกวัน
จนกระทั่งวันคัดเลือกสนมมาถึง ดูเหมือนจะเป็นการคัดเลือกใหญ่ที่มีหญิงงามจากทั่วทุกสารทิศเข้ามาสมัคร ข้าเมื่อรับรู้แค่เพียงพยักหน้าเพราะว่าข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร จนกระทั่งหย่งหมินมาข้าน้อยลง และน้อยลง จนแทบลืมแล้วว่าเขามาหาข้าครั้งล่าสุดเมื่อไร
จนข้าคิดว่าเขาคงไปหาหญิงงามเหล่านั้นแต่ว่า…กลับไม่ใช่…
“พระสนมจะเดินเล่นนอกตำหนักไหมคะ”
ข้าพยักหน้าเมื่อข้ารับใช้นามหนิงลี่เอ่ยถาม ข้าอยากไปหาหย่งหมิน และครั้งนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ข้าเข้าวังหลวงมาครึ่งปี ที่ได้เดินออกไปนอกตำหนัก
“พระสนมจะไปที่ใดเพคะ”
“ข้าอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“เพคะ”
หนิงลี่เดินเคียงข้างข้าและบอกทางไปยังตำหนักของฮ่องเต้แต่ว่าเพียงแค่เดินไปด้านหน้าตำหนักก็เห็นฝ่าบาทออกมายังด้านนอกพอดี
ข้าไม่ได้พบหย่งหมินมาหลายเดือนแล้ว พอได้เห็นก็ดีใจจนเผลอเรียกชื่อ
“หย่งหมิน”
“บังอาจ! กล้าดียังไงเรียกฝ่าบาทเช่นนี้!”
ฮองเฮาที่ยืนเคียงข้าง ตวาดลั่นทันที จนข้าคิดได้ว่าเผลอปากไปแล้ว จึงรีบเอ่ยขอโทษ
“กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทสมควรลงโทษนะเพคะ”
ข้าก้มหน้ารอฟังคำของหย่งหมิน
“ฮองเฮาแล้วแต่เจ้าจัดการเถอะ”
“เพคะ”
ข้าเงยหน้ามองหย่งหมินที่เดินผ่านไปไม่แม้แต่มองข้าด้วยซ้ำ ไม่เจอกันนานทำไมท่านไม่ดีใจเหมือนที่ข้าดีใจ ทำไมต้องเหินห่างกันขนาดนี้
“หึๆ เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะรักเจ้าคนเดียวรึ “
ข้าหันไปมองนางที่หัวเราะลั่น
“ที่นี่มีสนมชั้นล่างเป็นร้อยๆ คน ทั้งยังมีสนมเอกและข้าที่เป็นฮองเฮาส่วนเจ้าเป็นสนมชั้นล่างสุด ทั้งยังเป็นชายคิดดูล่ะกันว่าฝ่าบาทจะเบื่อเจ้าเร็วขนาดไหน ไม่สิอาจลืมไปแล้วว่าเจ้าเคยมีตัวตน”
ข้านิ่งงัน น้ำตาเอ่อคลอ
“ไปจับมันมา ข้าจะลงโทษมัน” นางให้ข้ารับใช้สองคนมาจับแขนข้าทั้งสองแล้วพาไปยังตำหนักของนาง หนิงลี่ก็รีบวิ่งตามมาอย่างตื่นตระหนก
พวกนางจับให้ข้านอนคว่ำและใช้ไม้ยาวทุบตีที่ก้น
“โบยมันซะ”
ปึก!
“อึก”
แรงไม้ยามที่กระทบก้นนั้นเจ็บจนข้าต้องกัดปากเพื่อให้ความเจ็บมาส่วนนี้บ้างแต่สุดท้ายก็ต้องร้องลั่นเมื่อความเจ็บครั้งนี้มากกว่าครั้งก่อนๆ
“โอ๊ย!!”
ไม่รู้ว่าพลาดหรือจงใจที่ไม้ตีถูกขาขวาของข้า เจ็บจนน้ำตาไหลรู้สึกว่าขานั้นหักแล้ว กำมือแน่นส่วนไม้ที่โบยก็ถูกหยุดทันที หนิงลี่รีบมาหาพลางถามเสียงสั่น
หลังจากถูกโบย นางก็สั่งให้ข้าย้ายไปอยู่ตำหนักเล็กทั้งเก่าและโทรมแห่งหนึ่ง ลดข้ารับใช้จนเหลือเพียงหนิงลี่คนเดียว ข้าไม่ได้เสียใจที่ถูกย้ายตำหนักหรือถูกโบยจนขาเดินไม่ได้ปกติเหมือนเก่า แต่ที่ข้าเสียใจคือ หย่งหมินไม่สนใจข้าแล้ว
เพราะฮองเฮาต่างหากคือคนที่เขารัก
……………………
หลังจากนั้นก็ผ่านมาห้าปีแล้วที่ข้าอยู่ตำหนักนี้โดยที่ไม่ได้เจอหน้าหย่งหมินอีกเลย
“ท่านคงหลงลืมข้าไปจนหมดสิ้นแล้ว…..แต่ข้าไม่เคยลืมท่านเลย”