บทที่2(100%)

1890 คำ
ความใจดำอำมหิตของบุตรเขยนางเฉียวซื่อจดจำยากจะลืมเลือน ดังนั้นวันนี้มีบ้านหลังเล็กกับที่ดินเท่าฝ่ามือ แต่พวกนางกลับรู้สึกอยู่แล้วยังมีความสุขกว่าจวนหรือคฤหาสน์หลังโตของทั้งสกุลเจียงและสกุลเผยในเมืองหลวงมากล้น “เอาตามที่เจ้าคิดก็ดีเช่นกัน เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไว้ย่อมดี มีผักแล้วมีเป็ดมีไก่ก็ประหยัดค่าอาหารได้ไม่น้อย จริงสิเจ้าได้ตรวจดูสินเดิมบ้างหรือไม่ว่ายังมีเงินทองและของมีค่าอันใดที่บิดาเจ้ามอบมาให้” พอนางเฉียวซื่อเอ่ยถามขึ้นมา เผยหว่านอีก็เพิ่งนึกได้ว่าตนเองและพี่สาวฝาแฝดต่างยังมีหีบสินเดิมมาคนละสองหีบที่นับจากแต่งเข้าจวนสกุลเจียงไปพวกนางเองก็แทบจะลืมสิ้นเพราะต่างก็มีมารดาสามีที่ดี นางไม่เคยให้สองฝาแฝดต้องลำบากเงินทองขาดมือ แต่ในวันที่จะจากมา ถึงมารดาของสามีผู้นั้นจะมิอาจมีปากมีเสียงอันใดมากกับบุตรชายของตนได้ก็ยังแอบมอบตั๋วเงินให้นางติดกายมาจับจ่ายระหว่างเดินทาง รวมไปถึงที่ดินกับบ้านหลังนี้อีกด้วย นับว่าในหมู่คนเลวก็ยังพอจะมีคนดีมากเมตตาช่วยเหลือนางกับลูกสาวและมารดาพิการอยู่บ้าง ตลอดช่วงบ่ายนั้นสามชีวิตต่างช่วยกันเพาะเมล็ดพันธุ์ผักทั้งหมดลงแปลงจนเสร็จเรียบร้อย มีเพียงแตงกวาเท่านั้นที่เผยหว่านอีกนำไปหยอดลงหลุม ชีวิตของนางในวันนี้เริ่มมีความหวังมากขึ้น หลังมื้อค่ำนั้นหญิงสาวส่งทั้งมารดาและบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยจึงไปค้นเอาหีบสี่ใบที่อยู่ใต้เตียงออกมา คิดทบทวนครู่ใหญ่ว่านางเก็บกุญแจไขเปิดเจ้าหีบสี่ใบนี้เอาไว้ที่ใด สุดท้ายจึงนึกออกว่าอดีตเผยหว่านอีนั้นนางคาดหวังเก็บสินเดิมทั้งของตนเองและพี่สาวฝาแฝดเอาไว้มอบให้แก่เผยหว่าหวา นางจึงนำกุญแจทั้งสี่ดอกนั้นทำเป็นสร้อยคอของเด็กหญิงตัวน้อย นางเดินไปจับดูที่สร้อยบนลำคอของบุตรสาวก็พบมันจริงเสียด้วย “ขออภัยนะแม่นางทั้งสอง แต่ข้ามิได้ตั้งใจนำไปใช้จ่ายโดยไร้ประโยชน์ ตั้งใจนำเงินทองและทรัพย์สินทั้งหมดมาต่อยอดเท่านั้น” นางนึกไปถึงวิญญาณคนตายทั้งสองที่เป็นเจ้าของสินเดิมทั้งสี่หีบนี้ ขยับดึงออกมาแล้วจึงไขเปิดออกดูทีละใบซึ่งภายในหีบนั้นหลัก ๆ แล้วล้วนก็เป็นเงินกับทองทั้งสิ้น ทั้งยังมีสร้อยไข่มุก และสร้องทองอีกจำนวนหนึ่งอยู่ด้วย