บนโต๊ะกินข้าว...สมาชิกของบ้านมากันพร้อมเพรียง ยกเว้นเจนจิราที่ตื่นสาย ให้แม่บ้านไปเรียกแต่ก็ยังไม่มา
“เอ่อ คุณผู้ชายคะ คุณหนูเจนนี่บอกว่าจะไปกินข้าวกับคุณรณพีร์ค่ะ” ได้ยินอย่างนั้นโชคอานันต์ก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย ลูกสาวเอาผู้ชายมาก่อนเสมอ แม้นว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่ไยดีเลยก็ตาม
“จริงเหรอ เจนนี่จะไปกินข้าวกับรณพีร์เนี่ย เขาบอกมาหรือเปล่า”
“ไม่ทราบเลยค่ะ” กลัวว่าลูกจะเป็นฝ่ายอยากกินข้าวกับอีกฝ่ายเสียมากกว่า แน่นอนว่าในฐานะกุลสตรีไทยมันไม่งามเลย
...ด้านกรกรรณ์เอง ได้ยินอย่างนั้นก็รีบสะกิดแขนของลูกชายทันที ซึ่งอีกฝ่ายกำลังง่วงงาวหาวนอนอยู่พอดี แต่พอโดนสะกิดก็รับรู้ว่าคนเป็นพ่อต้องการอะไร
“เดี๋ยวผมไปคุยกับเจนนี่ให้ครับ”
“หืม...ก็ดีเหมือนกัน ชวนน้องกินข้าวที่นี่ก่อน” ก้องเกียรติตอบรับ แต่ไม่ทันที่เขาจะลุกไปหาเจนจิรา เจ้าตัวก็เดินลงบันไดบ้านมาพอดิบพอดี
“คุณพ่อ~” ส่งเสียงร่าเริงมาแต่ไกล เจนจิรานั้นสวมชุดเซ็กซี่เหมือนเดิม เล่นเอาพ่อกับแม่นั้นหัวใจจะวาย นี่น่ะหรือชุดไปกินข้าวอย่างที่คนเป็นลูกบอก
“เจนนี่ หนูกินข้าวที่บ้านก่อนนะ แล้วข้อเท้า หายดีแล้วหรือไงถึงจะไปหาไอ้หมอนั่นอีก”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ...ถึงยังไงหนูก็จะไปกินกับพี่พีร์” เอ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม เดินเข้ามากอดแขนของคนเป็นพ่อด้วยท่าทางออดอ้อน แน่นอนว่าโชคอานันต์ที่รักลูกสาวมากกว่าสิ่งใดนั้นใจอ่อนในพริบตา
“เอางั้นก็ได้จ้ะ” เล่นเอากรกรรณ์กับลูกชายไม่พอใจ
“ผมว่าให้เจนนี่กินข้าวที่นี่ดีกว่านะครับ” รีบเอ่ยขัด เขาอยากให้เธอใช้เวลากับครอบครัว ใช้เวลากับลูกชายของตนมากกว่านี้
“ไม่ค่ะ!” เจนจิราหันไปขึ้นเสียงใส่ผู้อาวุโสอย่างคนนึกหงุดหงิด “หนูจะไปกินข้าวกับพี่พีร์ คุณลุงไม่มีสิทธิ์มาสั่งหนู”
“เจน...นี่พี่ชายของแม่นะ” มารดาไม่เห็นด้วยกับท่าทางเอาแต่ใจของคนเป็นลูก “อีกหน่อยหนูก็ต้องแต่งงานกับก้องเขา ยังไงก็ต้องเคารพลุงกรนะ”
“อะไรนะคะ แต่งงาน...นี่พ่อกับแม่ยังไม่ล้มเลิกความคิดนี้อีกเหรอคะ” เธอถอยหลัง เลื่อนสายตามองพ่อกับแม่ สลับกันไปมา
“เจน...หนูต้องเข้าใจว่ารณพีร์ไม่ได้รักลูก”
“ไม่ค่ะ! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น หนูไม่อยากฟัง” ลำพังได้ยินจากปากของเขาก็เจ็บมากแล้ว นี่ยังต้องได้ยินคนเป็นพ่อตอกย้ำอีกหรือ เจนจิราจะไม่ทน “หนูไปละ ไม่ว่าใครก็ห้ามหนูไม่ได้”
“เจน เจนนี่!!” พูดไม่ทันขาดคำ คนเป็นลูกก็ก้าวขาเดินหนีแบบไม่เหลียวหลัง ไม่สนใจคำเรียกของคนเป็นแม่เลยสักนิด จนจารวีอดที่จะตัดพ้อไม่ได้ “ลูกคนนี้นี่...”
