ร่างบางในชุดทำงานกลางเก่ากลางใหม่ ก้าวลงจากรถเมล์ แล้วเดินอย่างเร่งรีบเข้าไปในบริเวณของโรงพยาบาลท่ามกลางอากาศอันแสนร้อนอบอ้าวในยามเที่ยงวัน
ทว่า...แสงแดดที่แผดเผา อากาศร้อนระอุที่แทบทำให้ผู้คนเป็นลมเป็นแล้งได้ ไม่ได้ทำให้ ‘ไอริณ’ ลดฝีเท้าในการก้าวเดินเข้าไปในโรงพยาบาลแห่งนี้
ในใจของไอริณร้อนรุ่มซะยิ่งกว่าไอแดด ใบหน้างามอมทุกข์ ดวงตาสีนิลเต็มไปด้วยความหมองเศร้า ขณะนึกถึงคำพูดของพยาบาลที่ได้โทรศัพท์ไปหาเธอเป็นการเร่งด่วน
‘คุณไอริณคะ คุณแม่ของคุณอาการทรุดหนัก คุณหมอให้ตามตัวคุณเป็นการด่วนค่ะ’
“แม่...รอไอริณก่อนนะคะ ไอริณมาแล้วค่ะ...”
ไอริณเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กลืนก้อนสะอื้นจนปวดร้าวไปทั่วลำคอ หยาดน้ำตาอุ่นเอ่อคลอเบ้า รีบเร่งก้าวเท้ายาวๆ เกือบเป็นวิ่งเข้าไปในบริเวณโรงพยาบาล แล้วตรงดิ่งไปยังลิฟต์ มือเล็กสั่นเทาอย่างระงับไว้ไม่อยู่ ขณะค่อยๆ เอื้อมไปกดหมายเลขชั้นที่มารดานอนรักษาตัวอยู่
จากชั้นล่างไปสู่ชั้นหกของอาคารแห่งนี้ เข็มนาทีเดินทางไม่ถึงสองนาที แต่ไอริณกลับรู้สึกว่าเนิ่นนานชั่วกัปชั่วกัลป์จนแทบทนรอไม่ไหว และทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกกว้าง ร่างบางก็พุ่งออกจากลิฟต์อย่างรีบเร่งจนแทบชนกับผู้คนที่ยืนรออยู่ด้านหน้าลิฟต์
เจ้าของใบหน้าอมทุกข์ถลาเข้าไปในห้องผู้ป่วยหนัก ตรงไปยังเตียงของมารดา มือเล็กที่สั่นเทาเอื้อมไปจับมือเล็กขาวซีดของมารดามากุมไว้ ขณะเอ่ยเรียกท่านด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“คุณแม่คะ...ไอริณมาแล้วค่ะ...”
บุษกร ผู้เป็นมารดาเปิดเปลือกตาได้อย่างยากเย็น ค่อยๆ หันมามองใบหน้าของลูกสาว ริมฝีปากที่ซีดเซียว เผยอขึ้นเอ่ยเรียกลูกสาวเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน
“ระ...ริณ...ริณ...มา...แล้วหรือ...ลูก...”
“ค่ะ...ค่ะคุณแม่...”
ไอริณรับคำเสียงสั่นเครือ พยายามไม่ให้หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าหลั่งรินออกมา พร้อมกันนั้นก็พยายามฝืนยิ้มให้กับมารดาด้วย
“วันนี้ไอริณลาวันครึ่งวัน หนูจะมาอยู่กับคุณแม่นะคะ”
“ริณ...แม่มีเรื่อง...จะขอร้องริณ...”
ไอริณต้องกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอให้ไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นมารดาหายใจหอบ มีอาการเหน็ดเหนื่อยกว่าจะเอ่ยพูดจบ
“คุณแม่นอนพักก่อนนะคะ...อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยค่ะ”
ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ ค่อยๆ ยกมือเล็กแห้งเหี่ยวเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มาจับยึดต้นแขนของลูกสาวไว้
“ริณ...ให้แม่พูด...”
“ค่ะ..ค่ะ...”
ไอริณกลืนก้อนสะอื้นลงคอ รับคำตามคำขอร้องของมารดา ก่อนจะเอ่ยถามมารดาด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติที่สุด
“คุณแม่จะให้ไอริณทำอะไรคะ...”
“ไป...ไปตามหาพ่อ...”
ไอริณถึงกับนิ่งงันไปหลายนาทีกับคำขอร้องของมารดา พอตั้งสติได้ ก็เอ่ยถามในประโยคเดียวกันที่มารดาได้พูดออกมาในก่อนหน้านี้
“ไปตามหาคุณพ่อยังงั้นหรือคะ”
“ใช่...แม่อยากให้...ริณ...ไปตามหาพ่อ...”
“ทำไมไอริณต้องไปตามหาคนที่ทิ้งพวกเราไปด้วยคะ”
เมื่อพูดถึงบิดา น้ำเสียงก็เริ่มแข็งห้วน ริมฝีปากกัดเม้มเข้าหากัน เพื่อระงับความโกรธที่มีต่อบิดา ซึ่งตนเองไม่เคยเห็นหน้าตั้งแต่เกิด
“ริณ...ฟังแม่นะลูก...แม่...”
