“พี่พู่ เดินดีๆ”
“อะไรของพวกเอ็งวะไอ้ลมไอเปี๊ยก มาประคองทำไม! ฉันเดินเองได้” ชมพู่หันไปทำหน้ายุ่งใส่ไอ้สองคนที่มาวุ่นวายกับเธอไม่หยุด พอเธอหายช็อคเพราะรู้ว่าถูกพ่อแกล้ง เธอก็ตัดสินใจขอตัวขึ้นมาเก็บของก่อน บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ยังปรับอารมณ์ไม่ถูก เหมือนมีแค่เธอคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย และพอเธอจะเดินขึ้นบันไดไอ้เด็กสองคนนี่ก็วิ่งหน้าตั้งเข้าประคองกันจ้าละหวั่น
“ก็เผื่อพี่พู่มีน้อง ต้องระวังไว้ก่อน”
“ใช่ๆ ระวังไว้ก่อนดีกว่านะพี่พู่” ไอ้ลมเสริม หันไปพยักหน้าหงึกๆ กับคู่ซี้
“ประสาท” ชมพู่เลิกสนใจ เดินกระแทกส้นดังตึงๆ ขึ้นบันไดไป ลมกับเปี๊ยกหน้าเสียแทบจะพุ่งเข้าไปอุ้มลูกพี่สาวเดิน แต่ก็กลัวว่าจะถูกเตะตกเรือนเสียก่อนเลยได้แต่เดินตามห่างๆ อย่างห่วงๆ
“แล้วจะตามเข้ามาทำไม” ชมพู่หันไปถามเมื่อสองแสบตามมาถึงห้องนอน เธอไม่ได้เป็นคนหวงห้องอะไร เพราะห้องนี้ไอ้เปี๊ยกกับไอ้ลมเข้าออกเป็นประจำอยู่แล้ว แม้พอโตขึ้นพวกมันจะเข้ามาน้อยลงเพราะถูกพ่อกำนันห้ามแต่พวกมันก็ยังดื้อด้านเข้ามาบางครั้ง
“พี่พู่ พวกเราถามจริงๆ นะ” ลมเกริ่นขึ้นก่อน มันนั่งลงกับพื้นห้องมองลูกพี่สาวที่เดินไปเดินมาเก็บของในกระเป๋าให้เข้าที่ “พี่ไปมีแฟนตอนไหนอะ”
“อยากรู้ไปทำไม”
“เอ้า! ก็ตั้งแต่กลับมาจากเมืองหลวงพี่ก็อยู่กับพวกเราตลอดเวลา ไม่เห็นมีหนุ่มมาจีบพี่ซ้ากคน ฉันเลยสงสัยไงว่าพี่ไปมีแฟนเป็นหมอตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ใช่ อย่าว่าแต่หมอศิลาเลย พี่พันที่เจ้าชู้ชอบจีบสาวๆ ในหมู่บ้านที่สุดยังไม่กล้ามาจีบพี่ บอกว่ากลัวพี่เตะม้ามแตก แล้วหมอศิลาเขาจีบยังไงพี่ถึงไม่เตะเขา” เปี๊ยกเสริม มันนั่งลงข้างๆ กับคู่หูคู่ป่วน พยักหน้าหงึกหงักกันสองคนเมื่ออีกฝ่ายพูดได้ตรงใจ
ชมพู่เทเสื้อผ้าที่ใส่แล้วลงตะกร้า เก็บผ้าอนามัยที่ยังเหลือเข้าลิ้นชัก ก่อนจะหันมามองหน้าเด็กอยากรู้อยากเห็นทั้งสองคน “อยากรู้เหรอ?”
