“คุณส่งฉันแค่ตรงนี้ก็พอ” ชมพู่หันไปบอกคนข้างกายที่อาสาขับรถมาส่ง ที่ต้องลงก่อนไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นคนขี้เกรงใจอะไรขนาดนั้น แต่เธอยังไม่พร้อมให้หมอศิลาเจอพ่อกับแม่ตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าถ้าพ่อแม่เห็นหน้าเธอแล้วจะเอาก้านมะยมมาตีหรือเปล่า ให้อนาคตผัวมาเห็นตัวเองถูกตีเหมือนเด็กๆ คงไม่ดีเท่าไหร่ อีกอย่าง... เธออยากคุยกับพ่อแม่ก่อนด้วย
“คุณเป็นลูกสาวกำนันม่วงหรือครับ?” ศิลาอดถามไม่ได้ เขาจำได้ว่านี่เป็นทางเข้าบ้านกำนันม่วง สมัยที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เขาเข้าออกบ้านนี้บ่อย รู้จักกับกำนัน คุณอรอนงค์ และมะพร้าวเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยเจอชมพู่มาก่อน
อ้อ... จะว่าไปก็เคยเจออยู่เหมือนกัน เมื่อครั้งที่ชมพู่หัวแตกแล้วเอาแต่ใจอยากให้เขาทำแผลให้ตอนนั้นคุณอรอนงค์ก็มาด้วย แต่ว่าในเวลานั้นเขาเอาแต่สนใจการเจ็บป่วยของคนเจ็บ ไม่ได้คิดว่าชมพู่จะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
ที่แท้ก็คนใกล้ตัวนี่เอง
“ใช่ รู้จักพ่อฉันด้วยหรือ”
“ใครที่อยู่อำเภอนี้ก็รู้จักกำนันม่วงด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ”
“อ้อ...” จริงสินะ ลืมไปเลยว่าพ่อเธอเป็นถึงกำนัน เป็นที่รู้จักของคนมากมาย ถ้าหมอศิลาไม่รู้จักสิแปลก “ขอบคุณนะคุณหมอที่มาส่ง และก็ขอบคุณที่ให้ค้างที่บ้านตั้งสามคืนด้วย”
ชมพู่ยกมือไหว้ แม้จะเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้เรียบร้อยอ่อนหวาน พูดคะขาไม่เก่ง แต่ก็มีมารยาท มือไม้อ่อนรู้จักเคารพผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่แบบหมอศิลา ที่ยอมให้เธอยึดห้องนอนต่ออีกตั้งสามคืน เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี ทั้งๆ ที่จะไล่กลับตั้งแต่วันแรกก็ได้แต่เขาก็ไม่ทำ ยิ่งเขาดีแบบนี้เธอยิ่งเคารพยำเกรง
“ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้ผมจะเข้ามาหาตอนเช้า เพราะต้องเข้าเวรตอนเย็น”
“ไม่ต้องเช้ามากหรอกหมอ นอนให้เต็มอิ่มเถอะ”
“ขอบคุณครับ” ศิลายิ้มให้คนที่เปิดประตูรถลงไป เธอยืนนิ่งไม่ยอมไปไหน จนเขาออกรถนั่นแหละขาเรียวถึงได้ยอมเดินเข้าบ้านของตัวเองแต่โดยดี หมอหนุ่มหลุดขำ เธอเหมือนเด็กแก่นๆ ที่ไม่ค่อยไม่สนใจใคร แต่จริงๆ แล้วชมพู่กลับมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงเสมอ
เวลาสามวันทั้งคู่พัฒนาความสัมพันธ์ไปได้ค่อนข้างเร็ว ศิลารู้สึกว่าตัวเองเริ่มเอ็นดูชมพู่ก็ตอนที่เธอที่ตื่นเต้นกับแปลงดอกไม้หลังบ้านของเขา คอยไปนั่งดู และรดน้ำให้แทนเขาที่ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ทุกวัน ช่วงนี้เคสเยอะจนเขาได้กลับมานอนที่บ้านไม่ถึงวันละห้าชั่วโมง ข้าวของป้าไมถูกสั่งงดเพราะเขาอยู่บ้านไม่เป็นเวลา แต่ก็ได้ชมพู่นี่แหละที่คอยทำกับข้าวไว้ให้ไม่ว่าเขาจะกลับดึกหรือเช้าแค่ไหนก็ตาม ทั้งยังใจดีทำใส่ปิ่นโตให้เขาหิ้วไปกินที่โรงพยาบาลอีกด้วย เขาปรับตัวกับการมีอยู่ของชมพู่ได้อย่างง่ายดาย จนบางทีก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าเธอคือคนที่ทำให้เขาต้องสละโสดโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้
.
