หลังจากหวงเฟยหลงพาฮุ่ยหมิงมาถึงศาลาริมสระบัว นางก็ได้เห็นถึงความใส่ใจที่ผู้ชายคนนี้มีให้ เขาให้บ่าวส่วนตัวเตรียมเบาะรองนั่งเอาไว้ ภายในศาลายังพร้อมไปด้วยขนม น้ำชา ยาหอมและยาดม เขาใส่ใจรายละเอียดเกี่ยวกับนางมากจนฮุ่ยหมิงเองยังรู้สึกตกใจ แม้ในนิยายจะบรรยายว่าเขาเป็นผู้ชายที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อนาง แต่เมื่อได้รับสิ่งเหล่านี้ด้วยตนเอง มันช่างให้ความรู้สึกปลื้มปริ่มจนหัวใจพองโตนัก ฮุ่ยหมิงที่ไม่เคยมีผู้ชายเอาใจใส่ขนาดนี้มาก่อนได้แต่ยืนยิ้มมองสิ่งของตรงหน้าอย่างคนโง่งม
“คุณหนูท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ท่านยิ้มจนปากจะฉีกแล้วเจ้าค่ะ” เฟยเฟิ่งรีบเข้ามาเขย่าแขนฮุ่ยหมิง พักนี้คุณหนูของนางชอบทำตัวแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น กลับไปต้องสอบถามให้รู้เรื่อง ตอนนี้คงทำได้เพียงดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิดเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแรง คิดได้ดังนั้นเฟยเฟิ่งจึงรีบไปยืนเกาะแขนประคองฮุ่ยหมิงไม่ห่าง
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเฟยเฟิ่ง เจ้าปล่อยข้าได้แล้ว” ฮุ่ยหมิง กระซิบตอบพร้อมทั้งขยิบตาใส่ เพื่อไล่ให้เฟยเฟิ่งรีบออกไปจากตัวนาง
“คุณหนูเจ้าคะท่านเป็นอะไร ข้าไม่ไปเจ้าค่ะข้ากลัวคุณหนูจะทำอะไรแผลงๆ อีก” พูดจบก็กอดแขนฮุ่ยหมิงแน่นขึ้น
“ถ้าเจ้าไม่ไปข้าจะหยิกเจ้า ข้าต้องการอยู่กับหวงเฟยหลงสองคนเจ้าไม่เข้าใจหรือไง เจ้ากำลังทำแผนข้าเสียหายหมดแล้ว” ฮุ่ยหมิงพูดจบก็หยิกสะบักเอวของเฟยเฟิ่งเต็มแรงจนนางร้องเสียงหลง เฟยเฟิ่งได้แต่ขบเขี้ยวเงี้ยวฟันอยู่ในใจก่อนจะเดินสะบัดก้นออกไปทันที ท่านจะทำสิ่งใดกันแน่คุณหนู
เมื่อเฟยเฟิ่งเดินออกไป ทำให้ทั้งศาลาเหลือเพียงหวงเฟยหลงกับจางฮุ่ยหมิงสองคนเท่านั้น เขาผายมือเชื้อเชิญให้นางเข้าไปนั่งในศาลา ก่อนที่ตัวเองจะตามเข้ามานั่งด้วยเช่นกัน ตอนนี้ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกันทำให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา หวงเฟยหลงจึงเอ่ยคำพูดออกมาทำลายความเงียบ
“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่” เขาอยากรู้ว่านางชอบสิ่งที่เขาเตรียมไว้ให้หรือเปล่าจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“หม่อมฉันชอบเพคะองค์ชายที่นี่บรรยากาศดีมาก หอมกลิ่นดอกบัวอ่อนๆ ยิ่งมีขนมกับน้ำชาให้ดื่มทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก” ฮุ่ยหมิงตอบเสร็จก็ยิ้มให้เขาจนตาหยี หวงเฟยหลงไม่เคยเห็นนางยิ้มแบบนี้เลยสักครั้ง ยิ่งได้เห็นใกล้ๆ หัวใจของเขายิ่งเต้นแรงจนสายตาพร่ามัวไปหมด
