ตอนที่ 10 ดีกันสักวัน

1471 คำ
รถคันใหญ่แล่นมาตามทางเรื่อย ๆ มุ่งหน้าไปยังบ้านพักตากอากาศที่ไปเป็นประจำทุกปี เสียงเพลงทำนองฟังสบาย ๆ ที่เปิดคลออยู่ในรถทำให้บรรยากาศในการเดินทางสดชื่นขึ้นอีกหลายเท่าตัว แต่มันช่างแตกต่างกับสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับตอนนี้เหลือเกิน “เป็นอะไร” เวคาเอ่ยถามเมื่อเห็นเชอร์รีลเอาแต่นั่งเงียบมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ จนถึงตอนนี้เธอไม่พูดไม่จากับเขาแม้แต่คำเดียว “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” มันเป็นคำตอบที่เขาพอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อเช้าก็เพิ่งทะเลาะกันก่อนออกเดินทาง “ถ้าไม่ได้เป็นอะไรก็ช่วยทำหน้าให้มันดี ๆ ไม่ใช่ทำหน้าตาเหมือนกับอยากเปลี่ยนผัวใหม่ใจจะขาด” เชอร์รีลหันมามองหน้าเขาแล้วส่งสายตาค้อนขวับเข้าให้ ริมฝีปากที่แต่งแต้มสีแดงเอาไว้เหมือนจะอยากอ้าออกเถียง แต่เธอก็เลือกที่จะเงียบเหมือนอย่างเดิม และเมื่อเธอทำแบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้ผู้ชายตัวโตชอบใจใหญ่ ฝ่ามือหนาเอื้อมไปคว้าเอามือนุ่มมากุมเอาไว้แล้ววางบนหน้าขาของตัวเอง เธอพยายามดึงมือออก แต่เวคาก็จับเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “เว จะจับทำไม ตั้งใจขับรถไปเลย” “ก็ตั้งใจขับอยู่นี่ไง แล้วทำไมจับไม่ได้” “แถวนี้รถเยอะ อันตราย” เธอพูดจบเขาก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี ความจริงก็แค่อยากจะหาเรื่องคุยด้วยเท่านั้น “หิวไหม อยากแวะกินอะไรก่อนหรือเปล่า” “เชอร์ไม่หิว ไปถึงที่พักก่อนก็ได้” ใบหน้าคมระบายด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ เมื่อเธอยอมพูดด้วยดี ๆ ไม่ทำหน้าบูดบึ้งแล้ว ใช้เวลาอยู่บนท้องถนนอีกเกือบสี่ชั่วโมงรถก็เลี้ยวเข้ามายังบ้านพักตากอากาศส่วนตัว ซึ่งมาถึงพร้อม ๆ กันกับรถของมาวินพอดี เวคาขนกระเป๋าลงจากรถจนครบทุกใบ หลังจากทักทายปฐวีกับมาวินและสาว ๆ ของทั้งคู่แล้ว เชอร์รีลก็ยกกระเป๋าเดินไปยังจุดกางเต็นท์ที่เคยมาพักโดยที่ไม่รอเขา “ทะเลาะกันเหรอ” ปฐวีถามน้องชายที่ยืนทำหน้านิ่ง ๆ อยู่ข้างกัน “เปล่าเฮีย ผมจะไปทะเลาะอะไรกับเชอร์” “ไม่ทะเลาะกันก็ดี แกก็ใจเย็นลงบ้าง เชอร์เองก็ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้หรอก แกก็รู้ดี” “รู้แล้วน่าเฮีย” ไม่อยากจะโดนพี่ชายบ่นไปมากกว่านี้ เวคาจึงถือกระเป๋าตัวเองเดินตามเชอร์รีลไปยังเต็นท์ของตัวเองด้วยอีกคน พอมาถึงก็เห็นเธอกำลังเก็บของให้เข้าที่ เขาวางกระเป๋าตัวเองไว้แล้วเข้าไปกอดคนตัวเล็ก “เชอร์โกรธอะไรเวอะ วันนี้เวทำตัวไม่ดีเหรอ” “เป็นอะไรอีกอะเว อารมณ์ไหนเนี่ย” เมื่อกี้ตอนที่ขับรถเขายังพูดจากวน ๆ อยู่เลย จู่ ๆ ก็เข้ามาพูดจาออดอ้อน มันดูไม่ปกติเลยสักนิด “ก็อุตส่าห์ได้มาพักผ่อนทั้งที เวไม่อยากทะเลาะกับเชอร์แล้วอะ เราดีกันสักวันนะเชอร์ นะ” ระหว่างที่พูดอ้อมแขนที่กอดอยู่นั้นก็ยิ่งกระชับแน่น เกยคางไว้บนไหล่เล็กก่อนที่จะกดจมูกลงบนพวงแก้มเนียนทั้งสองข้าง “เชอร์ไม่เคยอยากทะเลาะกับเวเลยนะ” เชอร์รีลเอ่ยบอกเสียงเศร้า เธอยังอยากอยู่กับเขา เธอยังรักเขา ยังรักมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักวินาทีเดียว “ถ้าอย่างนั้นจากนี้เราทำตัวดี ๆ ใส่กันนะ เรื่องของพ่อเชอร์ปล่อยให้เวจัดการได้หรือเปล่า เวสัญญาว่าจะทำให้พ่อของเชอร์ยอมให้เรากลับมาคบกันให้ได้” “เวจะทำได้จริง ๆ เหรอ” น้ำเสียงของเชอร์รีลนั้นไม่มั่นใจนัก ด้วยเพราะตัวเองเป็นลูกสาวย่อมรู้จักนิสัยของผู้เป็นบิดามากกว่าใคร ๆ พ่อของเธอไม่ชอบกลุ่มผู้มีอิทธิพล ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือมีอำนาจมากแค่ไหนก็ตาม ส่วนสาเหตุนั้น... พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ที่แม่ของเธอเสียชีวิตก็เพราะกลุ่มคนพวกนี้ ตอนนั้นการแข่งขันทางธุรกิจสูงมากเลยมีการตัดตอนคู่แข่งทางลัดนั่นก็คือการทำให้หายไปจากโลกนี้ แน่นอนว่าแม่ของเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย วันนั้น แค่บังเอิญไปอยู่ในจุดที่พวกมันกำลังไล่ยิงกัน และแม่ของเธอก็โดนลูกหลง มันจึงทำให้พ่อของเธอเสียใจและโกรธแค้นกลุ่มคนพวกนี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้จะรู้ว่า PN กรุ๊ปไม่เกี่ยวอะไรก็ตาม แต่ว่า ขึ้นชื่อว่ามาเฟีย พวกไหนมมันก็เหมือนกันทั้งนั้น นั่นคือความเชื่อที่พ่อของเธอพยายามปลูกฝังมาตลอด ///// หลังจากแยกย้ายกันพักผ่อน ถึงตอนเย็นทุกคนก็มารวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายชนิด อาหารอีกหลายอย่าง เคล้ากับบรรยากาศเย็น ๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนลืมเรื่องเครียด ๆ ไปเลย เวคาดีดกีตาร์ มีน้ำหวานคอยร้องเพลงคลอไปด้วย ส่วนเชอร์รีลก็นั่งอยู่ข้างเวคาไม่ห่างไปไหน ถึงอยากจะห่างก็คงไม่ได้หรอก เพราะผู้ชายตัวโตสั่งห้ามเอาไว้ว่าห้ามลุกไปไหนเด็ดขาด ทุกคนนั่งดื่มไปด้วยกันเรื่อย ๆ จนปฐวีขอตัวพานาเดียไปดูดาวบนภูเขา ส่วนมาวินก็พาน้ำหวานกลับเข้าเต็นท์ไปแล้ว เหลือแค่เขากับเชอร์รีลสองคนเท่านั้น “เวว่า