“จ้ะ!” เสียงสองเสียงประสานกันอย่างพร้อมเพรียงจนชมพู่กรอกตา ทีใช้ทำงานไม่เห็นกระตือรือร้นขนาดนี้เลย เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ
“ไม่บอก”
“โธ่! พี่พู่ บอกพวกเราเถอะนะ พวกเราอยากรู้อ่า”
“ใช่ พวกเราอยากรู้ว่าหมอศิลาเขาทำยังไงพี่พู่ถึงได้ชอบพอเขา พวกเรารู้ดีน้าว่าพี่พู่ไม่ได้ชอบใครง่ายๆ ถ้าพ่อกำนันไม่ได้บังคับเรื่องแต่งงานพี่พู่คงวางแผนอยู่คนเดียวไปจนแก่แน่ๆ”
นับว่าทั้งสองคนรู้ใจชมพู่มากจริงๆ เธอไม่เคยคิดเรื่องแต่งงาน ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาจีบ และไม่คิดจะสนใจใครมาก่อน ตั้งใจว่าจะเป็นคุณยายวัยแปดสิบที่ยังครองพรหมจรรย์อยู่ ถ้าอายุถึงน่ะนะ....
พอคิดถึงตรงนี้ชมพู่ก็ได้แต่ถอนหายใจ ทำตัวเองทั้งนั้น นี่ถ้าเธอไม่แก่นซ่าเกินไปจนพ่อแม่เป็นกังวล เธอคงไม่ถูกบังคับแต่งงานจนได้แต่งงานจริงๆ เปลี่ยนแค่ตัวเจ้าบ่าวแบบนี้หรอก
“ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่า ออกไปได้แล้ว ฉันจะนอน ง่วง”
“พี่พู่...”
“ออกไป ถ้าเดินออกไปเองไม่เป็นก็หันตูดมา ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้”
“ไปแล้วก็ได้” พอโดนขู่แบบนั้นลมและเปี๊ยกก็ยอมลุกขึ้นแค่โดยดี พวกมันรู้ดีที่สุดว่าพี่พู่มือตีนหนักแค่ไหนเลยไม่คิดเสี่ยง ทั้งคู่รีบออกจากห้องนอนของลูกพี่สาว งับประตูปิดให้อย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่วายจะพูดคุยกันต่อถึงเรื่องที่ยังไม่หายสงสัย “หมอศิลาก็แปลกคน ชอบพี่พู่ไปได้ยังไง ดุขนาดนี้”
“นั่นสิ หรือเวลาอยู่กับหมอพี่พู่ไม่ได้ดุแบบนี้ อาจจะขี้อ้อน คุณหมอคะ คุณหมอขา”
“เออ เป็นไปได้”
เสียงพูดคุยที่ไม่เบาเลยของทั้งสองคนทำให้ชมพู่ได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู ใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่
“คุณหมอคะ คุณหมอขาอะไร ไม่เคยเหอะไอ้พวกมั่ว!”
ถึงจะบ่นพึมพำออกไปแบบนั้น แต่ใบหน้าขาวก็ยังรู้สึกร้อนผ่าวๆ อยู่ดี เป็นเวลาเนิ่นนานกว่ามันจะกลับมาเป็นปกติ...
.
.
หกโมงเช้าของวันต่อมา ชมพู่ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน เธอตื่นเวลานี้เป็นประจำอยู่แล้ว ร่างกายมันตื่นเองโดยอัตโนมัติทั้งๆ ที่เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกดื่น ร่างบางลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจสองสามที ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง
ชมพู่ออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันอยู่บนร่างกายด้วยความเคยชิน มีผ้าผืนเล็กวางอยู่บนผมที่เปียกชื้นลวกๆ ดวงตากลมหรี่ลงแทบปิดเพราะความง่วง ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่บนเตียงของตัวเอง
“แม่!”
“ตาเถรหก!” อรอนงค์ตกใจเสียงลูกสาวจนของในมือร่วง เธอหันไปมองร่างขาวโพลนของชมพู่ที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำด้วยสายตาดุๆ “เรียกทำไมเสียงดังลั่น ตกอกตกใจหมด”
“แม่เข้ามาได้ยังไง” ชมพู่เดินเข้าไปใกล้มารดา เธอยังตกใจไม่หาย เพราะถ้าไม่ใช่แม่เธอคงอับอายไม่น้อย ไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่จะแต่งตัวไม่เรียบร้อยให้ใครต่อใครเห็นได้ ยิ่งโดยเฉพาะบ้านที่มีผู้ชายเยอะแบบนี้
“เดินเข้ามาสิถามได้”
“ไม่ใช่... ช่างมันเถอะ แล้วนี่แม่เข้ามาทำไม”
“แม่เอาชุดมาให้” พูดจบอรอนงค์ก็ยกชุดเดรสสั้นสีพีชอ่อนๆ ขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างชอบใจ เธอรู้ว่าลูกไม่มีเสื้อผ้าแบบนี้ เลยไปขอยืมจากเจ้ามิว ลูกสาวพี่ไมมาให้ ตัวพอๆ กันก็น่าจะใส่ด้วยกันได้
“อี๋ ไม่เอา ฉันไม่ชอบใส่กระโปรง” ชมพู่ปฏิเสธทันที เธอเกลียดกระโปรง เพราะมันทำให้เธอทำอะไรได้ลำบาก ปีนต้นไม่ก็ไม่ได้ นั่งสบายๆ ก็ไม่ได้ เผลออ้าขานิดเดียวลิงก็ออกมาวิ่งเล่นแล้ว กางเกงสามส่วนที่เธอใส่ประจำยังดีเสียกว่า
“ไม่ได้ วันนี้หมอมาคุยเรื่องจะสู่ขอเอ็งไม่ใช่หรือ ต้องแต่งตัวให้ดีสิ”
“โอ้ย ไม่เห็นจำเป็นเลยแม่”
“จำเป็นสิ!” อรอนงค์เถียงทันที ลูกสาวจะขายออกทั้งทีให้แต่งตัวบ้านๆ เหมือนที่ชมพู่มันชอบใส่เป็นประจำได้ยังไง ขายขี้หน้าอดีตนางงามประจำจังหวัดแบบเธอแย่ “เดี๋ยวแม่จะแต่งหน้าให้ด้วย”
“ไม่เอา!” ชมพู่สั่นหน้า เป็นตายร้ายดียังไงเธอก็ไม่แต่งหน้าหรอก แม่จะมาบังคับเธอแบบนี้ไม่ได้!
.
.
“มองขึ้นข้างบน มองอีก”
“ฉันจักกะจี้”
“ถ้าไม่มองขึ้นข้างบนตาเอ็งจะเลอะ คราวนี้ล่ะเป็นแพนด้าแน่ๆ” อรอนงค์ขู่ เธอไม่เคยรู้เลยว่าการปัดมาสคาร่าให้ลูกสาวตัวเองมันจะยากเย็นขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าชมพู่ไม่เคยแต่งหน้า ตอนเด็กๆ ชมพู่มันเป็นนางรำของโรงเรียน และเธอก็เป็นคนแต่งหน้าให้ลูกสาวทุกงาน แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาเท่าตอนนี้เลย
พอโตแล้วก็ดื้อรั้นไปหมด สงสัยต้องกระซิบบอกหมอศิลาว่าให้ปราบลูกสาวเธอให้หน่อย ไม่อย่างนั้นหมอได้ปวดหัวกับความดื้อรั้นของชมพู่มันตายแน่ๆ
ชมพู่ถอนหายใจ ขยับตัวอย่างอึดอัดในชุดกระโปรงหวานๆ ที่แม่สรรหามาให้ ใบหน้าก็ถูกคนเป็นแม่เติมนั่นเติมนี่จนมีสีสัน เธอไม่กล้ามองตัวเองในกระจกเลย เพราะมันต้องประหลาดมากแน่ๆ
แต่ก่อนชมพู่เป็นนางรำ ประกวดนางนพมาศ ประกวดเทพีสงกรานต์มาบ้าง แต่พอเริ่มโตเธอก็เลิกทำพวกนั้นไป เธอชอบที่จะใส่กางเกง ชอบวิ่งเล่นไล่จับกับพวกเด็กผู้ชายมากกว่าจับกลุ่มแต่งหน้ากับเพื่อนผู้หญิง สิบกว่าปีได้แล้วมั้งที่ใบหน้าขาวใสของเธอไม่ได้สัมผัสกับเครื่องสำอางอะไรเลยนอกจากครีมบำรุง จนกระทั่งวันนี้...