“เจ้าเรียกข้าว่าพี่เฟยหลงได้หรือไม่ เรียกองค์ชายแบบนี้ช่างดูห่างเหินนัก เจ้าใช้คำพูดแบบคนทั่วไปพูดกับข้าเถิด ไม่ต้องพิธีรีตองอันใด ข้าไม่ถือ” หวงเฟยหลงเมื่อเห็นนางยิ้มให้เขาก็ตื่นเต้นดีใจไปหมด เขาอยากให้นางเรียกว่าพี่ พูดคุยกันด้วยถ้อยคำธรรมดาอย่างสนิทสนมมากกว่า เขาไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับตำแหน่งองค์ชายอยู่แล้ว
“เพคะ เอ้ย เจ้าค่ะพี่เฟยหลง” ฮุ่ยหมิงรับคำพร้อมกับ เสแสร้งเขินอาย แต่ก็มีความเขินอายปะปนอยู่จริงๆ นั่นแหละ ในโลกที่นางจากมาคุยกับใครก็เป็นได้แค่พี่น้อง หวังว่าครั้งนี้นางคงไม่ได้เป็นแค่พี่น้องกับเขาหรอกนะ คิดถึงตรงนี้ฮุ่ยหมิงก็รู้สึกขำขันกับตัวเอง
“ดีมาก ข้าเรียกเจ้าว่าน้องฮุ่ยหมิงหรือหมิงเออร์ได้หรือไม่” หวงเฟยหลงถามต่อด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“ดะ ได้เจ้าค่ะพี่เฟยหลง” ฮุ่ยหมิงยังทำทีเขินอายแก้มแดงต่อไปแต่ในใจนางกลับคิดว่า แหมม หวงเฟยหลงท่านเองก็ร้ายกาจไม่เบาเชียวนะ ได้คืบจะเอาศอกหมดกันภาพลักษณ์ผู้ชายแสนดีที่คลั่งรัก
“เจ้ารู้เรื่องที่ข้าต้องไปปราบโจรบนเขาเหลียงซานหรือไม่ ข้าต้องเดินทางวันนี้แล้วน่าจะใช้เวลาหลายเดือน หากทำสำเร็จคงได้กลับมา แต่หากไม่คงไม่มีแม้กระทั่งชีวิต เจ้าจะคิดถึงพี่ชายอย่างข้าหรือไม่” หวงเฟยหลงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฮุ่ยหมิงไม่ได้ตกใจอะไรเรื่องนี้อยู่ในแผนการของนางอยู่แล้ว จึงรีบเล่นละครต่อเพื่อรอฉากสารภาพรักจากเขา นางจะได้ดำเนินการตามแผนต่อไปเสียที
“ทำไมพี่เฟยหลงพูดอย่างนั้นหล่ะเจ้าคะ ท่านจะทำไม่สำเร็จได้อย่างไร ข้าเชื่อว่าท่านทำสำเร็จแน่นอนเจ้าค่ะ หากท่านไม่กลับมาใครจะนั่งคุยกับข้า ปกป้องข้าหล่ะเจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าคนทั้งเมืองต่างหาว่าข้าเลวร้าย (เมื่อก่อนก็ร้ายจริงๆ ตอนนี้ยิ่งร้ายเข้าไปใหญ่) ไม่มีผู้ใดอยากยุ่งเกี่ยวหรือเป็นเพื่อนสนิท ข้ามีเพียงท่านที่ยอมพูดคุยกับคนอย่างข้า” ฮุ่ยหมิงรีบตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จบีบน้ำหูน้ำตาให้ไหล ทำทีให้ดูน่าสงสารจนเขาต้องรีบสารภาพรักและให้คำสัญญา เขาแพ้เสียที่ไหนกันหล่ะเขาชนะโจรกลุ่มนั้นได้แถมยังได้องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์กลับมาอีกสองคน
“ฮุ่ยหมิง เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย ข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน เจ้าเต็มใจจะรอข้าหรือไม่” ในตอนแรกหวงเฟยหลงแค่ถามหยั่งเชิงฮุ่ยหมิงดูเท่านั้นว่านางมีใจเป็นห่วงเขาหรือไม่ แต่เมื่อเห็นนางร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล หัวใจของเขาก็อ่อนยวบลงเหมือนมีใครกำลังบีบคั้นอยู่เสียอย่างนั้น
“ท่านจะกลับมาหาข้าจริงๆ นะเจ้าคะข้าจะรอท่าน” ฮุ่ยหมิงยังคงร้องไห้ต่อไปไม่หยุด เมื่อไหร่เขาจะสารภาพรักกับนางเสียที นางบีบน้ำตาให้ไหลจนไม่มีที่จะบีบแล้วนะ แงง
