“เชื่อสิลูก แค่เพียงเห็นหน้าริณ คุณพ่อก็จะรู้ได้ทันทีว่าริณเป็นลูกของเขา...นั่นก็เป็นเพราะว่าริณมีใบหน้าที่เหมือนคุณพ่อมาก ส่วนเรื่องค่าตั๋วเครื่องบิน...แม่...มีเงินเก็บในบัญชีธนาคาร...รินไปถอนมาแล้วเอาไปซื้อตั๋วเครื่องบินและไว้ใช้จ่ายตอนอยู่รัสเซียนะลูก”
“ไอริณ...กลัวว่าคุณพ่อจะไม่เชื่อค่ะ” ไอริณเผยความหวาดหวั่นให้มารดาเห็นอีกรอบ
“ไม่ต้องกลัวลูก พ่อจะต้องเชื่อในหลักฐานที่ริณนำไปด้วย คุณพ่อให้แหวนแต่งงานกับแม่ บนตัวแหวนสลักนามสกุลของคุณพ่อไว้ แม่เก็บแหวนพร้อมกับจดหมายที่เขียนถึงคุณพ่อไว้ในลิ้นชักในห้องนอนของแม่ ริณเอาแหวนไปให้คุณพ่อด้วยนะลูก”
“คุณแม่คะ...ไอริณไม่อยากไปมอสโคว์ ไม่อยากไปตามหาพ่อเลยค่ะ...ถ้า...ถ้าไอริณไปแล้ว ไอริณกลัวว่ากลับมาจะไม่ได้เห็นคุณแม่อีก”
“อย่าร้องไห้ลูก...”
ผู้เป็นแม่พยายามยกมืออันไร้เรี่ยวแรงไปซับน้ำตาให้ รู้ว่าลูกสาวกำลังหมายถึงอะไร
“ทำเพื่อแม่สักครั้งให้แม่มีความสุข...แม่สัญญาว่าจะอยู่รอจนกว่าริณจะกลับมานะลูก”
“สัญญานะคะ สัญญาว่าแม่จะอยู่รอไอริณกลับมา”
ดวงตาอันแดงก่ำทอดมองมารดา บีบมือเล็กเหี่ยวย่นไว้แน่น ขณะขอคำมั่นสัญญาจากท่าน
“ไอริณจะเอาจดหมายและแหวนไปให้คุณพ่อ แต่...ไอริณขอเวลาแค่เพียงเจ็ดวันเท่านั้น ไม่ว่าจะพบคุณพ่อหรือไม่ และไม่ว่าคุณพ่อจะยอมรับหรือปฏิเสธว่าไอริณไม่ใช่ลูกของเขา ไอริณจะกลับประเทศไทย คุณแม่สัญญากับไอริณแล้ว คุณแม่ต้องรอไอริณกลับบ้านนะคะ”
“จ้ะ...แม่สัญญาจ้ะ...”
ผู้เป็นมารดารับคำลูกสาวพร้อมกับฝืนยิ้มให้ด้วย ทว่าไอริณกลับรู้สึกใจคอไม่ดี แม้ไม่อยากทำตามที่มารดาขอร้อง แต่พอเห็นแววตาอันเต็มไปด้วยความหวังของท่าน ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เธอต้องไปประเทศรัสเซีย ไปตามหาพ่อ ไปทำตามความปรารถนาของมารดา ซึ่งเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายในชีวิตของท่าน
มอสโคว์...ประเทศรัสเซีย
อากาศติดลบในเดือนกุมภาพันธ์ช่างหนาวเหน็บเข้ากระดูก ทำเอาไอริณแทบก้าวเท้าเดินไม่ได้ หญิงสาวกระชับเสื้อกันหนาวให้แนบกับตัวยิ่งกว่าเดิม ขณะเดินลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อมุ่งหน้าไปบ้านของบิดา ตามที่อยู่ซึ่งมารดาได้เขียนไว้ข้างหลังภาพถ่าย
เมื่อเข้ามาอยู่ภายในรถไฟใต้ดินแล้ว ไอริณก็ลอบเป่าปากด้วยความโล่งอก ที่ไม่ต้องเผชิญกับอากาศอันแสนหนาวเหน็บรวมทั้งหิมะที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา มือเล็กล้วงหยิบภาพถ่ายของบิดาออกมาจากกระเป๋าเสื้อกันหนาว ใบหน้างามเป็นกังวลขณะทอดมองภาพของบิดาที่ถืออยู่ในมือ
“อังเดร โคโลเซฟ”
ไอริณพึมพำเรียกชื่อของบิดา ดวงตาดำขลับทอดมองภาพถ่ายของบิดาแน่นิ่ง ข้อมูลที่มีเกี่ยวกับบิดาแทบเป็นศูนย์! นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอรู้จักแค่ชื่อและนามสกุลของบิดาเท่านั้น อีกทั้งภาพถ่ายที่มีอยู่ในมือก็เป็นภาพสมัยหนุ่มๆ ของบิดา ซึ่งเธอไม่รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของบิดาจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด
“เฮ้อ...จะตามหาคุณพ่อเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เจ้าของใบหน้างามบ่นด้วยความหนักใจ พลิกภาพถ่ายไปทางด้านหลังเพื่ออ่านที่อยู่ของบิดาอีกครั้ง ก่อนจะเก็บภาพถ่ายของบิดาไว้ในกระเป๋าเสื้อเหมือนเดิม
ร่างบางระหงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ในรถไฟใต้ดิน พอนึกถึงมารดาที่ป่วยหนักนอนรอความตายอยู่ในโรงพยาบาลก็ทำเอาน้ำตารินในทันที
“ไอริณจะตามหาคุณพ่อให้จนเจอ คุณแม่อย่าลืมสัญญานะคะว่าจะรอไอริณกลับบ้าน”
มะเร็ง! โรคร้ายที่กำลังจะคร่าชีวิตของมารดาไป สร้างความหวาดกลัวให้กับไอริณ ซึ่งหญิงสาวไม่มั่นใจว่ามารดาจะสามารถอยู่รอจนกว่าเธอจะกลับประเทศไทยได้หรือไม่!
แต่...หญิงสาวให้เวลาสำหรับการตามหาบิดาแค่เพียงเจ็ดวันเท่านั้น ไม่ว่าจะพบบิดาหรือไม่ หรือถ้าหากพบแล้ว บิดาจะยอมรับว่าเธอเป็นลูกหรือไม่ หญิงสาวก็จะกลับประเทศไทย เพราะนั่นถือว่าเธอได้ทำตามคำขอร้องของมารดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไอริณหยิบแผนที่รถไฟใต้ดินมอสโคว์มาดูบ้าง เมื่อเห็นว่าเหลืออีกหนึ่งป้ายสถานี ก็จะถึงสถานีปลายทางที่ตนเองจะลง เพื่อไปตามหาบิดาตามที่อยู่ที่ได้มา ก็สูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด เพื่อเรียกความกล้าหาญให้กับตนเอง
“ไม่ต้องกลัวนะไอริณ ยังไงๆ เธอก็ต้องตามหาคุณพ่อจนพบแน่นอน”
พึมพำบอกตนเองเช่นนั้น ทว่า...ในใจ ไอริณกลับหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เพราะก่อนจะเดินทางมายังประเทศรัสเซีย หญิงสาวได้ยินคำเล่าลือถึงความน่ากลัวของดินแดนหลังม่านเหล็กมามากมาย แต่กระนั้นก็ต้องพกความกล้าหาญไว้ เพราะหากไม่ทำตามที่มารดาขอร้อง หญิงสาวคงรู้สึกผิดไปทั้งชีวิต หากมารดาต้องตายจากไปทั้งๆ ยังมีกังวลเรื่องบิดาอยู่
“พร้อมแล้วใช่ไหม ไอริณ...ถ้ายังงั้นก็ลุยกันเลย”
ไอริณบอกตัวเองอีกครั้ง ผุดลุกขึ้นยืน พร้อมกับกระชับเสื้อกันหนาวให้แน่นกว่าเดิม เมื่อต้องออกไปเผชิญกับอากาศอันแสนหนาวเย็นอีกครั้ง
หญิงสาวจากแผ่นดินไทย ที่พกความกล้าระคนความหวังในการตามหาบิดา ซึ่งไม่เคยเห็นหน้าตั้งแต่แรกเกิด เดินท่อมๆ ท่ามกลางหิมะโปรยปรายไม่ขาดสายทั่วกรุงมอสโคว์
ไอริณไม่รู้จักเส้นทางในเมืองใหญ่แห่งนี้ ไม่รู้ว่าบ้านของบิดาอยู่บนตำแหน่งใดของกรุงมอสโคว์ หญิงสาวใช้วิธีการสอบถามผู้คนที่เดินผ่านไปมา สอบถามคนท้องถิ่นทั้ง พ่อค้า เจ้าหน้าที่รถไฟ แม้กระทั่งทหารและตำรวจ
แต่...ใช่ว่าการสื่อสารกับชาวรัสเซียจะเป็นไปได้ง่าย เพราะบางคนสามารถพูดภาษา
อังกฤษได้ แต่บางคนก็สื่อสารด้วยภาษาสากลไม่ได้เลย ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งหนาวเข้ากระดูกจนเนื้อตัวชาไปหมด แต่ไอริณก็ไม่ละความพยายาม หญิงสาวต้องการตามหาบิดาให้พบโดยเร็วที่สุด
ในบ่ายคล้อยของวันนั้น ไอริณก็ตามหาบ้านของบิดาจนเจอ หญิงสาวคลี่ยิ้มด้วยความดีใจ ขณะยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ มือเล็กสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดตอนยื่นไปกดกริ่งหน้าบ้าน ใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดกลัวว่าบิดาจะยอมให้เธอเข้าพบหรือเปล่า
ไอริณรอไม่ถึงห้านาที ก็เห็นชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิท แถมยังสวมแว่นดำมองดูไม่ต่างจากพวกมาเฟีย เดินตรงมาที่ประตูรั้วขนาดใหญ่ ก่อนอีกฝ่ายจะเปิดประตูออกกว้าง จ้องมองเธอเขม็ง แล้วกระชากเสียงถามด้วยภาษารัสเซียรัวเร็ว
“มาหาใคร!”