ชมพู่ขัดแม่ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ขัดแม่ไม่ได้ ใหญ่ที่สุดในบ้านก็คุณอรอนงค์นี่แหละ
“เอาล่ะ สวยแล้ว” อรอนงค์มองลูกสาวอย่างชื่นชม ชมพู่เป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยอยู่แล้วต่อให้ไม่ได้แต่งหน้าก็ตาม ก็เมื่อก่อนอรอนงค์เป็นถึงนางงามประจำจังหวัด ส่วนกำนันม่วงเองก็หน้าตาดี มีแต่สาวๆ มาตามติดเป็นพรวน แต่สุดท้ายก็ตกหลุมรักนางงามประจำจังหวัดอย่างอรอนงค์เข้าจนตัดสินใจแต่งงานกัน พอคนหน้าตาดีๆ สองคนมาแต่งงานมีลูกด้วยกัน ลูกๆ ก็เลยออกมาหล่อสวยไม่อายใคร ทั้งชมพู่และมะพร้าวดึงเอาส่วนดีของพ่อแม่ไปกันหมด มะพร้าวหล่อคม ผิวขาวเหลือง ตัวสูง จมูกโด่ง ส่วนชมพู่ก็สวยน่ารัก ตาโตใสแจ๋ว ปากอิ่มเป็นกระจับ จมูกโด่งรั้น ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวอมชมพู ส่วนสูงก็ร้อยหกสิบต้นๆ ไม่ได้ผอมแห้งแต่ก็ไม่อ้วน เรียกว่ารูปร่างกำลังน่ารักน่ากอดเลยทีเดียว
ชื่นชมลูกได้ไม่นานเจ้าลมก็วิ่งมาบอกว่าหมอศิลามาแล้ว อรอนงค์รีบจับจูงลูกสาวออกไปต้อนรับ ก่อนจะเห็นว่ากำนันม่วงพูดคุยกับหมอหนุ่มอยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับคุณอรอนงค์”
“ไหว้พระเถอะพ่อ” อรอนงค์ยิ้มหวาน มองหมอศิลาที่เห็นมานานอย่างชื่นชม หมอศิลานี่เธอรู้จักตั้งแต่มาใช้ทุนเมื่อแปดเก้าปีที่แล้ว ตอนนั้นยังหนุ่มหน้าใส ไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่และสุขุมแบบตอนนี้ แต่ตอนนี้หมอศิลาโตขึ้นมาก ท่าทีเป็นผู้นำ แต่ก็อ้อนน้อมและพร้อมจะเป็นผู้ตาม รอยยิ้มอบอุ่น หรือสายตาจริงจังเวลาทำงาน ทุกอย่างหล่อหลอมให้หมอศิลากลายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง
เธอสบายใจที่ลูกเลือกคนนี้ ต่อไปคงตายตาหลับแล้ว
“มานั่งก่อนแม่ ชมพู่ เปี๊ยกไปเอาน้ำมาลอยมะลิเย็นๆ มาให้หมอไป”
“ครับพ่อกำนัน” เปี๊ยกรับคำและลากลมไปเอาน้ำมาให้หมอตามที่กำนันสั่งทันที สวนทางกับมะพร้าวที่เดินเข้ามาสมทบ
“อ้าวคุณหมอ มาแล้วหรือ มาแต่เช้าเชียว”
“ครับ พอดีมีเข้าเวรตอนเย็นน่ะครับ”
“ขยันจริงๆ” มะพร้าวเอ่ยชื่นชม ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่นั่งเงียบเป็นเป่าสากอยู่ “วันนี้สวยเชียวนะเจ้าพู่ กลัวหมอเขาไม่ถูกใจหรือ”
“พี่พร้าว!”
“เอ้า ก็มันจริง ปกติแต่งสวยแบบนี้ที่ไหน” มะพร้าวขำเบาๆ ได้หยอกน้องให้หน้างอแล้วอารมณ์ดีจริงๆ “จริงไหมครับหมอศิลา วันนี้เจ้าพู่น้องผมสวยไหม”
“พี่พร้าว...”
“สวยครับ” ศิลาตอบมะพร้าว แต่สายตากลับจ้องมองคนสวยที่อยู่ในชุดแสนหวาน วันนี้ชมพู่แต่งหน้าบางๆ ดูแปลกตาดี แต่สีสันที่แต่งแต้มลงไปก็ทำให้เธอสวยสะดุดตามากขึ้น “วันนี้คุณชมพู่สวยมากนะครับ”
“...” ชมพู่อ้าปากค้าง ก่อนจะก้มหน้าลงเมื่อรู้สึกว่าแก้มตัวเองกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ ใช่ว่าจะไม่เคยถูกชมว่าสวย แต่เธอไม่เคยถูกชมพร้อมกับถูกจ้องมองด้วยสายตาจริงใจแบบนี้มาก่อน
“เอ้า! หมอหยอดเสียลูกผมเขินตัวแดงเป็นกุ้งแล้ว” กำนันม่วงหัวเราะชอบใจ เขาเลี้ยงชมพู่มาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยเห็นชมพู่เป็นแบบนี้มาก่อน เป็นบุญตาจริงๆ ที่ได้เห็น “รีบคุยกันดีกว่า หมอจะได้กลับไปพักผ่อน เย็นต้องทำงานอีก”
“ครับ” หมอศิลาขยับตัว ละสายตาจากชมพู่มาที่กำนันม่วงและคุณอรอนงค์ สองมือยกขึ้นประกบกันระดับอก “ผมต้องกราบขอโทษคุณน้าทั้งสองคนด้วยนะครับที่เกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นแบบนี้ แต่ผมพร้อมจะรับผิดชอบชมพู่ทุกอย่าง”
“หมอจะรับผิดชอบยังไงครับ” มะพร้าวเป็นคนถาม เขาออกตัวเองคงดีกว่าพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นพ่อแม่คงถูกมองว่าอยากให้ลูกสาวออกเรือนเต็มทน แม้มันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่สร้างภาพไว้หน่อยก็ดีเหมือนกัน เพราะมันจะดูไม่งาม
“ผมจะแต่งงานกับชมพู่ครับ ผมบอกคุณพ่อและคุณแม่ไปแล้ว อาทิตย์นี้ท่านจะมาสู่ขอชมพู่กับคุณน้าทั้งสองอย่างเป็นทางการ และจะพูดคุยเรื่องฤกษ์ต่างๆ ด้วย”
“อืม...” มะพร้าวตอบแค่นั้น ก่อนจะโยนหน้าที่ที่เหลือให้เป็นของพ่อและแม่ไป
“ขอบคุณที่ให้เกียรติกันมากขนาดนี้นะหมอ ขอบคุณที่เอ็นดูชมพู่มันด้วย”
“ชมพู่น่ารักครับ” คำชมกะทันหันทำให้แก้มที่หายร้อนไปแล้วร้อนขึ้นอีกครั้ง ชมพู่เม้มปากแน่น วันนี้หมอศิลาทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเองสองครั้งแล้วนะ “ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณน้าทั้งสองที่ให้โอกาสผมด้วยนะครับ”
“ชมพู่มันดื้อไปบ้าง แต่มันก็น่ารัก น้าฝากลูกสาวน้าด้วยนะหมอ”
“ผมก็ฝากน้องผมด้วย ช่วยเอ็นดูมันเยอะๆ ก็พอ”
“ครับ” ศิลามองหน้าว่าที่เจ้าสาวนิ่งๆ ก่อนจะส่งยิ้มบางเบาไปให้เธอ ชมพู่เองก็ส่งยิ้มกลับไปให้อีกฝ่าย โดยที่ไม่รู้เลยว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นั้นมีคนอีกสี่คนจับจ้องอยู่
“ฉันว่าจริงว่ะลม” เปี๊ยกกระซิบ มันยังไม่ยอมละสายตาจากสองหนุ่มสาวที่ส่งยิ้มให้กันอยู่ด้วยซ้ำ ของแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ขอเห็นเป็นบุญตาหน่อยเถอะ!
“อะไรวะ”
“เวลาอยู่กับคุณหมอ พี่ชมพู่คงเป็นแมวน้อยแหงๆ” เปี๊ยกพูดถึงเรื่องที่มันกลับไปวิเคราะห์ต่อกับลมเมื่อวาน หลังจากที่ถามจากชมพู่แล้วไม่ได้เรื่องอะไร “ทีอยู่กับพวกเราดุยังกะเสือ พอหมอมาหงอเป็นลูกแมวเชียว”
“เอ้า ก็เราเป็นแค่ลูกน้อง ส่วนนั่นอะว่าที่ผัว ไม่เจียมกะลาเลยไอ้เปี๊ยกเอ้ย”