“หากเจ้าเต็มใจรอข้า เช่นนั้นข้าสามารถบอกว่าข้าชอบเจ้า แอบรักเจ้ามานานแล้วได้หรือไม่ ไปครานี้แม้แต่ชีวิตตนเองข้ายังรับประกันไม่ได้ เพียงแค่ได้บอกให้เจ้าฟังข้าก็ดีใจมากแล้ว” หวงเฟยหลงจับมือเรียวเล็กแสนบอบบางของฮุ่ยหมิงขึ้นมากอบกุมไว้หลวมๆ พร้อมกับสารภาพความรู้สึกที่เขามีต่อนางออกไป นางจะรับหรือไม่รับเขาไม่ได้สนใจ เพียงแค่บอกให้นางรับรู้และได้รักนาง เขาก็พอใจแล้ว
“ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นผู้หญิงร้ายกาจ เป็นผู้หญิงใจแคบ หากท่านบอกว่ารักข้า ข้าย่อมต้องการเป็นที่รักของท่านเพียงคนเดียว แต่ด้วยตำแหน่งองค์ชายใหญ่ของท่าน จะสามารถมีข้าเป็นเพียงหญิงเดียวได้หรือเพคะ” ฮุ่ยหมิงแกล้งชักมือออกจากการกอบกุมของเขาเล็กน้อย พร้อมกับลงท้ายคำพูดด้วยถ้อยคำห่างเหิน แสดงให้เห็นว่าถึงนางจะมีใจให้เขา แต่นางก็ไม่ต้องการแบ่งเขากับใคร ช่างขัดกับประเพณีวัฒนธรรมในยุคสมัยนี้ หากคนอื่นรู้เข้าคงได้หาว่านางเป็นหญิงใจแคบ หญิงใจร้าย หญิงหน้าหนา ที่กล้าฝ่าฝืนแม้กระทั่งขนบธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมายาวนานเป็นแน่ แต่ฮุ่ยหมิงผู้นี้หรือจะสนใจ นางเป็นสาวสมัยใหม่หากจะให้ใช้สามีร่วมกับใครนางก็รับไม่ได้เหมือนกัน ดูซิว่าที่สามีของข้าท่านจะทำอย่างไรต่อไป
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้นข้าสามารถสละตำแหน่งองค์ชาย เพื่อมาอยู่กับเจ้าในฐานะผู้ชายธรรมดาสามัญชนที่มีเจ้าเป็นหญิงเดียวได้” หวงเฟยหลงตอบกลับด้วยความมั่นใจ แต่เดิมเขาก็ไม่ได้สนใจอำนาจเหล่านั้น ขอเพียงนางพอใจแค่ตำแหน่งองค์ชายใหญ่ เขาสามารถละทิ้งได้เพื่อนางอยู่แล้ว
“โถ่พี่เฟยหลงเจ้าคะ หากท่านสละตำแหน่งองค์ชายมาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ท่านคิดว่าท่านพ่อของข้าที่เป็นถึงตระกูลเสนาบดีจะยอมให้ลูกสาวคบหาดูใจกับชายหนุ่มชาวบ้านหรือเจ้าคะ”
“เช่นนั้นพี่ต้องทำเช่นไร ถึงจะทำให้เจ้าสมหวังได้ เป็นองค์ชายก็มีเจ้าเพียงคนเดียวไม่ได้ เป็นชายชาวบ้านพ่อเจ้าก็ไม่พอใจ ข้าไม่ต้องการให้สิ่งใดมาเป็นอุปสรรคสำหรับเรา ข้าทำเพื่อเจ้าได้ทุกอย่าง” หวงเฟยหลงถามฮุ่ยหมิงด้วยสายตามุ่งมั่น แค่นางยอมรับรักเขาจะให้บุกน้ำลุยไฟเขาทำได้ทั้งนั้น
“เอาอย่างนี้ดีไหมเจ้าคะ หากท่านสามารถปราบโจรกบฏที่เขาเหลียงซานได้ ฝ่าบาทคงประทานรางวัลใหญ่ให้ท่านเป็นแน่ หากท่านยอมแลกรางวัลเหล่านั้นกับการขอราชโองการให้ตัวท่านสามารถเลือกแต่งภรรยาเองได้ โดยที่ไม่มีใครสามารถบังคับท่านได้ นอกจากท่านพึงพอใจจะแต่งเอง ท่านทำได้หรือไม่” ฮุ่ยหมิงบอกทางเลือกแก่เขาตามที่นางวางแผนไว้ ถึงนางจะเลือกแต่งงานกับเขา แต่ก็ต้องมีหลักประกันว่า จะไม่มีผู้ใดบังคับให้เขามีเมียคนอื่นอีกได้ แต่หากเขามีคนที่รักมากกว่านาง นางก็จะเดินจากไปเองเพราะด้วยนิสัยส่วนตัวฮุ่ยหมิงไม่ชอบขอความรักจากใคร หากเขาไม่รักนางจะไม่ทำให้ตัวเองด้อยค่าลง ในโลกนี้มีอีกหลายสิ่งต้องเรียนรู้ สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่ามาวิ่งตามผู้ชาย
