จดหมายล่ำลาอย่างเด็ดเดี่ยวถูกส่งให้โจวเจ๋อผู่หลังจากโจวอวี่หายออกจากสกุลไปแล้ว
และด้วยทิฐิกับอคติที่มีต่อมารดาของอีกฝ่าย แม้โจวเจ๋อผู่จะรักบุตรชายมาก ทว่ากลับอดมิได้ที่จะประชดประชันทางวาจา
“ดี ดีมาก อยากไปเป็นทหาร อยากสง่าบนหลังอาชาแล้วตายภายใต้คมดาบกลางสนามรบมากกว่าอยู่อย่างสง่าในราชสำนักมีชีวิตสงบสุขในจวนใหญ่ก็เอาเถิด ข้าบิดาผู้นี้จะคอยดูชมว่าคุณชายบัณฑิตผู้หนึ่งจะซมซานกลับมาอย่างไร”
จดหมายถูกฉีกและขยำทิ้ง ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนโต๊ะดังปัง ทำเอาจูเข่อเหรินกับโจวจือหยวนสะดุ้งโหยง
“ท่านพี่ ใจเย็นเถิดเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อ รักษาสุขภาพด้วยขอรับ”
สองคนแม่ลูกเองไม่รู้จะช่วยขจัดโทสะนี้ให้โจวเจ๋อผู่อย่างไรจึงทำได้เพียงกลัดกลุ้มไปกับเขา
จูเข่อเหรินคอยปลอบโยนสามีทั้งพูดจาโน้มน้าวให้โจวเจ๋อผู่ส่งคนไปตามโจวอวี่กลับมา ทว่าไม่เป็นผล คนโกรธกรุ่นปานนั้น
โจวเจ๋อผู่ยังคงบันดาลโทสะสาดถ้อยวาจาประชดประชันอันแล้งน้ำใจอีกหลายประโยคจนเหนื่อยหอบ ท้ายที่สุดก็ถึงขั้นต้องเชิญท่านหมอมาต้มยาให้ดื่มถ้วยใหญ่ เขาถึงได้สงบสติอารมณ์ลง
หลังจากช่วยมารดาดูแลบิดาจนดีขึ้น โจวจือหยวนก็เดินออกมาด้วยสีหน้ามิสู้ดีนัก เขารู้ดีว่าบิดารักน้องชายมากแค่ไหน และยิ่งรู้ตัวว่าสาเหตุหลักที่น้องชายทำตัวเป็นปรปักษ์กับครอบครัวมาจากสิ่งใด
แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองก็มีสิทธิ์เข้ามาอยู่ที่นี่ มีสิทธิ์ทุกประการที่จะเรียกโจวเจ๋อผู่ว่าบิดา การต้องกักตัวเองอยู่ในเรือนเร้นไร้ฐานะนานกว่าสิบปีตั้งแต่เกิดนั้นช่างทรมานเหลือเกิน
ภาพหนึ่งพลันไหลวนอยู่ในห้วงความทรงจำ ภาพนั้นคือวันที่เขาได้มาเห็นบิดากับภรรยาเอกและบุตรชายภรรยาเอกกำลังยืนคุยกันหน้าจวนใหญ่หรูหรา ทุกคนแต่งกายงดงามเปี่ยมสง่าราศี น้องชายหน้าตางดงามคนนั้นได้นั่งรถม้าไปเรียนในสำนักศึกษา
ในขณะที่เขาแต่งกายมอซอไม่เคยเข้าสำนักศึกษาทำได้แค่ริษยาอยู่ไกลๆ ร่ำเรียนเขียนอ่านเพียงลำพังในเรือนลับ เมื่อกลับเข้าเรือนเร้นอันคับแคบแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันก็เห็นมารดากำลังแอบนั่งร้องไห้เงียบๆ อย่างโดดเดี่ยวใต้ต้นท้อเหมือนทุกครา