.
ชมพู่เดินเข้าบ้านช้าๆ มองหลังคาบ้านที่เห็นอยู่ไม่ไกลแล้วก็ใจแป้ว ไม่รู้จะทำยังไงตอนเห็นหน้าพ่อกับแม่ดี ไม่รู้ว่าจะถูกดุ ถูกตี หรือถูกต่อว่าแค่ไหน เพราะแบบนี้เธอถึงคุยกับหมอศิลาว่าจะเข้ามาคุยกับพ่อแม่ก่อน แล้วหมอศิลาค่อยเข้ามาคุยกับพ่อและแม่เธอพรุ่งนี้แทน
หลังจากที่ยอมรับได้แล้วว่ายังไงก็ไม่มีทางหนีการแต่งงานได้พ้น ซ้ำยังดึงเอาคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างหมอศิลาเข้ามาเผชิญชะตากรรมด้วยอีก ชมพู่ก็ตัดสินใจบอกหมอศิลาว่าจะกลับบ้าน หมอหนุ่มแค่เลิกคิ้วขึ้นและพยักหน้ารับเบาๆ แต่สุดท้ายก็อาสาแวะมาส่งก่อนเข้าโรงพยาบาล ทั้งๆ ที่มันทำให้หมออย่างเขาเสียเวลาพักผ่อนโดยใช่เหตุ แต่หมอศิลาก็ไม่บ่นซักคำ เขาใจดีจนเธอรู้สึกผิดจับใจ
ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน หมอศิลาไม่เคยถามถึงเหตุผลว่าทำไมวันนั้นเธอถึงได้ออกมาเดินกลางฝนดึกๆ จนเกิดเรื่องขึ้นได้ และพอหลังจากที่เธอบอกว่าจะกลับบ้าน เขาก็บอกแค่ว่าเมื่อไหร่ที่เธอพร้อม เขาจะเข้ามาขอขมาพ่อกับแม่เธอ สารภาพเรื่องที่ล่วงเกินเธอไป และจะแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้ใหญ่ได้สบายใจด้วย
ชมพู่ถอนหายใจ
ล่วงเกินที่ไหนกัน เธอมโนไปเองทั้งนั้น ชมพู่อยากแย้งหมอศิลาแบบนั้น แต่น้ำก็ท่วมปาก จนถึงวันที่กลับบ้านแล้วเธอก็ยังไม่กล้าบอกความจริงกับหมอศิลาอยู่ดี เธอไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะดูโง่เหมือนตอนแรกแล้ว แต่เธอกลัวว่าหมอศิลาจะเกลียดเธอมากกว่า ยอมรับตามตรงว่าตอนนี้เธอรู้สึกเคารพอีกฝ่ายมาก ทั้งการกระทำที่ให้เกียรติเธอเสมอ ทั้งไม่เคยนึกโกรธทั้งๆ ที่เธอกำลังทำลายชีวิตโสดของเขาลง ทั้งยังไม่เคยถามจี้ให้เธอรู้สึกไม่ดีเลยซักครั้งเดียว ผู้ชายดี ๆ แบบนี้เหลืออยู่บนโลกได้ยังไงกัน
ชมพู่รู้สึกผิดอยู่เสมอ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน ทำความสะอาดบ้านช่องให้ระหว่างที่อาศัยอยู่บ้านนั้น และให้สัญญากับตัวเองในใจอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าถ้าแต่งงานออกเรือนกันไปเมื่อไหร่ เธอจะเป็นเมียที่ดี จะเป็นเมียที่ไม่ทำให้ผัวลำบากใจเลย
"วันนี้ทำน้ำปลาหวานอร่อยนะแม่"
"วันอื่นไม่อร่อยหรือไง"
"ก็อร่อย แต่วันนี้อร่อยเป็นพิเศษไงจ๊ะเมียจ๋า"
"หึ!"