นับแล้วร่วมสามหมื่นตำลึงเงินกับสองพันตำลึงทอง ดวงตาเรียวสวยราวดวงตาหงส์ปิดลงแล้วระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเป็นที่สุด อย่างน้อยนางก็มีทุนมากพอให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างไม่ลำบากเช่นผู้อื่น จะยุคใดสมัยไหนหากมีเงินและทองก็ยากจะลำบากทั้งสิ้น บัดนี้หากนับรวมสินเดิมด้วยนางก็มีเงินขวัญถุงสำรองในยามยากมากร่วมเป็นเงินแล้วเกือบสี่หมื่นตำลึงเงินเลยทีเดียวในยุคสมัยนี้หากไม่กล่าวเกินไปก็นับว่านางกับครอบครัวนับว่าอาจร่ำรวยเสียกว่าทุกคนในหมู่บ้านนี้ก็ยังได้ ดังนั้นพรุ่งนี้นางจะลองไปจ้างคนมาถางหญ้าในที่ดินรกร้าง แบ่งส่วนหนึ่งปลูกข้าวเอาไว้กินเอง ขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกผักเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่พร้อมทั้งสุกร นั่นย่อมเป็นแนวทางสำหรับที่ดินไม่มากแต่พออยู่พอกินเช่นคำกล่าวที่ว่ากินอยู่อย่างพอเพียง โฉนดที่ดินถูกกางออกดูอีกครั้ง ค่อยสบายใจที่มันยังเป็นชื่อของนางเอง ฝ่ายอดีตสามีกับคนสกุลเจียงยากจะมาวุ่นวายด้วยได้อีกแล้ว ส่วนแผงที่ไปเช่าเอาไว้นางก็จะค้าขายเลี้ยงชีพไปด้วย ยุคใดสมัยไหนการยืนด้วยลำแข้งของตนเองนั้นมันย่อมดีกว่าที่นางจะไปฝากชีวิตเอาไว้กับบุรุษที่เรียกตนเองว่า ‘สามี’ เพราะไอ้บุรุษบางคนมันก็เป็นเพียงสามีของพี่สาวฝาแฝดเท่านั้นกับเผยหว่านอีในสายตาของเจียงซู่คาดว่าเป็นได้ดีที่สุดก็คงเป็นแค่ ‘แม่นม’ ของบุตรสาวของมันเท่านั้นด้านอื่นยากจะพึ่งพาได้ ดังนั้นนับจากนี้นางจะต้องคิดพึ่งพาตนเองให้มาก คืนนั้นหญิงสาวก็ทำเช่นคืนก่อนคือพอนางจะนอนก็ปลุกบุตรสาวขึ้นมาและพานางออกไปฉี่อีกรอบ จากนั้นพอจวบจนถึงยามเช้าเผยหว่าหวานั้นก็ไม่ฉี่ใส่ที่นอนอีกเป็นคืนที่สอง “เดี๋ยวท่านแม่บอกเครื่องปรุงมาได้เลยเจ้าค่ะ หว่านอีจะจดแล้วไปซื้อของมาฝึกทำ” ซึ่งก่อนที่นางจะไปตลาดก็แวะไปเยือนยังเรือนของสกุลจาง พูดคุยสอบถามถึงการจะจ้างแรงงานมาถางผืนดินที่รกร้างให้โล่งเตียนเพื่อจะได้ปลูกข้าวและพืชผักรวมไปถึงการขุดบ่อปลาอีกด้วย ซึ่งก็ไม่ผิดหวังสองผู้เฒ่านั้นนับว่าเป็นคนกว้างขวางในหมู่บ้านเหิงเตี่ยนแถบนี้ ท่านทั้งสองแนะนำหญิงสาวได้หมดว่าต้องจ้างผู้ใดจึงจะเหมาะสมกับงานที่จะทำ ดังนั้นกว่าสองแม่ลูกแซ่เผยจะได้ของและคนครบก็เลยยามอู่ไปเล็กน้อยจึงกลับถึงบ้านหลังน้อยของพวกนาง “ท่านป้าจางกับท่านลุงจางนี้ช่วยข้าได้มากทีเดียวเจ้าค่ะท่านแม่” ระหว่างจัดข้าวของที่ซื้อมาและไม่ลืมซื้อสาลี่กับแอปเปิลมาฝากสองสามีภรรยาสกุลจาง โดยได้ไหว้วานให้เผยหว่าหวาเป็นคนเอาผลไม้ดังกล่าวไปให้แก่ท่านสองผู้เฒ่าแซ่จาง ซึ่งเด็กวัยนี้หากให้เขาได้มีส่วนร่วมบ้างจะยิ่งทำให้พัฒนาการทั้งทางด้านสมองและอารมณ์เจริญเติบโตได้สมวัย นางทราบว่าเด็กหญิงรู้ความดีในวันที่บิดาของนางเอาคมดาบจดจ่อไปที่ลำคอน้อย ๆ นั้นเด็กน้อยเสียขวัญเพียงใด คนเช่นเจียงซู่นั้นอย่าได้กล่าวถึงการเป็นสามีที่ดี แม้นแต่บิดาที่ดีคนเช่นเขาก็มิอาจเป็นได้ นางคิดสงสารฮ่องเต้กับองค์หญิงใหญ่ผู้นั้นเสียจริงที่หน้ามืดตามัวเห็นผีเน่าเป็นเทพเซียนไปได้ หากไร้บิดาของสองฝาแฝดผลักดันเจ้าคนชั่วหรือจะได้มีผลงานจนไปเข้าตาฮ่องเต้ แล้วสุดท้ายบิดาเจ้าของร่างนี้ตายทว่าความสงสัยยังติดตรึงว่าที่แท้ตายลงเพราะ ‘ศึกนอก’ หรือเป็น ‘คนใน’ กันแน่ที่แอบสังหารเผยไท่เว่ยแล้วฮุบผลงานทั้งหมดหวังให้ตนเองได้เป็นใหญ่! ยิ่งคุณชายใหญ่เผยสมองเฉื่อยชาจะเท่าทันน้องเขยแซ่เจียงไปได้อย่างไร ทุกวันนี้ทุกอย่างในสกุลเผยยามสิ้นเผยไท่เว่ยก็สิ้นความรุ่งเรืองทันควัน กลับเป็นสกุลเจียงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา เจียงซู่วัยเพียงสามสิบเอ็ดหนาวก็ต้องขึ้นมานั่งแทนตำแหน่งพ่อตาเป็นเจียงไท่เว่ยเสียแล้ว ถึงเดือนจรัสจะเป็นเด็กสาววัยเพียงสิบหกปีแต่การถูกลุงกับป้าสะใภ้โกงกินจนสมบัติของนางไม่เหลือ อย่ากล่าวถึงบ้านที่ดินและเงินทอง แม้แต่ชีวิตของนางเองก็จบสิ้นเช่นกัน ดังนั้นจะกล่าวว่านางมองโลกในแง่ร้ายก็น้อมรับไม่ปฏิเสธเลยเพราะนางเจอกับตัวมาแล้วจึงไม่อาจมองว่าเหตุร้ายในสกุลเผยจะไม่มีเจียงซู่อยู่เบื้องหลัง “ท่านแม่! ท่านยาย!” เด็กหญิงหายไปครู่ใหญ่ก็วิ่งตุบตับกลับมาทำเอาเผยหว่านอีต้องกางแขนออกโอบอุ้มเด็กน้อยก่อนที่เรือนกายน้อยนั้นจะล้มโครมลงไปนอนวัดพื้นเข้าเท่านั้น “ระวังหน่อยหว่าหวาประเดี๋ยวจะหกล้มเอาได้” “ขออภัยเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านยาย หว่าหวาดีใจมากไปหน่อย