ครั้นบิดามาเยือนเขาถึงได้ระเบิดอารมณ์อันอัดอั้นออกมา
“ข้ากับท่านแม่ไม่ควรอยู่ในสภาพเช่นนี้ ท่านพ่อบอกข้าที ว่าข้ากับท่านแม่ต่ำต้อยกว่าอนุของท่านปานใด เหตุใดถึงไม่ได้เข้าจวนโจว เหตุใดข้าไม่มีสิทธิ์เข้าสำนักศึกษา ข้าก็เป็นถึงบุตรชายเสนาบดี”
เขาไม่เคยคิดให้มารดาเทียบชั้นภรรยาเอก และตัวเขาเองก็ไม่คิดเบียดเบียนน้องชายที่เป็นบุตรภรรยาเอกสักครา
เขาขอแค่ได้มีสถานะที่ถูกต้อง ได้เข้าเรียนสำนักศึกษา
วันนั้นบิดาถึงขั้นกลั้นน้ำตาไม่อยู่เอาแต่โทษตนเองว่าสมควรตาย เป็นบุรุษไม่ได้ความ ไม่มีความสามารถพายอดดวงใจเข้าจวนได้อย่างสมศักดิ์ศรี ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะให้มารดาเป็นแม้แต่อนุหลังเรือน
ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่าหากทำเช่นนั้นย่อมเท่ากับบิดาพาเขากับมารดาไปตาย ต้องตกอยู่ในอุ้งมือมาร ชีวิตแขวนบนเส้นด้ายทุกวัน
เมื่ออดีตฮูหยินปีศาจผู้นั้นถูกบาปกรรมตามสนองจนตาย เขาจึงไม่รอช้าที่จะพามารดาติดตามบิดาเข้าจวนมาอย่างผ่าเผย แต่ไม่คิดเลยว่าน้องชายเพียงคนเดียวกลับรังเกียจพี่ชายเช่นเขา
เห็นร่างสูงเพรียวยืนครุ่นคิดคล้ายโดดเดี่ยวไร้เรี่ยวแรง แม่นมชรานามกุ้ยฉิงที่ติดตามจูเข่อเหรินตั้งแต่อยู่เรือนลับและดูแลโจวจือหยวนตั้งแต่แบเบาะก็เดินเข้ามา
“คุณชายใหญ่ ข้างนอกแดดร้อนลมแรงยิ่งนัก ท่านกลับเข้าด้านในเถิดเจ้าค่ะ”
โจวจือหยวนหันมองแม่นมของตน ถามอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านคิดว่าน้องรองกำลังจะทำอันใด? เขาไปจากที่นี่จริงหรือไร?”
กุ้ยฉิงเบือนหน้ามองไปอีกทาง ในแววตาแฝงแววซับซ้อน ในใจนึกปรามาส นิสัยมารดาเป็นเช่นไร บุตรชายย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อก่อนอดีตฮูหยินมักใช้วิธีนี้เรียกร้องความสนใจจากนายท่านโจว จนละเลยนายหญิงจูของนาง ถึงขั้นไม่ไปหาที่เรือนลับตั้งหลายวัน
หญิงชราหันมาเอ่ยยิ้มๆ กับโจวจือหยวน
“คุณชายรองคงกำลังประชดประชันเรียกร้องความสนใจจากนายท่านเท่านั้นเอง นายน้อยของบ่าวอย่าได้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าน้องชายแค่ประชดหรือเรียกร้องความสนใจ ดูจากท่าทางสุขุมเย็นชาของอีกฝ่ายวันก่อน ไม่มีส่วนใดไม่น่าเชื่อถือเลย อีกอย่าง ถูกท่านพ่อดุด่าขนาดนั้น...