"่พ่อ แม่"
เพียงแค่ชมพู่ส่งเสียงเรียก กำนันม่วงและอรอนงค์ที่กำลังนั่งจิ้มมะม่วงกับน้ำปลาหวานก็ชะงักไป มะพร้าวที่แบกส้มโอผลโตอยู่ก็เผลอปล่อยร่วงทับตีนของไอ้ลม ส่วนไอ้เปี๊ยกรีบวิ่งหน้าตั้งมาหาลูกพี่มันทันที
“พี่พู่!!!!”
หมับ!
แรงกอดของเด็กสิบเจ็ดทำให้ชมพู่เซถอยหลัง ถ้าเป็นปกติหญิงสาวคงดันมันออก และเตะตูดมันสองทีไปแล้ว แต่ชมพู่รู้ดีว่าตอนนี้มันไม่ปกติ เลยได้แต่ยกมือขึ้นลูบหลังเด็กที่เห็นมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนตอนนี้ตัวสูงกว่าเธอเบาๆ
“ร้องไห้ทำไมวะไอ้เปี๊ยก” อดทักไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงความชื้นบนไหล่ โตเป็นควายแล้วยังร้องไห้อีก ไอ้เปี๊ยกนี่ก็จริงๆ เลย
“ฮึก ฉันคิดถึงพี่พู่นี่นา”
“เออ รู้แล้ว”
“พู่” เสียงของแม่ทำให้หญิงสาวดันร่างของเด็กขี้แงออก ก่อนจะเดินเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่ยังนั่งอยู่บนแคร่ เธอมองทั้งสองคนนิ่งๆ ก่อนจะคุกเข่าลง “ทำอะไร พู่!”
“ฉันกราบขอโทษพ่อกับแม่จ้ะ” ชมพู่กราบลงที่ปลายเท้าของทั้งคู่ เรียกสายตาตกตะลึงจากคนทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่เล็กจนโตนอกจากช่วงวันพ่อวันแม่และวันสงกรานต์แล้ว ไม่เคยมีใครได้เห็นชมพู่กราบขอขมาพ่อกับแม่แบบนี้เลย ไม่ว่าจะทำผิดแค่ไหน หรือโดนดุแค่ไหนชมพู่ก็ไม่เคยมีท่าทีสำนึกผิดขนาดนี้
“พู่...”
“เอ็งคิดว่าทำแค่นี้แล้วพ่อกับแม่จะหายโกรธเอ็งหรือไง” เสียงของกำนันม่วงที่ดังขึ้นขัดเมียรักทำให้เปี๊ยกกับลมมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ใครๆ ก็รู้ว่ากำนันม่วงใจดีกว่าเมีย น้อยครั้งจริงๆ ที่จะดุกว่า
แน่นอนว่าเรื่องนี้คนเป็นลูกก็รู้ดี ชมพู่สะอึก แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสื้อ เงยหน้าขึ้นมองพ่อบังเกิดเกล้าที่วางหน้าเฉยชาใส่จนใจเจ็บหนึบ
นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อโกรธขนาดนี้
“พ่อจะตี จะว่าฉันยังไงก็ได้ ฉันผิดจริงๆ ฉันยอมรับ”
“อ้อ! รู้ตัวด้วยหรือ” กำนันม่วงลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันหลังให้ลูกสาวสุดที่รักที่นั่งอยู่กับพื้นราวกับไม่ใยดี
“พ่อ...”