“ข้าทำได้ หมิงเออร์เจ้าฉลาดมาก หากข้าทำสำเร็จข้าจะขอราชโองการและขอประทานสมรสกับเจ้าดีหรือไม่” หวงเฟยหลงฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เขาเปลี่ยนคำเรียกขานอย่างสนิทสนม หัวใจลอยละล่องฟูฟ่องดังอยู่บนปุยเมฆ ไม่อยากเชื่อว่านางตอบรับรักเขา เขาอยากขอนางแต่งงาน อยากอยู่กับนาง อยากปกป้องนาง ทำให้นางมีความสุขในทุกวัน
“หมิงเออร์ข้ามอบกำไลหยกอันนี้ให้เจ้า มันเป็นของท่านแม่ข้าและอยู่กับข้ามาตั้งแต่ยังเล็กข้ายกให้เจ้า ดูแลมันให้ดีถือว่าแทนคำสัญญาข้าจะกลับมาขอเจ้าแต่งงานให้ได้” หวงเฟยหลงให้คำสัญญากับฮุ่ยหมิง เขาหยิบกำไลหยกสีขาวนวลออกมาจากอกเสื้อ พร้อมกับลูบมันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสวมให้นาง ฮุ่ยหมิงสัมผัสได้ว่ากำไลนี้มีคุณค่าทางจิตใจต่อเขามาก เมื่อมองดูแล้วมีราคาไม่น้อย เขาคงหวงแหนของสิ่งนี้มาก
“ของสิ่งนี้สำคัญกับท่านมาก ท่านเก็บติดตัวเอาไว้เถอะเจ้าค่ะ” หากเป็นของที่มีคุณค่าทางจิตใจฮุ่ยหมิงไม่ต้องการให้ใครเสียสละให้นาง
“เพราะมันสำคัญกับข้ามากอย่างไรหล่ะ เจ้าจึงต้องรับไว้ หมิงเออร์” หวงเฟยหลงพูดแบบนี้เพราะเขาต้องการบอกว่าฮุ่ยหมิงสำคัญกว่าของมีค่าทุกอย่างที่เขามี
“แล้วท่านจะเดินทางเมื่อใดเจ้าคะ” ฮุ่ยหมิงไม่ต้องการถามสิ่งใดต่ออีก นางจึงเปลี่ยนเรื่องมาคุยถึงการเดินทางของเขาแทน
“ข้าต้องออกเดินทางวันนี้ยามเว่ย ตอนนี้จวนจะถึงเวลาออกเดินทางแล้ว” หวงเฟยหลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องเดินทางในอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ตาละห้อยลงทันที เขาพึ่งสารภาพรักกับฮุ่ยหมิงไปเอง ไม่อยากเดินทางเลย
“ถ้าอย่างนั้นท่านรีบกลับจวนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางเถอะเจ้าค่ะเดี๋ยวจะสายเอา ข้าไม่มีสิ่งใดให้พี่เฟยหลงเลย อย่างนั้นข้าขอมอบปิ่นโตกับข้าวเถานี้ให้ท่านกินก่อนออกเดินทางได้หรือไม่ หวังว่าท่านคงไม่รังเกียจอาหารที่ข้าเตรียมมา” ฮุ่ยหมิงรีบเอาปิ่นโตที่นางตั้งใจทำยัดใส่มือเขาทันที
“จะรังเกียจได้อย่างไร ปิ่นโตที่เจ้าทำมาข้าจะกินให้หมดไม่เหลือเลย ยามนี้คงต้องขอตัวกลับก่อน ข้าจะให้บ่าวเอารถม้าไปส่งเจ้าที่จวน เจ้านั่งไหวหรือไม่” หวงเฟยหลงถามนางเนื่องจากเมื่อเช้านางหน้ามืด หากนั่งรถม้าเกรงว่าจะเกิดอาการวิงเวียนได้
“ไหวเจ้าคะท่านรีบไปเถอะ ข้าจะรอ” ฮุ่ยหมิงโบกมือลาให้เขาที่กำลังเดินจากไป หวงเฟยหลงมีท่าทีอาลัยอาวรณ์อยู่มากแต่ก็ต้องจำใจจากไป นางนั่งมองเขาจนลับตาจึงหันมาพูดกับเฟยเฟิ่ง
“เฟยเฟิ่งกลับจวนกันเถอะ ข้าทำงานของข้าเสร็จแล้ว เหลือเพียงกลับไปนั่งรอตอนต่อไปอย่างสบายใจเท่านั้น ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พูดจบก็รีบขึ้นรถม้าจากไปเพื่อรอตอนต่อไปที่นางวางแผนไว้อย่างใจจดใจจ่อ