ทั้งที่หน้าตามีริ้วรอยถูกทำร้ายจากอดีตคู่หมั้น แต่ท่านพ่อกลับไม่เอ่ยปากถามไถ่ดีๆ สักคำ สาดแต่วาจาร้ายกาจ
โจวจือหยวนถอนหายใจอย่างอดเป็นห่วงมิได้
แม้มิได้สนิทสนมแน่นแฟ้นแต่อย่างไรก็พี่น้องกัน
กุ้ยฉิงมองคนที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดอย่างเอ็นดู “โธ่เอ๋ย คุณชายของบ่าว ท่านเปี่ยมคุณธรรมมากน้ำใจถึงเพียงนี้ แต่ดูทีว่าคนเขาต้องการหรือไม่ ท่านกลับเข้าเรือนด้านในเถิดเจ้าค่ะ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่เจ้าค่ะ ดูสิ หน้าแดงหมดแล้ว แดดแรงยิ่งนัก ท่านต้องถนอมร่างกายให้มากนะเจ้าคะ อย่าทำคนแก่เช่นข้าเป็นห่วงจนนอนไม่หลับเลยเจ้าค่ะ”
ถูกต้อนด้วยวาจานี้ โจวจือหยวนที่สุภาพอ่อนโยนมาตลอดจึงยอมเดินกลับเรือนไปแต่โดยดี
กุ้ยฉิงน้อมส่งโจวจือหยวนจนคล้อยหลังลับจากสายตาไป นางยืนมองนายน้อยของตนด้วยสายตาจงรักภักดีสุดหัวใจ
ทั้งจูเข่อเหรินและโจวจือหยวนล้วนเป็นแก้วตาดวงใจของบ่าวชราคนนี้ ขอเพียงผู้เป็นนายทั้งสองหลุดพ้นความทุกข์ตรม ได้พบความสุขสมเสียที แม้แต่ชีวิตนางก็สามารถมอบให้ได้
สายตาของกุ้ยฉิงทอดยาวไปทางห้องโถงหลักที่ยามนี้มองเห็นโจวเจ๋อผู่กับจูเข่อเหรินนั่งพูดคุยกัน แม้จะเคร่งเครียดทว่าแววตาฝ่ายหญิงทั้งห่วงใยและใส่ใจ คอยพูดปลอบประโลมไม่หยุด ส่วนฝ่ายชายแม้จะยังโมโหอยู่แต่กลับไม่โวยวายใส่ภรรยาของตน คนเขาทะนุถนอมประคบประหงมสตรีตรงหน้าเหนืออื่นใด
ในอดีตชายหญิงรักใคร่เช่นไรวันนี้ผ่านอุปสรรคหนักหนาผ่านเหตุการณ์สาหัสนานัปการก็ยังรักมั่นมิแปรผัน
กุ้ยฉิงมองภาพนั้นนิ่งๆ แววตามีแต่ความสุขล้นท่วมท้นใจ หวังเพียงฟ้าจะยุติธรรมกับนายหญิงของตนจริงๆ เสียที
ท้องฟ้าช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ฤดูสารทค่อนข้างโปร่งใส อากาศยังคงร้อนระอุถึงสิบส่วน แสงแดดดั่งอัคคีแผดเผาพื้นดิน สายลมที่พัดโชยจนยอดไม้ไหวหอบไอร้อนผ่านหน้าวูบไป
ยามเที่ยงยิ่งเป็นเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน กุ้ยฉิงรู้สึกร้อนทว่ายังคงยืนหรี่ตามองผู้เป็นนายนิ่งนาน พลางนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ระหว่างจูเข่อเหริน โจวเจ๋อผู่และเฉินรุ่ยฟางอดีตฮูหยินผู้ล่วงลับผู้นั้น
นางค่อยๆ หันหลังเดินจากมาทางฝั่งหนึ่ง เป้าหมายคือประตูข้าง บางสิ่งบางอย่างควรจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดจึงจะดี ชีวิตที่เหลือของจูเข่อเหรินจะได้หมดเสี้ยนหนามตำใจ คุณชายใหญ่ไร้จุดตำหนิหมดสิ้นคนรบกวนจิตใจ
บ่าวหญิงอาวุโสค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในฝูงชนคลาคล่ำ คนผู้หนึ่งมีรูปร่างผอมบาง สีหน้าท่าทางเปี่ยมมิตรไมตรีปานนั้น หากแต่ใครจะล่วงรู้ว่านางกำลังคิดลงมือทำสิ่งใด