หมดกระป๋องนี้เรากลับเต็นท์ดีไหมเชอร์” “แต่เชอร์ยังอยากดูดาวก่อน” เธอตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดาวที่กำลังส่งแสงระยิบระยับประดับให้ท้องฟ้ามืดมิดดูสวยงาม ทำให้จิตใจล่องลอยมีความสุข “แต่คนอื่นไปกันหมดแล้วนะ เวก็อยากไปด้วย” เวคาเริ่มทำเสียงงอแงใส่ “แล้วเวจะรีบไปไหน เต็นท์ก็อยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง” “จะรีบไปเอาเชอร์ เวอยากแล้ว” ยังไม่ทันจบคำพูดดีผู้ชายตัวโตก็จับข้อมือเธอเอาไว้แล้วดึงให้ลุกขึ้นเดินตาม จะฏิเสธหรือขัดขืนก็คงทำไม่ได้เพราะยังไงเขาก็มีแรงเยอะกว่าเธออยู่ดี จนในที่สุดก็เข้ามาอยู่ในเต็นท์ตามความต้องการของเขา ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไรเธอก็แพ้เขาอยู่ดี ผู้ชายที่ชื่อเวคา เขาสนุกกับการแกล้งเธอเสมอ “ตั้งใจอยู่แล้วใช่ไหมว่าจะทำแบบนี้” เชอร์รีลหันกลับไปถามผู้ชายที่นั่งฉีกยิ้มอยู่ข้าง ๆ กัน “ทำอะไร” เวคาเอ่ยด้วยสีหน้ายียวน ฝ่ามือกร้านลูบไล้ไปมาที่เรียวขาและเอวของเธอซึ่งถูกซ่อนเอาไว้ที่ใต้เสื้อผ้าหนา เพื่อป้องกันอากาศหนาว ต่างจากเขาที่สวมเพียงเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเท่านั้น “แกล้งเชอร์” เชอร์รีลบ่นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปัดป้องเขาอย่างจริงจังนัก “เวหนาว” นอกจากเขาจะไม่ถอยห่าง กลับยิ่งกระแซะกายแนบชิดจนไร้ช่องว่างของอากาศ วงแขนแกร่งโอบรัดจนเชอร์รีลรู้สึกอึดอัดขึ้นมาชอบกล “หนาวก็ใส่เสื้อผ้าสิ อ๊ะ...” เชอร์รีลร้องเสียงหลงเมื่อฝ่ามือซนสอดเข้าใต้เสื้อตัวหนาจากทางด้านหลัง บีบเคล้นอย่างแรงที่เต้าอวบอิ่มของเธอซึ่งไร้บราปกปิด จนเนื้อนุ่มล้นปลิ้นออกมาตามซอกนิ้วเรียวของชายหนุ่ม “ใส่ทำไม เดี๋ยวก็ต้องถอด” เขากระซิบที่ข้างใบหูนิ่ม แล้วขบเบา ๆ ที่ติ่งหู จนเส้นขนบางทั่วเรือนร่างของเธอลุกชันขึ้นมา “ที่นี่ไม่ได้มีแค่เรานะ” เชอร์รีลกระซิบแผ่วอย่างจนใจ เมื่ออีกฝ่ายขบเม้มลำคอของเธอแล้วดูดสร้างรอยจาง ๆ “คนอื่นตั้งเต็นท์อยู่ตั้งไกล ไม่เป็นไรหรอก” จุดกางเต็นท์ของพวกเขาห่างจากอีกสองเต็นท์ที่มาด้วยกันพอสมควร “อีกอย่าง..วินกับเฮียวีไม่สนใจเราหรอก มาทุกปีก็ทำไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย นะเชอร์” ฝ่ามือของเขาบีบเคล้นสองเต้าหนักขึ้น “เชอร์ไม่อยากเหรอ ไม่มีอารมณ์จริง ๆ เหรอ หืม...” เสียงทุ้มพร่ากระซิบอยู่ข้างใบหู ทั้งยังเล้าโลมเธออยู่ไม่หยุด จากที่คิดจะห้ามแต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ///////////////////////////////////////////////////////
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม