ไม่นานนัก รัญญ์ก็ยกเท้าออก เปลี่ยนมายันหัวไหล่แกร่งของน้องชาย แรงถีบที่มากพอสมควรทำเอาชายหนุ่มกระเด็นถอยหลังไปเล็กน้อย ชนิณรีบดันตัวขึ้นมาขณะที่รัญญ์มองรอยรองเท้าของตนบนเสื้อสูทตัวสวยแล้วหัวเราะเย้ย
“หึ ไว้ฉันจะพิจารณาอีกทีก็แล้วกัน ระหว่างนี้ก็ขยันทำให้ฉันพอใจเข้าไว้ล่ะ”
ชนิณหายใจหอบหนัก โกรธจนตัวสั่นที่รัญญ์เล่นสนุกกับความรู้สึกของเขาอย่างนี้ การโกรธแต่ทำอะไรไม่ได้มันช่างทรมานนัก ถ้ามารดาเขาไม่ถูกเอาไปเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองล่ะก็ รับรองได้เลยว่าชายหนุ่มไม่มีวันทำอะไรอย่างนี้แน่ เผลอๆ รัญญ์จะเป็นฝ่ายถูกกระทำแทนด้วยซ้ำไป
“ไปกันได้แล้ว”
รัญญ์ตัดบทด้วยการลุกขึ้นยืน เดินนำไปยังประตูโดยมีบอดี้การ์ดตรงเข้าไปเปิดให้อย่างรู้งาน
เห็นรัญญ์หมดธุระกับตนแล้ว ชนิณก็ยันตัวลุกขึ้นยืน ปัดรอยรองเท้าของพี่ชายออกจากบ่า จะตรงกลับไปนั่งยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งแต่ก็โดนมาโมรุขวางไว้ก่อน
“มีอะไรครับ เจ้านายคุณหมดธุระกับผมแล้วนี่”
หลุดว่าด้วยน้ำเสียงขุ่นแม้จะพยายามควบคุมอารมณ์แล้วก็ตาม แต่แล้วมาโมรุก็ทำให้เขาต้องอารมณ์ขุ่นมัวมากกว่าเดิมเมื่อเอ่ยปากออกมา
“คุณเป็นของคุณรันมารุแล้ว ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรตามใจตัวเองครับ คุณรันมารุไปที่ไหน คุณก็ต้องตามไปด้วย ถ้าคุณรันมารุไม่สั่ง คุณก็ห้ามทำนอกเหนือคำสั่งเด็ดขาด”
“หมายความว่าผมไม่มีสิทธิ์คิดหรือทำอะไรที่อยากทำแล้ว?”
“ครับ เขาเป็นเจ้าชีวิตคุณ”
เวรเอ๊ย นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ !
ชนิณแทบจะกระโดดทะลุกระจกออกไปโหม่งโลกให้รู้แล้วรู้รอด สัญญาบ้าๆ นั่น แค่เซ็นกับประทับรอยนิ้วมือชั่วพริบตาเดียว ชีวิตเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!
“ไปเถอะครับ เดี๋ยวอย่างอื่น ผมจะอธิบายเพิ่มเติมให้ทราบทีหลัง คุณจะได้รู้ว่าควรปฏิบัติกับคุณรันมารุยังไง”
มาโมรุตบท้าย ผายมือไปทางหน้าประตู ท่าทางเชื้อเชิญอย่างสุภาพนั่นไม่ได้ทำให้ชนิณรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย
ก็มันเป็นการเชื้อเชิญให้เขาก้าวลงนรกนี่ ใครมันจะไปยินดีกัน!
“เชิญครับ”
ชนิณจำใจเดินออกจากห้องทำงานของตัวเอง ก่อนที่มาโมรุจะเดินตาม เขาได้แต่บอกเลขาฯ หน้าห้องไว้ตามคำแนะนำของมาโมรุว่าจะไปเจรจาเรื่องธุรกิจกับรัญญ์ต่อ ถ้ามีใครติดต่อมาก็ให้ฝากเลขาฯ เอาไว้ เมื่อเขาว่างแล้วจะติดต่อกลับไปเอง
เมื่อเขาว่าง... หมายถึงเมื่อขึ้นมาจากนรกขุมนี้ได้น่ะ
2nd Night: ราตรีแรก
จะให้พูดว่าเตรียมใจลงสู่ขุมนรกมาแล้วก็ไม่ถูกนัก ทุกอย่างมันผิดจากแผนการที่เขาคาดคิดไว้ทั้งหมดตั้งแต่ที่รัญญ์เปิดปากพูดเรื่องสัญญาอะไรนั่น และการที่ชนิณยอมตามคนพวกนี้มา ก็ทำให้ต้องแปลกใจมากกว่าเดิมเมื่อรถแวนคันหรูเคลื่อนเข้าสู่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ก่อนจะอดใจถามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้
“นี่มันอะไรกันครับ พี่รัญญ์มาผมมาที่นี่ทำไม”
คนถูกถามทำเพียงชำเลืองมองเชิงตำหนิ เท่านั้นชนิณก็ตระหนักได้ว่าตนใช้สรรพนามในการเรียกผิด
“นายท่านพาผมมาที่นี่ทำไมครับ”
เสียงแผ่วเบาและแห้งผากจนแทบจะไม่ได้ยิน
“กลับบ้าน” รัญญ์เพียงตอบสั้นๆ
ชนิณไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ใคร่จะถามอะไรต่อเมื่อเห็นว่ารัญญ์ไม่ได้ใส่ใจที่จะพูดคุยกับเขานัก เอาแต่นั่งเบือนสายตามองออกไปนอกตัวรถ พอหันกลับมาเห็นมาโมรุจ้องมองตัวเองอยู่ เขาก็รู้ตัวทันทีว่าควรสงบปากสงบคำจนกว่าจะถึงที่หมาย
ถึงตอนนั้นคงจะได้รู้คำตอบเอง
รถแวนสีดำเงาเคลื่อนไปจอดบริเวณหน้ารั้วบ้านหลังหนึ่ง รอให้ประตูรั้วเหล็กเปิดออกเพื่อจะเข้าไปข้างใน เห็นตัวบ้านแล้ว ชนิณก็อดตกใจไม่ได้ หากมองจากสายตาคนภายนอกที่ไม่มีโอกาสได้อยู่บ้านหรูอย่างนี้คงจะตื่นเต้นที่ได้เห็นบ้านหลังใหญ่หรูหราในระยะใกล้ ทว่าสำหรับชนิณแล้ว เขาไม่ได้ตื่นเต้นเลยสักนิด มีแต่ความกังวลใจพร่างพรายไปทั่วจิตใต้สำนึกมากกว่า ก็ในเมื่อบ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าของครอบครัวเขา บ้านหลังเก่าที่เขาอาศัยมาตั้งแต่เกิด เพิ่งจะมาขายทิ้งหลังจากบิดาเสียชีวิตด้วยจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่เมื่อปีกลาย ส่วนเขากับมารดาก็ย้ายไปอยู่บ้านหลังอื่นที่บิดาซื้อทิ้งไว้ให้มารดาตั้งแต่ครั้งที่ยังไม่ได้ตบแต่งเข้าบ้าน
ไม่น่าแปลกใจนักหรอกหากชนิณจะไม่ยินดีกับการกลับมาบ้านหลังเก่าของตัวเองอีกครั้ง
ก็จะให้ยินดีได้อย่างไร ในเมื่อบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของเขาอีกต่อไปแล้ว มันเป็นบ้านของรัญญ์ อสูรร้ายที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของชีวิตของเขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
“บ้านหลังนี้ คุณรันมารุซื้อไว้ครับ”
ทั้งที่พอจะเดาได้อยู่แล้ว มาโมรุก็ยังเปิดปากอธิบาย ชนิณไม่ได้ใส่ใจนัก เขาอยากรู้ว่ารัญญ์คิดจะทำอะไรมากกว่าจึงมองหน้าตัวการอย่างมีคำถาม
“คุณต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ และตลอดที่คุณรันมารุอาศัยอยู่เมืองไทยก็จะพักที่นี่เช่นกัน คุณจะไม่มีสิทธิ์ออกนอกบริเวณบ้านหากไม่ได้รับอนุญาต ผมจะจัดคนมาดูแลความปลอดภัยให้คุณ ส่วนแม่บ้านกับคนงาน ทางผมจะเป็นคนจัดการเอง ถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมให้บอกกับผมได้ครับ”
ไม่ทันจะได้ถาม มาโมรุก็ร่ายยาวอย่างรู้หน้าที่
ชนิณปราดมองไปรอบรั้วบ้านขณะที่รถค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามา บรรดาชายใส่สูทสีดำยืนกระจายตามจุดต่างๆ ของตัวบ้านคล้ายว่าจะดูแลรักษาความปลอดภัย ทว่าสำหรับชนิณนั้นไม่ใช่ คนพวกนั้นไม่ได้รักษาความปลอดภัยให้เขา แต่เป็นผู้คุมที่มาคอยระวังว่าเขาจะหนีต่างหาก
“แล้วถ้าผมจำเป็นต้องไปคุยงานกับคณะกรรมการล่ะ ผมก็จำเป็นต้องรอคำสั่งจากเขาเหรอ”
โพล่งถามมาโมรุออกไป แสร้งเมินรัญญ์ที่ทอดมองด้วยหางตาอย่างจงใจ
“เรื่องนั้นผมจะเป็นคนจัดการเองครับ”
“ถ้าหากว่าแม่ผมอาการทรุดล่ะ หรือถ้าผมอยากจะไปดูแม่ ผมก็จำเป็นต้องขออนุญาตใช่มั้ย”
“ครับ” มาโมรุตอบรับ
“แต่ฉันจะอนุญาตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่านายทำตัวดีแค่ไหนนะเจ้าทาส” รัญญ์พูดแทรก
รู้เลยว่าเขาถูกจำกัดอิสรภาพโดยสมบูรณ์ ไม่ต่างอะไรจากติดคุกเท่าไหร่นัก แย่กว่าตรงที่ชีวิตของมารดาขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาและความพอใจของรัญญ์ ซึ่งชนิณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจะพอใจหรือไม่ ไม่มีทางที่จะเดาอารมณ์หรือความคิดของผู้ชายคนนี้ได้ถูกเลย
อับจนคำพูดที่จะต่อล้อต่อเถียงกับรัญญ์ จึงได้แต่มองร่างโปร่งนั่นทิ้งตัวลงจากรถเมื่อคนติดตามมาเปิดประตูให้ ก่อนเขาจะตามลงไปบ้างเมื่อมาโมรุส่งสัญญาณเรียก
พอเข้ามาในตัวบ้าน ชนิณก็แปลกใจเล็กน้อยที่บรรยากาศในบ้านยังเหมือนเดิม แม้กระทั่งตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ประดับบ้านต่างๆ แม้ว่าของบางชิ้นจะไม่ใช่ชิ้นเดิมเพราะเขาขายทิ้งไปบ้างแล้ว แต่ก็นับว่าบรรยากาศของบ้านทำให้เขาคิดถึงเมื่อครั้งที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ไม่น้อย ก่อนจะเบนความสนใจไปยังมาโมรุที่กำลังรอรับคำสั่งจากรัญญ์
“ที่เหลือก็ฝากนายด้วย ฉันต้องการให้เริ่มคืนนี้เลย”
“ครับคุณรันมารุ”
“เรียกเหมือนเดิมได้แล้ว”
“ครับ นายน้อย”
มาโมรุก้มศีรษะน้อมรับอย่างสุภาพ กระทั่งผู้เป็นนายเดินหายขึ้นไปยังชั้นบน เขาถึงได้หันกลับมาหาชายหนุ่มอีกคน
“ระหว่างที่นายน้อยพักผ่อน ผมจะอธิบายให้คุณฟังนะครับว่ามีหน้าที่จะต้องทำอะไรบ้าง”
“ปกติคุณเรียกคุณรัญญ์...”
“นายท่าน”
มาโมรุรีบแก้สรรพนามให้ทันทีที่ได้ยินชนิณเรียกผิด เขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้ารับพลันเปลี่ยนคำพูด
“ครับ ปกติคุณเรียกนายท่านว่านายน้อยเหรอ”
“ใช่ครับ นายน้อยยังอยู่ใต้คำสั่งของนายใหญ่ พวกผมเลยต้องเรียกเขาอย่างนั้น ยกเว้นคุณที่ต้องเรียกนายน้อยว่านายท่านเพราะคุณมีเขาเป็นนายแค่คนเดียว”
‘มีเขาเป็นนาย’ ช่างตอกย้ำให้ชนิณหงุดหงิดใจเหลือเกิน มันไม่ได้มาจากการยินยอมของเขานี่ ถูกบังคับแกมข่มขู่จนดิ้นไม่หลุดอย่างนั้น อย่างไรมันก็เป็นการฝืนใจ แต่เขาก็แสร้งทำเป็นหูทวนลมด้วยไม่อยากทำให้ตัวเองรู้สึกแย่กว่าเดิม
“พอจะบอกได้ไหมครับว่านายท่านเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้ดูเหมือนมีอิทธิพลมากขนาดนี้”
ถามอย่างนั้นเพราะเขาเอะใจมาก่อนหน้านั้นแล้ว ทว่ามาโมรุไม่ให้คำตอบ ว่าเนิบๆ
“คุณรู้เท่าที่นายน้อยต้องการให้รู้ในตอนนี้ก็พอครับ เรื่องอื่นนอกจากนั้น รอให้นายน้อยเป็นคนบอกเองดีกว่า ผมเป็นแค่คนติดตาม แพร่งพรายเรื่องส่วนตัวของเจ้านายไปโดยไม่ได้รับอนุญาตคงไม่เป็นการดีเท่าไหร่นัก”
บางครั้งชนิณก็นึกรำคาญอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน แต่ก็พอจะเข้าใจว่าทำงานใกล้ชิดกับคนที่มีอิทธิพล การพูดเรื่อยเปื่อยในเรื่องส่วนตัวของนาย มันไม่เป็นการดีสำหรับมาโมรุเท่าไหร่นัก
“เดี๋ยวผมจะพาคุณขึ้นไปที่ห้อง พักผ่อนซะ พอได้เวลามื้อเย็น ผมจะขึ้นไปเรียก อย่าออกจากห้องเด็ดขาดถ้าไม่ได้รับอนุญาตนะครับ”
ชนิณพยักหน้ารับ และการสนทนาก็จบลงด้วยการที่เขาเดินตามหลังมาโมรุขึ้นไปชั้นบน ตงิดใจเล็กน้อยที่มีคนนำทางในบ้านที่เขาเคยอยู่มาตั้งแต่เด็ก ทว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เขาอยากพักให้หายปวดศีรษะสักหน่อย
เรื่องที่เขาเจอมาในระยะเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงนี้ชวนให้เส้นเลือดในสมองแตกเหลือเกิน หวังว่าหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา มันจะเป็นแค่ความฝัน ไม่ใช่ความจริง