เมื่อครู่ท่านยายจางกับท่านตาจางชมว่าหว่าหวาเก่งมากจึงให้ไข่ไก่มาสามฟองเจ้าค่ะ ท่านแม่หว่าหวาอยากกินไข่ตุ๋น” แต่อนิจจาเจ้าตัวน้อยวิ่งเร็วเกินไปจากไข่ไก่สามฟองจึงแตกเสียหนึ่งเหลือเพียงสองเท่านั้น เด็กน้อยเห็นเข้าก็จมูกแดงน้ำตาคลอเบ้าทันควัน จนเผยหว่านอีเอ็นดูยิ่งนักต้องพูดชื่นชมผสมปลอบขวัญอีกฝ่ายไปด้วย “ไม่เป็นไรนะหว่าหวาคนเก่งสองฟองท่านแม่ก็ตุ๋นได้ เพียงแต่คราวหน้าจงจำไว้นะลูกเปลือกไข่นี้มันบอบบางมาก เจ้าจะห่อให้แขนเสื้อแล้ววิ่งตุบตับเช่นวันนี้ไม่ได้” นางเฉียวซื่อฟังเผยหว่านอีสั่งสอนบุตรสาวด้วยกิริยาอบอุ่นไม่ใช้อารมณ์ตนเองเป็นหลักเช่นอดีตก็ยิ้มออกมาเต็มปาก อย่างน้อยการได้พ้นมาจากสามีเห็นแก่ตัวเช่นเจียงซู่ก็ดีต่อสภาพจิตใจของทั้งบุตรสาวและหลานสาวของนางใช่น้อย “มาช่วยแม่นวดแป้งกันดีกว่าเนอะ ไม่ต้องเสียใจไปเช่นไรมื้อค่ำนี้เราก็จะได้กินไข่ตุ๋นสูตรของท่านแม่แน่นอน” เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของเด็กหญิงผสานกันไปกับเสียงหัวเราะของหญิงชราและตามมาด้วยเสียงของหญิงสาวหนึ่งเดียวของบ้านดังออกมาเป็นระยะพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่า ‘บ้าน’ จะหลังใหญ่หรือเล็กล้วนไม่สำคัญ หากแต่สำคัญว่าคนซึ่งอาศัยนั้นมีความสุขหรือไม่ พอตกค่ำซาลาเปาไส้หมูสับเสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่างน่ากินแถมกลิ่นยังหอมหวนยั่วน้ำลายใช่น้อยจนสามชีวิตอดจะชิมกันไปจนอิ่มเสียมิได้ พอกินกันจนอิ่มก็ได้เวลา ‘แจก’ ซึ่งสำหรับเผยหว่านอีนั้นมองว่ามันคือการ ‘หว่านเหยื่อ’ ลงไปก่อนจะได้ปลาขึ้นมาเป็นอาหาร บ้านใกล้ชิดติดกันได้ชิมซาลาเปาสูตร ‘เสี่ยวหว่า’ กันถ้วนหน้า ถึงไม่ใช่ทุกบ้านเพราะจำนวนที่ทำไม่มากพอแต่ก็ได้กันไปแปดในสิบส่วนเลยทีเดียว “วันนี้นับว่าเจ้าสมกับเป็นสายเลือดสกุลเฉียวเชียวนาหว่านอี ฝีมือฝึกทำครั้งแรกออกมาดีเกินคาดทีเดียว” พอทั้งสามมานั่งกินข้ามมื้อค่ำร่วมกันนางเฉียวซื่อก็อดจะชื่นชมบุตรสาวคนเดียวเสียมิได้ จากนั้นก็ต่างพูดคุยปรึกษากันถึงว่าพรุ่งนี้จะเป็นการลองทำหมั่นโถวกับขนมจีบไส้หมูไส้ปลาและไส้กุ้งกันเป็นลำดับถัดไป …คำว่าหนึ่งหัวคิดมิสู้หลายหัวช่วยกันคิดช่วยกันทำมิเกินจริงเลยสินะ….
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม