ณ บริษัทใหญ่KMกรุ๊ป
ฮาน่าเดินเข้าไปในบริษัทของคามิลเพราะได้รับคำเชิญให้มาร่วมการประชุมของประธานบริษัทต่างๆ แม้เธอจะยังไม่ได้รับตำปหน่งหน้าที่นี้เต็มตัวแต่เธอก็มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาร่วมประชุม
“สวัสดีค่ะคุณฮาน่า”
“ค่ะ”
“เชิญด้านในเลยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ฮาน่าเข้าไปในห้องประชุมโดยที่มีผู้ช่วยของคามิลเป็นคนเปิดประตูให้ พอเดินเข้าไปเธอก็เห็นคามิลและขุนเขานั่งรออยู่แล้ว ซึ่งมันก็ไม่แปลกเพราะทั้งสองเป็นหุ้นส่วนกัน แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาอีกหรือเปล่า
“หวัดดีฮาน่า” ขุนเขายกมือโบกทักทายหญิงสาวที่เข้ามาใหม่เล็กน้อย พร้อมกับยิ้มด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“อืม...มากันเร็วนะ”
“เดินมาแค่นี้ ไม่เร็วก็ให้มันรู้ไปสิ” คามิลตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่ไอ้น้ำเสียงแบบนี้แหละที่มันทำให้ฮาน่ารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดจากวนประสาท
“กวนตีน!” ฮาน่าหันไปด่าเข้าให้ รู้อยู่หรอกว่าอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะมาเร็วแบบนี้ กว่าจะถึงเวลาประชุมก็ยังอีกตั้ง 15 นาทีเลย เป็นเจ้าของที่นี่เดินจากห้องทำงานมาสามก้าวก็ถึงแล้ว
“แฮ่ม! ใจเย็นก่อนหนุ่มๆ สาวๆ” เสียงทุ้มเอ่ยทักดังขึ้นมา ทำให้ฮาน่าหันไปมองพร้อมกับทำหน้าเหวอ เพราะบุคคลนั้นคือ ท่านประธานเลียม พ่อของคามิล
เธอยังไม่ทันได้มองจนทั่วเลย ก็นึกว่าจะมีแค่สองเพื่อนสนิทเท่านั้น
“ขะ ขอโทษค่ะคุณลุง”
“นี่ห้องประชุมอย่าเพิ่งตีกัน ไว้ออกจากห้องประชุมแล้วค่อยว่ากันลุงอนุญาต” ประธานเลียมมองที่ฮาน่าแล้วยิ้มให้ เพราะตัวเองก็รู้จักฮาน่ามาตั้งแต่เด็กๆ เช่นกัน และก็รู้ด้วยว่าฮาน่ากับพวกเพื่อนๆ มักจะเล่นอะไรแบบนี้กันเป็นประจำอยู่แล้ว
“พ่อครับ!”
“ตัวตั้งโต สู้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ได้หรือไงเจ้าลูกชาย”
คามิลมองไปที่ฮาน่าก่อนที่จะถูกเธอยักคิ้วให้อย่างท้าทาย ทำเอาเขาก็เม้มปากข่มใจกลบอารมณ์ของตัวเอง
ไม่ได้โกรธ และก็ไม่ได้จะทำอะไรเธอ แต่ถ้าพ่อของเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้สงครามฟันน้ำนมมันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
การทะเลาะกัน ตีกันในแบบของเด็กๆ คือเรื่องปกติสำหรับทั้งสามอยู่แล้ว
………
แกร้ก~
“ขอโทษด้วยครับที่ทำให้รอนาน” ประตูห้องประชุมถูกเปิด พร้อมกับคำกล่าวขอโทษจากผู้ที่เข้ามาใหม่ มันจะไม่น่าตกใจอะไรขนาดนั้นเลยหากคนที่เข้ามาไม่ใช่ ธารา บุคคลที่ฮาน่าเพิ่งจะได้เจอเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
“เชิญนั่งครับ”
“ขอบคุณครับ”
ธาราเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ฮาน่าพร้อมกับชวนเธอสนทนาด้วยระหว่างรอการประชุม ทว่าทุกอย่างกลับถูกสองเพื่อนสนิทล็อคเป้าหมายด้วยสายตาที่เฉียบคมไว้หมดแล้ว และเต็มไปด้วยคำถามที่ว่าเธอเป็นอะไรกับผู้ชายคนนั้น
ยิ่งเห็นเธอคุยกับผู้ชายคนนั้นด้วยท่าทางที่สนิทสนมแล้วก็ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่
“ฮาน่า...”
“หือ??” ฮาน่าที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเรียกด้วยความสงสัย
“ไปชงกาแฟกัน”
“ห๊ะ!? ก็ให้...”
“มาเหอะน่า มีเรื่องจะคุยด้วย” ยังไม่ทันที่คามิลจะพูดจบ ร่างสูงก็เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ ก่อนที่จะคว้าแขนเล็กๆ ของเธอให้เดินตามออกไป
“อะไรอีกเนี่ย?”
“มาก่อน”
คามิลพาฮาน่าไปที่ห้องทำงานของตัวเอง ก่อนที่จะยืนนิ่งจ้องมองเธอโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ดวงตาคู่นั้นเพ่งมองนิ่งจนทำให้เธอรู้สึกกระสับกระส่ายทำตัวไม่ถูก
“พามาทำไม?”
“หมอนั่นใคร?”
“แล้วใคร คือหมอนั่น?”
“อย่ามาลูกเล่นดิวะ!” คามิลดูหัวเสียพลางมองเธอด้วยท่าทางที่ขึงขัง เพราะคำตอบที่ออกมาจากปากของเธอนั้นมันยังไม่ถูกใจเขา
“????”
“ฮาน่า!”
“นี่มึงอย่าบอกนะว่าจำพี่ธาราไม่ได้อ่ะ”
“ห๊ะ?” สายตาและท่าทางที่ดูขึงขังก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนว่าจะคลายความร้อนใจลงบ้างอยู่เหมือนกัน แต่สีหน้านั้นกลับแสดงความสงสัยเข้ามาแทน
“พี่ธาราเพื่อนเล่นตอนเด็กๆ ไง เขาเพิ่งกลับมาน่ะ”
“…..” ใบหน้าหล่อเหลานั้นเกิดอาการร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างฉับพลัน เมื่อได้รู้ความจริงที่ว่าทำไมเธอถึงได้คุยกับผู้ชายคนนั้นด้วยท่าทางที่สนิทสนมแบบนั้น
“แล้วมึงเป็นห่าอะไร ลากกูออกมาเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ?” เธอแผดเสียงใส่คนตรงหน้า สายตาจ้องมองคามิลอย่างเอาเรื่อง นี่ก็ใกล้เวลาที่จะเริ่มการประชุมแล้วด้วย แต่กลับถูกลากออกมาแบบนี้มันใช่ที่ไหน อีกอย่างลากออกมาเพราะเรื่องบ้าบอเล็กๆ แค่เรื่องเดียวเนี่ยนะ?
ไว้ถามตอนหลังเลิกการประชุมก็ได้ไหม
“เอ่อ...ก็ชงกาแฟไง ป่ะไปชงกาแฟกัน..” คามิลคว้าข้อมือของคนตรงหน้าและพาเธอเดินออกไปจากห้องทำงานของตัวเอง ทว่ากลับได้เจอกับผู้ช่วยของเขาที่ยืนยิ้มแหยอยู่หน้าประตู ทำให้ฮาน่ารีบสะบัดมือออกทันที
“ได้เวลาเริ่มการประชุมแล้วค่ะ”
“อ๋ออืม...” คามิลหันไปมองฮาน่า ทว่ากลับถูกเธอมองตาขวางใส่และเดินหนีออกไปทันที
ทั้งคู่เดินกลับเข้าห้องประชุม สีหน้าที่ดูบึ้งตึงของฮาน่าทำให้ขุนเขารู้ได้ทันทีว่ามันต้องมีอะไรอย่างแน่นอน ฮาน่าเป็นคนไม่แสดงออกทางหน้าตาก็จริง แต่คนที่อยู่กับเธออย่างใกล้ชิดมานานเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเธอมีอารมณ์แบบไหนในเวลานั้นๆ
……….
“เอาล่ะครับ ผมขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้นะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดี และหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันแบบนี้อีก”
เสร็จสิ้นการประชุมที่แสนจะยาวนาน แต่ละคนต่างก็มีความรู้สึกไม่ต่างกันเลย
ฮาน่านั่งบิดตัวไปมาไล่อาการเมื่อยตามเนื้อตัวของตัวเอง พร้อมกับบิดคอไปมาปลุกตัวเองให้ตื่นจากอาการงัวเงียหลังจากที่นั่งประชุมเป็นเวลาหลายชั่วโมง
“กลับยังไง?” ขุนเขากระซิบถาม เพราะในห้องประชุมยังมีคนอื่นอยู่อีกมาก แม้จะพากันทยอยออกไปแล้วก็ตาม
“ขับรถกลับสิ”
“ตอนเย็นไปแวะหาอะไรกินกัน”
“ไม่กินข้าวเย็น”
“กลัวอ้วน?”
“…..” ฮาน่าเหลือบมองคนข้างๆ ที่ถามเธอ สายตาที่ใช้มองนั้นเป็นอันรู้กันว่ากวนตีนอีกทีโดนดีแน่ๆ
จะบอกว่ากลัวอ้วนก็ไม่ผิดแต่ปกติก็ไม่ค่อยกินอยู่แล้ว น้อยนักที่ฮาน่าจะกินข้าวเย็น ประหนึ่งผู้หญิงที่รักษาหุ่นของเธอทั่วๆ ไปนั่นแหละ เพราะไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายเธอจึงไม่อยากจะกินมากให้น้ำหนักขึ้น
ไม่นานนักคนอื่นๆ ก็พากันออกไปจนหมด เหลือเพียงฮาน่ากับสองเพื่อนสนิทและบวกเพิ่มด้วยธารา ชายหนุ่มที่ทำให้คามิลหัวเสียก่อนหน้านี้
เพราะไม่ได้ไปที่ไหนต่อฮาน่าก็ออกมานั่งเล่นอยู่ที่ด้านนอก ยังไม่ขับรถกลับคอนโด
พรึ่บ!
“เฮ้ย!!”
คนตัวเล็กที่กำลังนั่งฮึมฮำทำเพลงของตัวเองอยู่เงียบๆ ก็ถูกสองเพื่อนสนิทเข้ามานั่งชิดคนละฝั่งข้างแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ฮาน่านั่งเล่นอยู่ตรงขั้นบันไดที่ด้านหลังเป็นน้ำพุของบริษัทนี้
“จะตกใจทำไม?” คามิลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นๆ อย่างแผ่วเบา ต่างจากขุนเขาที่นั่งเงียบราวกับคนเป็นใบ้
“พี่ธาราล่ะ?” เพราะเธอเดินออกมาก่อนเลยไม่รู้ว่าธารายังอยู่ที่นั่นหรือว่ากลับบ้านของตัวเองไปแล้ว
“ไล่กลับไปแล้ว”
“ไอ้....!”
“สักแต่จะด่า” คามิลตอบ แววตาที่เฉยเมยนั้นทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอนั้นเต้นโครมๆ อย่างกับจะทะลุออกมาจากอกให้ได้
ทำไมมันถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ ไม่ใช่แค่กับขุนเขาที่เป็น กับคามิลเองเธอก็รู้สึกแบบนั้นด้วย
นี่มันคงไม่ได้หมายความว่าเธอกำลังมีความรู้สึกดีๆ กับเพื่อนสนิททั้งสองหรอกนะ
“อะไร? ยังไม่ทันพูดเลย รู้ได้ไงว่าจะด่า?”
“อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ละ”
“จิ๊!!” เธอใช้เสียงเหมือนประชดคนตรงหน้า ก่อนจะหันศีรษะไปมองทางอื่น แต่ก็เจอกับขุนเขาอีกนั่นแหละ
จะมานั่งประกบคู่ไว้ทำไมก็ไม่รู้ หันซ้ายก็เจอหันขวาก็เจอ น่าอึดอัดซะจริงๆ
“รู้ไหมว่าพวกเราเหมือนคนเร่ร่อนที่มานั่งพักเลย” จู่ๆ ขุนเขาก็พูดขึ้นมา เล่นเอาทั้งสองนั้นเงียบไม่ตอบอะไรเลยอยู่พักใหญ่ๆ
จนกระทั่ง...
“คนเร่ร่อนบ้านมึงดิ แต่งตัวดีขนาดนี้” คามิลพูดเสียงแผ่ว แต่เป็นเสียงที่กำลังข่มอารมณ์ไว้อยู่ หากฮาน่าไม่ได้นั่งคั่นกลางไว้คงได้ประเคนฝ่ามือให้กลางกบาลแล้ว
“กูพูดจริงๆ อีกนิดก็ใช่แล้วนะ” ขุนเขาพูดย้ำขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับมองดูผู้คนที่กำลังเดินสวนผ่านกันไปมา แต่ละคนต่างก็พากันหันมองมาที่ทั้งสามกันไม่น้อยเลยด้วย
ใครกันจะมานั่งเล่นอยู่ตรงน้ำพุแบบนี้
“ไอ้ขุน มึงก็พูดซะเห็นภาพ” ฮาน่าพูดเสียงแผ่ว ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตุอะไรหรอก แต่พอขุนเขาพูดขึ้นมาเนี่ยแหละสนใจตรงนี้ขึ้นมาทันที
ทันควันร่างบางก็ลุกขึ้นและเดินตรงไปที่รถของตัวเอง
“จะกลับแล้วดิ?” ขุนเขาเอ่ยถาม เพราะเดินตามหลังมาติดๆ เช่นเดียวกับคามิล
“เออดิ เดี๋ยวก็ค่ำละ”
“อืม...ขับรถดีๆ ล่ะ” คามิลพูด แม้น้ำเสียงมันจะดูกระด้างไปหน่อย แต่ฮาน่าก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจของคำพูดนั้น ก่อนที่รอยยิ้มจางๆ จะปรากฎบนใบหน้าสวย และเธอก็เข้าไปนั่งในรถ
กระจกรถคันหรูถูกเลื่อนลงให้เห็นใบหน้าสวยของเจ้าของรถ
“ขอบใจนะ พวกมึงก็กลับบ้านได้แล้ว”
ฮาน่ากดปิดกระจกรถของตัวเองและถอยออกขับไปทันที เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ดีๆ แบบเดิมมันกลับมาแล้วหรือยัง แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะเก็บเอาเรื่องราวในอดีตมาใส่ใจและจมปลักอยู่แบบนั้น นั่นไม่ใช่นิสัยของเธอ