“รู้ตัวไหมว่าผิดอะไร”
“รู้จ้ะ” ชมพู่ก้มหน้าลง ซ่อนน้ำตาที่ปริ่มขึ้นมาจวนเจียนจะไหลอยู่มะล่อมมะล่อ “ฉันหนีออกจากบ้าน”
“พ่อ แม่ พร้าว ไอ้เปี๊ยก ไอ้ลม ทุกคนเป็นห่วงเอ็งแทบตาย”
“ฉันขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง” น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงมาจนได้ เธอรู้ว่าทุกคนต้องเป็นห่วง นอกจากแม่แล้วเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในบ้าน แก่นซ่าแค่ไหนก็เป็นผู้หญิงที่มีร่างกายและแรงที่น้อยกว่าผู้ชายอยู่ดี เธอเองก็เพิ่งมาคิดได้ ว่าถ้าวันนั้นเธอไม่ได้เจอคนดีแบบหมอศิลา แล้วไปเจอพวกขี้ยาขี้เหล้าจับไปทำมิดีมิร้าย เธอคงไม่มีหน้าได้กลับมาพบพ่อกับแม่อีก
เรื่องนี้ทำให้เธอเข็ดไปจนตาย ไม่เอาอีกแล้ว ดื้อแค่ไหนก็ไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว
“พ่อ แม่ พี่พร้าว จะโกรธ จะเกลียดชมพู่คนนี้ยังไงก็ได้" ปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น "แต่อย่าบังคับให้ฉันแต่งงานกับปลัดอีกเลยนะ”
“ทำไม”
“เพราะฉัน... มีผัวแล้วจ้ะ”
กำนันม่วงหันกลับมามองลูกสาวทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น หนวดที่ไว้อยู่เหนือริมฝีปากกระตุกเหมือนกำลังโกรธ
แต่ไม่ใช่
“พูดได้หน้าตาเฉยเลยนะ” กำนันม่วงเก็กเสียงดุ ทั้งๆ ที่ริมฝีปากยกยิ้ม “มันเป็นใคร ทำงานอะไร บ้านอยู่ไหน”
“หมอศิลาจ้ะ พ่อกับแม่น่าจะรู้จัก” ชมพู่ยังคงก้มมองดิน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใคร “เป็นหมอ บ้านอยู่ห่างจากเราไปแค่สามกิโล”
“ที่หายไปสามสี่วันนี่ ไปอยู่กับมันมาใช่ไหม”
ชมพู่สะอื้น ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ กลัวว่าพ่อแม่จะผิดหวัง กลัวว่าพ่อแม่จะเกลียด แม้จะพูดไปแล้วว่าจะโกรธจะเกลียดกันก็ได้ แต่ลูกที่ไหนจะอยากถูกพ่อแม่เกลียดกัน...