“ผมว่าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ครับ ต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”
“ผมเห็นด้วยครับ อย่างน้อยก็น่าจะยึดบัตรเครดิต” สองพ่อลูกทำงานกันเป็นทีม เสริมทัพกันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ก้องเกียรติพูดเสร็จก็หันไปมองผู้เป็นพ่อ ทว่า
“ไม่ได้หรอก ผมไม่อยากให้เจนนี่ลำบาก” โชคอานันต์ส่ายหน้าเบา ๆ เขารักลูก รักมาก แค่ลูกสาวขึ้นเสียงเล็กน้อยก็ปวดไปทั้งใจ ใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจของคนเป็นลูกมันทำให้หัวอกของพ่อแม่ร้าวราน หากยึดบัตรเครดิตของลูกสาวไป เธอคงเสียใจและก็อาจจะต่อต้านมากกว่าเดิม แถมเขาเองก็กลัวว่าลูกจะลำบาก ชาตินี้ทั้งชาติไม่เคยคิดให้เจนจิราขาดเงินใช้เลยสักบาทเดียว ความคิดนี้จึงไม่เคยอยู่ในหัวของเขาเลย
ซึ่งคำพูดของโชคอานันต์ก็ทำเอาสองพ่อลูกโมโหมากเลยทีเดียว แต่ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนไว้ อีกฝ่ายนั้นโง่หรืออย่างไร จะดัดนิสัยของลูกก็ไม่กล้า จะทำอะไรสักอย่างก็ไม่ทำ เอาแต่กลัวว่าลูกจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คงไม่ได้เกี่ยวดองกันพอดี...
บ้านของรณพีร์ต่างจากบ้านของเจนจิราราวฟ้ากับเหว แม้นว่าไม่ได้แย่แต่พอเทียบกับคฤหาสน์ของเธอนั้น บ้านของรณพีร์ก็เล็กนิดเดียว ซึ่งบ้านของเขานั้นเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นใจกลางกรุงฯ หรูหราแต่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนบ้านของเธอ
“เฮ้อ...” เจนจิราพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ คำว่าแต่งงานยังวิ่งวนอยู่ในหัวของเธอ พ่อกับแม่ก็ขยันคะยั้นคะยอให้เธอแต่งงานกับก้องเกียรติ มองจากดวงจันทร์ก็รู้แล้วว่าสองพ่อลูกนี้ต้องการอะไรจากครอบครัวของเธอ กระนั้นถึงพ่อแม่จะรู้แล้ว แต่ก็ยังยินดีที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกัน
ถ้าไม่รีบรวบหัวรวบหางรักแรกนี้ มีหวังตัวเธอจะโดนอีกฝ่ายกินหัวกินหางแทน แค่คิดไรขนอ่อนทั่วทั้งตัวก็ลุกซู่ขึ้นแล้ว
“ฮึ่ย! แค่คิดก็จะอ้วก” ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะลงจากรถเมื่อคนขับรถเปิดประตูให้ หญิงสาวแทบไม่เคยเปิดประตูรถเองเสียด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวฉันถือไปเอง” เธออยากโชว์ให้พ่อกับแม่ของชายคนที่เธอรักนั้นรู้ว่าตัวเธอพยายามมากแค่ไหน เจนจิราถือถุงกระดาษใส่ของฝากเองกับมือ หล่อนเดินเข้าไปในบ้านของเขา
“อ้าว! มาถึงละเหรอ แม่ไม่ได้ยินเสียงรถเลย” เพลงพิณออกมาต้อนรับว่าที่สะใภ้คนโปรด
“สวัสดีค่ะคุณแม่ อ้อ พอดีรถเสียงเบาน่ะค่ะ” รถหรูก็อย่างนี้ เพลงพิณเข้าใจ เธอมองถุงกระดาษแบรนด์ดังด้วยสายตาลุกวาว
“นี่ของฝากค่ะ ของคุณพ่อกับของคุณแม่ค่ะ ว่าแต่คุณพ่ออยู่ไหนคะ” ว่าพร้อมกับชะเง้อคอเข้าไปข้างในบ้าน อีกใจหนึ่งก็อยากมองหายอดดวงใจของตัวเองด้วย
“อยู่หลังบ้านน่ะสิ เดี๋ยวแม่ไปเรียกให้นะ” เพลงพิณฉีกยิ้มกว้าง พลางยื่นมือไปรับถุงกระดาษจากมือของเจนจิรา ทว่าไม่ทันที่จะได้ไปเรียกคนเป็นสามี เจ้าลูกชายก็เดินลงบันไดมาพอดี เขาชะงักเล็กน้อย
“พี่พีร์!!” เจนจิราส่งเสียงร้องเรียกดังลั่น ส่วนคนถูกเรียกก็มีสีหน้ารำคาญเต็มทน ยิ่งมองของในมือของคนเป็นแม่ก็ยิ่งหงุดหงิดเป็นเท่าตัว
“แม่ไม่ต้องไปรับของจากเธอเลยนะ!” ขึ้นเสียงดัง ทุกครั้งหล่อนจะซื้อของมาฝากแม่เขา และของพวกนี้ก็มีมูลค่ามาก แถมยังหาซื้อไม่ได้ง่าย ๆ อีก มารดาที่เป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะก็เลยชอบใจเป็นอย่างมาก
“ไม่รับได้ไง หนูเจนนี่เสียน้ำใจเปล่า ๆ” เขากลอกตามองบน ไม่ชอบเลย ไม่ชอบที่มารดาหลงกลเธอคนนี้
“ของไม่กี่อย่างเอง หนูซื้อให้ได้สบาย ๆ ค่ะ”
“เหอะ เงินก็ไม่ใช่เงินตัวเอง กล้าภูมิใจได้ยังไง” เหลือจะเชื่อ เธอยังไม่ได้ทำงาน แต่ใช้เงินราวกับเสกได้ ซึ่งคำพูดของเขาก็เล่นเอาคนได้ยินจุกอกไม่น้อย ทว่า
“ตาพีร์ อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ” มารดากลับเข้าข้างเธอ “น้องมีน้ำใจซื้อมาให้ ก็หมายความว่าเป็นคนมีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน แค่นี้คิดไม่ได้หรือไง คิดแต่จะบอกว่าน้องไม่ดี”
“โธ่แม่...” ไม่อยากจะเชื่อว่ามารดาจะคิดอย่างนี้ ยิ่งพอเลื่อนสายตาไปมองเธอแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้ ไม่รู้ว่าเธอเอาความหน้าด้านนี้มาจากไหน
“เอะอะเสียงดังอะไรกันล่ะ” ไม่ทันที่เขาจะว่าอะไรต่อ เสียงของผู้เป็นพ่อก็ดังขึ้นทางด้านหลัง
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ” เจนจิรารีบยกมือไหว้ พลางเดินเข้าไปหา
“อ้าว หนูเจนนี่ กลับมาตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อวานนี้เลยค่ะคุณพ่อ” เธอเดินเข้าไปหา ยื่นถุงกระดาษในมือให้กับอดิสรณ์ ซึ่งอีกฝ่ายนั้นยังหล่อเหลาดูดีแม้นว่าจะมีอายุมากขึ้นแล้วก็ตามแต่
“ไม่เห็นต้องลำบากเลย ว่าแต่ซื้ออะไรมาล่ะ” น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อนั้นทำเอารณพีร์อยากจะบ้าตาย ทั้งพ่อทั้งแม่ของเขานั้นสนับสนุนเธอมาก ทั้ง ๆ ที่หล่อนนั้นใช้เงินของที่บ้านไม่ใช่เงินของตัวเองสักแดงเดียว
“โอ้โห นี่มันนาฬิกาปาเต๊ะนี่” รณพีร์หันขวับ นาฬิกาเรือนนี้นั้นราคาหลายล้าน เธอทำให้เขาไม่พอใจ ชายหนุ่มโมโหสุดขีด
“เจนนี่! นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ” ฝ่าเท้าหนาย่างกรายเข้ามาหา ก่อนจะยื่นแขนไปกระชากต้นแขนของคนตัวเล็กแรง ๆ จนเธอปลิวไปติดแผ่นอกแกร่งของเขา
ปึก!
“โอ๊ย!!” เจนจิราร้องเสียงหลง ไม่ใช่แค่ตัวที่เจ็บ แต่ข้อเท้าเมื่อวานยังไม่หายดีเสียด้วยซ้ำ เขาไม่เห็นใจเธอเลย ไม่คิดว่าเธอนั้นก็เจ็บเป็น...