“ริณไม่อยากฟังเรื่องของเขาอีก คุณแม่พักผ่อนนะคะ”
ไอริณเอ่ยห้ามก่อนมารดาจะทันพูดจบ ขณะเดียวกันก็ประคองให้มารดานอนลงบนเตียงเหมือนเดิม ทว่า...มารดาหาได้ยอมไม่!
“แม่...แม่โกหกริณเรื่องพ่อ...”
แม้มารดาจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเท่าที่มีแรงอยู่ แต่กระนั้นไอริณก็ได้ยินอย่างชัดเจน และนั่นทำให้หญิงสาวนิ่งงันไปหลายนาที
“โกหกเรื่องคุณพ่อ?”
ไอริณถามซ้ำ ใจหนึ่งก็อยากให้มารดาได้พักผ่อน เพราะเห็นได้ว่าท่านอ่อนแรงลงไปมาก แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้เรื่องของบิดาเช่นเดียวกัน
“ใช่แล้วลูก...แม่โกหกเรื่องพ่อทั้งหมด...”
บุษกรพยายามเอ่ยพูด แม้รู้สึกได้ว่ากำลังหมดแรงไปทุกขณะ แต่กระนั้นก็บอกกับตัวเองว่าต้องบอกความจริงกับลูกให้ได้ และที่สำคัญนางต้องการขอร้องให้ลูกสาวทำบางสิ่งบางอย่างให้ เพื่อให้ตนเองนอนตายตาหลับ ไม่ต้องมีกังวลอีกต่อไป
“คุณแม่กำลังจะบอกไอริณว่า คุณพ่อไม่ได้ทิ้งพวกเราไปหรือคะ” เอ่ยถามไปแล้ว ไอริณก็กลั้นหายใจรอคอยคำตอบจากมารดา
บุษกรพยักหน้าช้าๆ รับคำ ก่อนจะเอ่ยย้ำว่า “ใช่แล้วริณ...พ่อไม่ได้ทิ้งพวกเราไป...แต่...แต่...แม่ต่างหาก...ที่เป็นฝ่ายหนีพ่อมา...”
หยาดน้ำตาอุ่นไหลรินพร้อมกับถ้อยคำที่เอ่ยบอกเสียงขาดห้วงปนหอบ และยิ่งคิดถึงการตัดสินใจในอดีตที่ผ่านมา ก็ยิ่งร้องไห้ จนไอริณต้องซับน้ำตาให้ด้วยทิชชู่พร้อมกับเอ่ยห้ามไปในตัวด้วย
“คุณแม่คะ..อย่าเพิ่งถึงคุณพ่อเลยนะคะ”
ไอริณอยากรู้ความจริงใจจะขาด แต่พอเห็นมารดาร่ำไห้ด้วยความสะเทือนใจ แถวยังหายใจหอบเหนื่อยมากกว่าเดิม ก็ไม่อยากให้ท่านพูดถึงบิดาในยามนี้
ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าปฏิเสธ รู้ดีว่าตนเองมีเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว และต้องบอกความจริงกับลูกสาวให้จงได้
“ริณ...แม่เป็นฝ่ายหนีพ่อมา...พ่อไม่ได้ทิ้งพวกเรา...และ...พ่อไม่รู้ด้วยว่าแม่กำลังท้อง ตอนหนีพ่อกลับมาประเทศไทย...”
เจ้าของใบหน้างามที่มีเลือดผสมไทย-รัสเซีย สวยคมเข้มชนิดที่หนุ่มๆ เห็นแล้วต้องเหลียวหลังมองตาม ได้แต่นั่งนิ่งเงียบ หัวสมองเต็มไปด้วยคำพูดของมารดา ที่เคยพร่ำบอกในยามเธอเอ่ยถามถึงบิดาในตอนเด็กๆ
‘คุณแม่คะ ทำไมไอริณไม่มีพ่อเหมือนคนอื่นๆ’
‘ทำไมไอริณไม่มีพ่อเดินจูงมือส่งไปโรงเรียนเหมือนเพื่อนๆ’
‘แม่คะ ไอริณอยากให้พ่อมาดูไอริณแสดงละครที่โรงเรียน’
‘ทำไมพ่อไม่รักไอริณ’
นับร้อยๆ คำถามที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ อย่างไอริณ เพียรเฝ้าถามถึงบิดา และคำตอบที่ได้รับจากมารดาในทุกครั้งก็คือ...
‘อย่าถามถึงพ่อ...ผู้ชายคนนั้นเขาทิ้งแม่กับไอริณ’
‘พ่อไม่รับผิดชอบแม่ เขาไม่ต้องการพวกเรา เขาไม่ต้องการไอริณ’
‘เลิกถามถึงพ่อ ป่านนี้เขามีลูกเต็มบ้านไปแล้ว ต่อให้เขารู้ว่ามีไอริณเป็นลูก เขาก็ไม่มีทางสนใจหรืออยากรับไอริณไปอยู่ที่รัสเซียด้วย’