“พ่อ พอได้แล้ว” อรอนงค์มองหน้าของผัวตัวเองอย่างดุๆ ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายยกยิ้มร่าก็ยิ่งอยากเด็ดก้านมะยมมาฟาดคนแก่ที่ชอบแกล้งลูกให้แดงไปทั้งตัว “ลูกร้องไห้แล้ว”
“ฉันผิดเอง ฮึก! ผิดเอง”
“เอ้า ไปกันใหญ่แล้ว” มะพร้าวรีบเดินเข้ามาสมทบเมื่อเห็นว่าเรื่องเริ่มปานปลาย ทำใจไม่ได้จริงๆ ที่ต้องมาเห็นน้องที่เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกร้องไห้จนตัวสั่นแบบนี้ “ไม่มีใครโกรธเกลียดเอ็งหรอกพู่ ไม่ร้องๆ”
“แต่ฉัน... ทำไม่ดี... พ่อเกลียด... ฉันแล้ว” ชมพู่พูดไปสะอื้นไปจนคนเป็นพี่ต้องดึงน้องเข้ามากอด อรอนงค์ใช้หางตามองผัวตัวเองอย่างเคืองๆ แกล้งจนได้เรื่อง กำนันม่วงที่ตกใจเพราะลูกปล่อยโฮถึงได้สติ
“เฮ้ย! พ่อไม่ได้เกลียดเอ็ง พ่อแค่แกล้งเฉยๆ”
“...แกล้ง?” เสียงสะอื้นเงียบไปทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ชมพู่เงยหน้าขึ้นมองพ่อตัวเองผ่านม่านน้ำตา สีหน้าของพ่อไม่ได้มีความโกรธอยู่เลย แล้วเสียงขึงขังเมื่อกี้มันคืออะไร แค่แกล้งอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อเห็นว่าชมพู่ยังไม่เข้าใจอะไรซักอย่าง มะพร้าวจึงเป็นคนอธิบายเรื่องทั้งหมดแทนพ่อกับแม่
“พวกเรารู้หมดแล้วว่าเอ็งมีแฟน หนีไปนอนบ้านแฟนเพราะถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงาน พ่อเลยเข้าไปคุยกับปลัด ขอโทษขอโพยจนเข้าใจกันเรียบร้อยหมดแล้ว”
“แฟน?”
“ก็หมอศิลาไง แฟนเอ็ง อ้อ ไม่สิ เป็นผัวแล้วนี่หว่า” กำนันม่วงเปลี่ยนคำ เพราะนึกขึ้นได้ว่าลูกสาวเพิ่งประกาศไปว่ามีผัวแล้ว
“ละ...แล้วทุกคนรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“พี่ไมมาบอกแม่น่ะซี่ พ่อกับแม่เกือบไปแจ้งความคนหายแล้วตอนหาเอ็งไม่เจอ พี่ไมเขาเห็น เลยยอมอ้อมๆ แอ้มๆ บอกว่าเอ็งไปอยู่บ้านแฟนที่เป็นหมอ พ่อแม่เลยเบาใจ อย่างน้อยเอ็งก็ไม่ได้ถูกทำร้าย” อรอนงค์เป็นคนตอบ ก่อนจะลูบหัวลูกสาวเบาๆ “ถ้าบอกแต่แรกว่ามีแฟนอยู่แล้วพ่อกับแม่ก็ไม่บังคับให้เอ็งแต่งงานหรอกพู่เอ้ย”
“แต่อยู่กินกันหลายวันขนาดนี้แล้ว ให้หมอศิลาเขาเข้ามาคุยกับพ่อด้วยก็แล้วกัน ถึงพ่อจะชอบใจว่าที่ลูกเขย แต่ก็ต้องเข้ามาคุยให้เป็นเรื่องเป็นราวรู้ไหม”
“ใช่ ได้น้องพี่ไปแล้วต้องรีบแต่ง เผื่อป่องขึ้นมาจะได้ไม่ขายขี้หน้าเขา” พี่พร้าวเสริม ไอ้สองแสบตาโตเป็นไข่ห่าน
“พี่พู่จะมีน้องแล้วเหรอ ฉันขอผู้ชายนะ จะสอนปีนต้นมะม่วง”
“ผู้หญิงก็ปีนได้ไอ้ลม พี่พู่ยังปีนได้เลย”
“เออ จริงด้วยว่ะ”
ชมพู่ได้แต่มองคนนู้นพูดทีคนนี้พูดทีข้ามหัวเธอไปมาตาปริบๆ น้ำตาที่ไหลเหมือนเขื่อนแตกก่อนหน้าแห้งจนรู้สึกหน้าตึง แต่เธอไม่มีอารมณ์มาสนใจ เพราะตอนนี้กำลังรู้สึกช็อคจนพูดไม่ออก ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองในใจว่า...
นี่มันอะไรกันวะเนี่ย!!!!!!!